นวนิยายแฟนตาซีอวกาศเรื่องยาว

วีรบุรุษทางช้างเผือก เล่ม ๒ : ความทะเยอทะยาน
銀河英雄伝説 第二巻:野望篇

เรื่อง โดย ทะนะกะ โยะชิกิ (田中芳樹) แปลโดย Pae

บทที่ 1 ลมสงบก่อนพายุใหญ่
-1-


ดวงดาวนับล้านกำลังส่องแสงนับล้านประกาย หากถึงกระนั้นก็หาได้ทำให้ห้วงอวกาศสว่างไสวได้ไม่ อาณาบริเวณเกือบทั้งหมดของห้วงอวกาศยังคงจมดิ่งอยู่ในความมืดมิดประดุจนิลสีดำสนิท

ราตรีมืดมิดอันยาวไกล ความว่างเปล่าอันไม่มีที่สิ้นสุด ความเยือกเย็นเกินกว่าจินตนาการ หากแต่สิ่งเหล่านี้ก็ไม่เคยที่จะปฏิเสธมวลมนุษยชาติเลย เพียงแต่ไม่สนใจด้วยเท่านั้นเองว่ามนุษย์ตัวจ้อยกำลังจะทำอะไรกันบ้าง จักรวาลนั้นกว้างใหญ่ไพศาลก็จริง แต่สำหรับมนุษย์แล้วก็หาได้กว้างใหญ่ไพศาลเกินไปไม่ ทั้งนี้เพราะมนุษย์ย่อมให้ความสำคัญเฉพาะส่วนที่พวกเขามีความสามารถจะไปได้ถึงเท่านั้น

มนุษย์ได้แบ่งห้วงอวกาศออกเป็นส่วน ๆ ตามความสะดวกของตน ได้แก่ ส่วนที่อยู่อาศัยได้กับส่วนที่อยู่อาศัยไม่ได้, อาณาบริเวณที่เดินยานอวกาศได้กับเดินไม่ได้ หากแต่สำหรับคนกลุ่มหนึ่ง ซึ่งเป็นกลุ่มที่ใจคอคับแคบที่สุดเกินกว่าจะเยียวยาได้แล้ว อันได้แก่ พวกทหารอาชีพ นั้น พวกเขากลับแบ่งห้วงอวกาศและบรรดาหมู่ดาวต่าง ๆ ออกเป็นอาณาบริเวณของฝ่ายตนและฝ่ายข้าศึก, อาณาบริเวณในครอบครองและที่จะต้องบุกไปยึดครอง รวมทั้ง แบ่งเป็นอาณาบริเวณที่รบง่ายกับรบยาก

ทั้งที่ในความจริงแล้ว อาณาบริเวณต่าง ๆ ในห้วงอวกาศเหล่านี้ล้วนไม่เคยมีชื่อมาก่อนทั้งสิ้น หากแต่ด้วยความสะดวกของบรรดามนุษย์เอง จึงได้ตั้งชื่อต่าง ๆ เท่าที่ตนสรรหาได้ มาเรียกอาณาบริเวณอวกาศที่พวกตนต้องเกี่ยวข้องด้วย

และ... ณ ห้วงอวกาศหนึ่งอันถูกเรียกว่า อุโมงค์อวกาศอิเซลโลน หรือช่องแคบอิเซลโลน อันเป็นห้วงอวกาศที่มีลักษณะเป็นอุโมงค์แคบและยาวที่เชื่อมลอดผ่านอาณาบริเวณอันตรายของระบบทางช้างเผือกนี้

ภายในอาณาบริเวณดังกล่าว บัดนี้ ยานรบลำหนึ่งกำลังล่องลอยอยู่ ภายใต้แสงจากดาวฤกษ์ที่ให้แสงสเปกเติลแบบ Go นั้น คงจะมองเห็นผิวยานลำนี้เป็นสีเงินขี้เถ้า อีกทั้งมองเห็นตัวอักษร Ulysses ที่จารึกอยู่ข้างยานด้วยอย่างชัดเจน

ยูลิซิส... ยานรบชนิดยานพิฆาตซึ่งได้ชื่อมาจากนามของวีรบุรุษในตำนานโบราณนี้ สังกัดอยู่ในกองยานรบประจำป้อมปราการอิเซลโลน ของกองทัพสมาพันธ์ดาวเคราะห์เสรี หรือ ฟรีพลาเน็ต

ราวครึ่งปีก่อน ยูลิซิสเคยสังกัดอยู่ในกองยานรบที่ 8 ของกองทัพสมาพันธ์ และกองยานรบนี้ ได้เข้าร่วมสงครามอันยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ ณ เขตดาวอัมริทเซอร์ ส่งผลให้พวกเขาต้องสูญเสียไพร่พลอีกทั้งยานรบในสังกัดไปอย่างไม่มีวันกลับถึงกว่าเก้าสิบเปอร์เซนต์ ด้วยเหตุนี้ ทำให้กองยานรบที่ 8 ถึงแก่กาลล่มสลาย พวกที่รอดชีวิตกลับมาได้-ทั้งคนและยานอวกาศ- ก็ถูกโอนย้ายไปสังกัดกับกองยานอื่นหรือไม่ก็ฐานที่มั่นทางทหารอื่น ๆ กันทั้งสิ้น

ซึ่งที่จริงแล้ว ยูลิซิส นับได้ว่าเป็นผู้กล้าหาญที่รอดชีวิตจากสมรภูมินรกครั้งนั้นมาได้ ไม่ว่าจะเป็นตัวยานรบเองก็ตาม หรือบรรดาพลประจำเรือก็ตามควรจะได้รับเกียรติเช่นนั้น

แต่ปรากฏว่า นาม “ยานรบยูลิซิส” แทนที่จะเป็นชื่อที่ชวนให้ทุกคนเกรงขามและยกย่องกลับชวนให้รู้สึกขำเสียนี่!

ความเสียหายที่ยูลิซิสได้รับในยุทธภูมิอัมริทเซอร์นั้น นับว่าเป็นความเสียหายเล็กน้อยเท่านั้น กล่าวคือ เพียงแต่ถูกทำลายระบบบำบัดน้ำเสียที่ใช้จุลินทรีย์เท่านั้นเอง ทำให้บรรดาลูกเรือทั้งหมด ต้องทำศึกไปโดยยืนแช่น้ำเน่าเหม็นที่แตกทะลักออกมาจากท่อไปตลอดจนจบศึกคราวนั้น...

เมื่อกลับจากสนามรบแล้ว สิ่งที่รอยานรบลำนี้อยู่ กลับเป็นสมญานามอันทุเรศสิ้นดีว่า “ยานรบส้วมแตก” เมื่อถูกทักด้วยสีหน้ากลั้นหัวเราะว่า ลำบากแย่เลยนะครับ ทำเอาทั้งผู้บังคับการยานรบพันโทนิลสัน และรองผู้บังคับการยานรบ พันตรีเอดะถึงกับหน้างอไปตาม ๆ กัน แต่ก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ ในสภาพอันน่าสะพรึงกลัวที่ไพร่พลที่ออกรบอันมีจำนวนถึง 30 ล้านคน เหลือรอดชีวิตกลับมาไม่ถึงเจ็ดสิบเปอร์เซนต์นี้ หากผู้คนไม่หยิบยกเอาเรื่องราวของยูลิซิสมาเป็นเรื่องตลกชวนหัวเราะกันแล้ว เห็นทีจะเป็นบ้าไปตาม ๆ กันแน่ แต่... แน่นอน เรื่องแบบนี้ พวกเจ้าตัวเอง- ลูกเรือของยูลิซิส- ย่อมไม่หัวเราะไปด้วย ใครไม่โดนกับตัวเองก็หัวเราะได้สิ

บัดนี้ ยูลิซิสกำลังมุ่งหน้าไปโดยหันหลังให้กับป้อมอิเซลโลน พวกเขากำลังอยู่ระหว่างภารกิจลาดตระเวณนั่นเอง ทั้งนี้ เป็นการฝึกซ้อมให้กับบรรดาพลประจำเรือไปด้วยก็จริง หากแต่เบื้องหน้าของพวกเขา นอกจากดาวฤกษ์พฤติกรรมประหลาด, ดาวเคราะห์สีแดงใหญ่ และสนามแรงโน้มถ่วงชนิดรุนแรงแล้ว ยังมีอาณาบริเวณอันตรายอันเนื่องจากมนุษย์ด้วยกันรออยู่ กล่าวคือ อาณาบริเวณของสมาพันธ์ดาวเคราะห์เสรีนั้น สิ้นสุดลงเพียงห้วงอวกาศรอบ ๆ ป้อมปราการอิเซลโลนเท่านั้น ถัดจากนั้นไป ย่อมเป็นอาณาเขตที่เป็นชายแดนของจักรวรรดิทางช้างเผือก และ ณ อาณาบริเวณนี้ เดิมเคยเป็นสมรภูมิของสงครามครั้งใหญ่มาหลายครั้ง จนบัดนี้ก็ตาม ยังมีโอกาสพบเห็นซากยานอวกาศที่ถูกทำลายไปเมื่อหลายศตวรรษก่อนยังคงล่องลอยเวียนวนให้เห็นประปราย

ผู้บังคับการยานรบ พลโทนิลสันพาร่างอันใหญ่โตของเขาลุกขึ้นจากที่นั่งทันที ทั้งนี้เพราะโอเปอเรเตอร์ได้รายงานว่า ตรวจพบยานอวกาศไม่ทราบสัญชาติที่เบื้องหน้าไม่ไกลไปนักนั่นเอง ระบบตรวจการณ์ของยานรบยูลิซิสนี้ ก็เหมือนกับของยานรบอวกาศลำอื่น ๆ นั่นคือ ประกอบด้วยระบบเรดาห์, ระบบตรวจจับพลังงาน, ระบบตรวจจับมวล, ดาวเทียมลาดตระเวณซึ่งปล่อยให้วิ่งนำหน้าออกไปก่อน แต่ปรากฏว่าในครั้งนี้ ระบบตรวจการณ์ดังกล่าวทุกระบบตรวจพบยานอวกาศนั้นพร้อมกัน และไม่ได้เป็นกองยานอวกาศด้วย แต่เป็นยานอวกาศเพียงแต่ลำเดียว

“ปัจจุบัน ณ ห้วงอวกาศนี้ ไม่มียานรบฝ่ายเราแม้แต่ลำเดียวใช่ไหม?”

“ครับผม ณ เวลานี้ ในห้วงอวกาศนี้ไม่มียานรบฝ่ายเราแม้แต่ลำเดียวครับผม”

“ถ้างั้น ก็เป็นพวกข้าศึกนะสิ 1-0=1 นะ เลขลบง่าย ๆ ทุกคน เตรียมประจำสถานีรบระดับหนึ่ง!”

เสียงหวอสัญญาณดังลั่นขึ้น บรรดาลูกเรือทั้ง 140 คนล้วนพากันหลั่งอะดรีนาลินออกมามากขึ้น เสียงตะโกนรายงานดังลั่นจากแต่ละหน่วย- เช่นว่า ระยะระหว่างข้าศึก 33 วินาทีแสง, ปืนใหญ่เรลแคนนอนพร้อม ไม่มีสิ่งปกติ, ปืนพลังงานความร้อน (ฮีทแคนนอน) พร้อม, ปรับแสงของจอภาพเรียบร้อย ฯลฯ- ท้ายสุด ผู้บังคับการยานรบก็สั่งการด้วยเสียงที่เข้มกว่าทุกเสียงที่ผ่านมา ให้ส่งสัญญาณแสงอันเป็นสัญญาณสากลออกไป

“หยุดเรือเดี๋ยวนี้ มิฉะนั้นจะยิง!”

กว่าคำตอบจะกลับมายังหน้าจอของเจ้าหน้าที่สื่อสารที่กำลังเหงื่อไหลซึมอยู่นั้น ก็ต้องรออีกห้านาทีถัดมา เจ้าหน้าที่สื่อสารผู้นั้นเอียงคออย่างสนเท่ห์เล็ก ๆ พลางยื่นแผ่นเพลทส่งให้ผู้บังคับการยานรบของตน บนเพลทนั้นจารึกข้อความดังนี้

“ทางเราไม่มีเจตนาสู้แต่อย่างไร พวกเรามาเพื่อเจรจา ขอความกรุณาพิจารณาด้วย”

“เจรจารึ?”

ผู้บังคับการยานรบนิลสันพึมพำเหมือนถามตัวเอง ขณะที่รองผู้บังคับการเอดะยกมือขึ้นกอดอก

“อืม พวกขอลี้ภัยรึเปล่านี่? ไม่มีมานานแล้วนะ”

“อืมห์ เดี๋ยวก็รู้ ทุกคนอย่าเพิ่งออกจากสถานการณ์รบ! ส่งข้อความไป ให้พวกเขาหยุดเรือเดี๋ยวนี้ แล้วเปิดจอภาพสื่อสารได้!”

นิลสันถอดหมวกเบเลต์สีดำที่ประดับด้วยเครื่องหมายดาวห้าแฉกสีขาวออก แล้วยกมือขึ้นลูบใบหน้าของตน หากหลีกเลี่ยงการสู้รบได้ละก็ ย่อมเป็นสิ่งที่ดีที่สุด เพราะหากต้องสู้ และต่อให้สู้ชนะก็ตาม ก็ไม่มีหลักประกันว่าทางนี้จะไม่มีความสูญเสียใด ๆ เลย ผู้บังคับการยาบรบมองภาพของเรือรบข้าศึกที่ปรากฏในจอภาพจอหนึ่ง ลักษณะของเรือนั้นคล้ายกับยูลิสซิสมากทีเดียว เขาอดคิดไม่ได้ว่า ตอนนี้ พวกที่อยู่ในเรือนั้นก็คงกำลังกลั้นใจอย่างตื่นเต้น พลางเหงื่อตกเหมือนกับพวกในยานนี้กระมัง...



อิเซลโลนนั้น เป็นดาวเคราะห์เทียมที่อยู่ระหว่างแดนของจักรวรรดิทางช้างเผือกและสมาพันธ์ดาวเคราะห์เสรี โดยโคจรอยู่รอบ ๆ ดาวฤกษ์อาร์ธีนา กล่าวคือ อยู่ตรงใจกลางของช่องแคบอิเซลโลนพอดี หากไม่เคลื่อนทัพผ่านป้อมปราการนี้ไปแล้วไซร้ ทั้งฝ่ายจักรวรรดิและสมาพันธ์จะไม่สามารถยกทัพไปย่ำยังดินแดนของอีกฝ่ายหนึ่งได้เลย

ดาวเคราะห์เทียมซึ่งจักรวรรดิเป็นผู้สร้างขึ้น แล้วสมาพันธ์ได้แย่งชิงยึดครองมานี้ เป็นทรงกลมเส้นผ่านศูนย์กลาง 60 กิโลเมตร ภายในนั้น หากแบ่งจริง ๆ จะแบ่งได้นับเป็นหลายพันชั้นเลยทีเดียว เปลือกนอกสุดของป้อม ทำจากวัสดุผสมของเหล็กกล้าความแข็งแรงสูงพิเศษกับเส้นใยผลึกและซุปเปอร์เซรามิค และเคลือบด้วยสารสะท้อนลำแสง (มิเรอร์โคทติ้ง) อีกทั้งเปลือกที่ว่านี้ ยังมีถึงสี่ชั้นอีกด้วย นับเป็นเกราะภายนอกที่แข็งแกร่งสุดจะหยั่งถึงได้

พรั่งพร้อมด้วยสมรรถนะทั้งมวลสำหรับการเป็นฐานที่มั่นที่สำคัญทางยุทธศาสตร์ ได้แก่ สมรรถนะในด้านการโจมตี, การป้องกันตนเอง, การส่งกำลังบำรุง, การพักผ่อน, การซ่อมบำรุง, การรักษาพยาบาล, การสื่อสาร, การควบคุม และการประมวลข้อมูล สนามบินอวกาศนั้น สามารถจุยานรบได้ถึง 20000 ลำ และโรงซ่อมแซมยานอวกาศก็สามารถทำการซ่อมได้พร้อมกันถึง 400 ลำ จำนวนเตียงในโรงพยาบาลรวมกันมีถึง 2 แสนเตียง โรงผลิตอาวุธสามารถผลิตจรวดมิสซายล์แสงเลเซอร์พลังนิวเคลียร์ได้ถึงชั่วโมงละ 7,500 ลำ

กำลังพลของทหารและนายทหารในป้อม ทั้งของฝ่ายป้อมปราการและกองยานรบประจำป้อมรวมกันแล้วถึง 2 ล้านคน นอกจากนี้ยังมีพลเรือนมาอาศัยอยู่ด้วยอีก 3 ล้านคน ส่วนใหญ่เป็นบรรดาครอบครัวของทหารประจำป้อมเอง แต่ก็มีอีกส่วนหนึ่งซึ่งเป็นผู้ดำเนินกิจการที่เกี่ยวกับชีวิตประจำวันและการบันเทิงรวมอยู่ด้วย ทั้งนี้ ทางกองทัพได้ขอให้พวกเขามาเปิดร้านที่นี่เพื่อรองรับผู้อยู่อาศัยนั่นเอง และบางร้าน... ก็เป็นร้านที่มีแต่พนักงานสตรีล้วน ๆ ก็มี

อิเซลโลนนั้น นอกจากจะเป็นป้อมปราการที่สำคัญยิ่งทางยุทธศาสตร์แล้ว ยังเป็นเมืองเล็ก ๆ ขนาดประชากร 5 ล้านคนอีกด้วยนั่นเอง ขนาดในบรรดาดาวเคราะห์ธรรมชาติเอง ดาวที่มีประชากรน้อยกว่านี้ก็ยังมีอยู่ไม่น้อยทีเดียว อีกทั้งตัวป้อมนี้ ยังเพียบพร้อมด้วยสาธารณูปโภคและระบบพื้นฐานของสังคมอีกด้วย มีทั้งโรงเรียน, โรงภาพยนตร์, โรงแสดงดนตรี, สปอร์ตเซ็นเตอร์ซึ่งกินเนื้อที่เจาะทะลุต่อเนื่องกันถึง15 ชั้น, โรงผดุงครรภ์, สถานรับเลี้ยงเด็ก, ระบบประปาภายในตัวซึ่งครอบคลุมทั้งระบบจ่ายน้ำดีและระบบบำบัดน้ำเสีย, เตาพลังไฮโดรเจนซึ่งทำหน้าที่เป็นโรงฟอกน้ำไปด้วย, ป่าไม้ขนาดใหญ่ซึ่งเป็นทั้งแหล่งผลิตออกซิเจนและสถานที่พักผ่อนหย่อนใจ และยังพร้อมด้วยโรงเพาะเลี้ยงพันธุ์พืชซึ่งเป็นแหล่งผลิตโปรตีน- หลัก ๆ คือ โปรตีนจากพืช- และวิตามิน

และบุคคลที่มีอำนาจและความรับผิดชอบสูงสุดในเมืองยักษ์แห่งนี้ บุคคลที่ควบตำแหน่งผู้บัญชาการป้อมปราการและผู้บัญชาการกองยานรบประจำป้อม บุคคลที่จะเป็นผู้สั่งการบรรดาทหารทั้งมวลในป้อมในยามเกิดศึก บุคคลผู้นั้นคือ พลเอก หยาง เหวินหลี่ แห่งกองทัพฟรีพลาเน็ต

(อ่านตอนต่อไป)


กลับไปอ่านตอนที่แล้ว +++ กลับไปหน้าสารบัญ +++ ไปอ่านตอนต่อไป 1