นวนิยายแฟนตาซีอวกาศเรื่องยาว

วีรบุรุษทางช้างเผือก เล่ม ๒ : ความทะเยอทะยาน
銀河英雄伝説 第二巻:野望篇

เรื่อง โดย ทะนะกะ โยะชิกิ (田中芳樹) แปลโดย Pae

บทที่ 1 ลมสงบก่อนพายุใหญ่
-2-


คนส่วนมากที่ได้มีโอกาสพบเห็นตัวจริงของหยาง เหวินหลี่แล้ว มักจะไม่เชื่อสายตาตัวเองเลยว่า นี่คือ บุคคลระดับสำคัญ (วีไอพี) ยอดนายทหารแห่งกองทัพสมาพันธ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เจ้าตัวเองนั้น แม้ยามอยู่ในเครื่องแบบทหาร ก็ดูไม่สมกับเป็นยอดนายทหารแต่อย่างไร

บุคลิกของเขาไม่ใช่ทั้งสุภาพบุรุษสูงอายุที่มาดขรึมและดูหลักแหลมเป็นนักวิชาการ, ไม่ใช่ทั้งชายฉกรรจ์สูงใหญ่บึกบึน, ไม่ใช่ทั้งคนที่มีบุคลิกฉลาดเจ้าเล่ห์อย่างเห็นได้ชัด อีกทั้ง ยังไม่ใช่นายแบบสะโอดสะองหน้าตาสะสวยอีกด้วย

ชายผู้นี้ อายุ 30 ปีแล้วก็จริง แต่ดูหนุ่มกว่าอายุสักสอง-สามปี ผมสีดำ นัยน์ตาสีดำ รูปร่างสันทัดสมส่วน หน้าตาจะว่าไม่หล่อก็ไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้เรียกว่าเป็นคนหล่อเหลาขนาดสาวเห็นสาวหลง

แต่สิ่งที่ไม่ธรรมดาในชายคนนี้ ย่อมไม่ใช่สิ่งที่อยู่นอกกะโหลกศีรษะของเขาเหล่านั้น หากแต่เป็นเนื้อในต่างหาก เขาคือ ชายที่กอบโกยความสำเร็จและความดีความชอบในทางทหารแต่เพียงผู้เดียวในกองทัพสมาพันธ์ดาวเคราะห์เสรีตลอดปีกลาย- ปีสากลอวกาศที่ 796 เขาเป็นผู้ที่สามารถยึดชิงป้อมปราการอิเซลโลนมาจากจักรวรรดิทางช้างเผือกได้สำเร็จ โดยไม่สูญเสียเลือดเนื้อฝ่ายตนแม้แต่หยดเดียว อีกทั้งในสงครามที่หมู่ดาวแอสทาเท และหมู่ดาวฤกษ์อัมริทเซอร์ กองทัพสมาพันธ์ต้องประสบความพ่ายแพ้อย่างยับเยินต่อผู้การไรน์ฮาร์ด ฟอน โรเอนกรัมแห่งกองทัพจักรวรรดิทางช้างเผือก แต่หยางก็คือ ผู้ที่ทำให้กองทัพสมาพันธ์รอดพ้นจากการสูญสลายทั้งกองทัพได้ ด้วยกลวิธีรบอันเหนือชั้นของเขา

หากไม่มีหยางแล้ว ในปีสากลอวกาศที่ 796 กล่าวได้ว่า บันทึกสงครามของกองทัพสมาพันธ์ดาวเคราะห์เสรีนั้น จะไม่ต้องการคำอื่นเลย นอกจากคำว่า “ปราชัย” ความจริงอันนี้ เป็นสิ่งที่คนทั่วไปยอมรับโดยทั่วหน้า อีกทั้งหยางยังได้รับการตอบแทน เลื่อนยศจากพลจัตวาขึ้นไปเป็นพลเอกภายในเวลาเพียงปีเดียว หากแต่ใครเลยจะรู้ได้ว่า ตัวของผู้การหนุ่มผู้นี้ ไม่ได้ยินดีในความสำเร็จบนสายอาชีพของตนแม้แต่น้อย เขาเป็นคนที่เกลียดสงครามและไม่เคยมองเห็นความดีของสงครามแม้แต่ข้อเดียว ทั้ง ๆ ที่ตนเองเป็นอัจฉริยะในทางทหารก็ตาม

เขาเคยคิดจะลาออกเพื่อไปเป็นประชาชนธรรมดา ๆ คนหนึ่งมาแล้วหลายครั้ง แต่สุดท้าย ก็ยังลาออกไม่สำเร็จ คงอยู่ในเครื่องแบบทหารมาจนทุกวันนี้

วันนั้น หยางอยู่ในห้องส่วนตัวและกำลังเพลิดเพลินกับการเล่นหมากรุกสามมิติอย่างเมามัน

“รุก!”

จูเลียน มินท์ตะโกนลั่น หยางเกาศีรษะที่ปกคลุมด้วยผมสีดำของตนแกรก ๆ แล้วก็ยอมแพ้แต่โดยดี ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ใช่ยอดแม่ทัพบนกระดานหมากรุกนี้กระมัง

“เอาเข้าไป แพ้ติดต่อกันเป็นกระดานที่ 17 แล้วรึนี่...”

เขาบ่นพึมพำโดยไม่มีท่าทีเจ็บใจแม้แต่น้อย

“18 ต่างหากครับท่าน”

จูเลียนแก้ด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ เขาเป็นเด็กชายซึ่งเพิ่งมีอายุเพียงครึ่งหนึ่งของหยางเท่านั้น และเป็นเจ้าของดวงหน้าซึ่งใคร ๆ ก็คาดว่าจะต้องหล่อเหลาแน่ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า เป็นเจ้าของผมสีเหลืองน้ำชาและนัยน์ตาสีน้ำตาลเข้ม

กล่าวคือ ด้วยการบังคับใช้กฎหมายทราเวิร์สนั่นเองที่ให้บุตรของทหารที่เสียชีวิตในสงครามได้รับการเลี้ยงดูจากครอบครัวนายทหารด้วยกัน ทำให้เด็กชายจูเลียนถูกส่งมาอยู่กับหยางเมื่อสามปีก่อน เด็กคนนี้เป็นเด็กเรียนเก่ง ผลการเรียนที่โรงเรียนก็ยอดเยี่ยม ทั้งยังเป็นนักกีฬาฟลายอิ้งบอลมือฉกาจ เจ้าของตำแหน่งดาวซัลโวประจำปีอีกด้วย นอกจากนั้น นับแต่ฐานะของเด็กชายเป็นว่าที่สิบตรีสังกัดกองทัพแล้ว เขาก็ถูกค้นพบว่ามีพรสวรรค์ในด้านการยิงปืนด้วย เรียกได้ว่า เป็นบุตรบุญธรรมที่ หยางภูมิใจได้นักหนาเลยทีเดียว

“ข้อเสียเพียงข้อเดียวของเจ้าจูเลียนก็คือ...”

อเล็กซ์ แคสเซิร์น นายทหารปากจัดซึ่งเป็นรุ่นพี่ของหยางที่มหาวิทยาลัยป้องกันอาณาจักรเคยวิจารณ์ไว้ดังนี้

“ศรัทธาเจ้าหยางอย่างไม่ลืมหูลืมตานะสิ ให้ตายเถอะหลงผิดเข้าไปได้ยังไง ถ้าไม่มีข้อเสียข้อนี้ละก็ ฉันยกลูกสาวให้เป็นเจ้าสาวจูเลียนมันฟรี ๆ เลยก็ได้เอ้า!”

แถมอีกนิด... แคสเซิร์นซึ่งอายุ 36 ปีแล้วนั้นมีลูกสาวอยู่สองคน คนโตเพิ่งอายุได้ 7 ขวบ...

“เล่นอีกกระดานละกัน!”

หยางชวนอย่างไม่เข็ดหลาบ

“อยากแพ้เป็นกระดานที่ 19 ติดต่อกันหรือครับ? ผมไม่ขัดข้องอะไรนะครับ”

ผู้ที่สอนหมากรุกสามมิติให้กับจูเลียนก็คือหยางเอง แต่รู้สึกว่า ลูกศิษย์คิดล้างครูนี่ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งปีก็สำเร็จแล้ว และหลังจากนี้ไป ฝีมือของทั้งสองก็ยิ่งห่างชั้นกันออกไปเรื่อย ๆ แต่อย่างไรก็ตาม ที่จูเลียนพูดอย่างเต็มปากเต็มคำว่าตัวเองเก่งกว่านั้น ก็เป็นเพียงการพูดแซวเล่นเท่านั้นเอง เพราะตัวเด็กชายเองไม่ได้จำกัดขอบเขตสายตาของตนเพียงแค่เรื่องของหมากรุกเพียงเรื่องเดียว หากทอดสายตามองไปกว้าง ๆ แล้วก็จะพบว่าในทุก ๆ ด้านหยางยิ่งใหญ่กว่าตนอย่างเทียบไม่ติดนั่นเอง

เสียงกดกริ่งดังขึ้นเบา ๆ

“ท่านผบ. คะ ร้อยเอกกรีนฮิลล์ค่ะ”

จอของวิสิโฟน ฉายภาพของนายทหารหญิงสาวสวยคนหนึ่ง เจ้าของผมสีทองแกมน้ำตาลเข้ม และนัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อน (เฮเซล) เจ้าหล่อนผู้นี้ดำรงตำแหน่งเป็นนายทหารผู้ช่วยของหยางมาตั้งแต่ปีที่แล้ว

“ตอนนี้กำลังยุ่งน่ะครับ มีอะไรเหรอ?”

หยางตอบด้วยน้ำเสียงเนือย ๆ

“เรือรบของจักรวรรดิลำหนึ่งได้มาหาเราในฐานะทูตค่ะ พวกเขาขอพบกับท่านผบ. ค่ะ”

“งั้นเหรอ”

หยางตอบโดยไม่แสดงวี่แววประหลาดใจแม้แต่น้อย เขายอมเลิกเล่นหมากรุกแต่โดยดี แล้วลุกขึ้นยืน ทำท่าจะเดินออกไปทางประตูห้องโดยที่ทิ้งปืนพกส่วนตัวไว้บนโต๊ะอยู่อย่างนั้น เด็กชายจูเลียนต้องรีบทักเสียงหลง

“ท่านครับ ลืมปืนครับผม”

“ไม่ต้อง ไม่ต้องใช้หรอก”

ผู้การหนุ่มโบกปฏิเสธด้วยท่าทีขี้เกียจเต็มประดา

“แต่ถ้าไปมือเปล่านี่ มันก็กระไรอยู่นะครับ”

“สมมติว่า ฉันมีปืนนะ แล้วก็ยิงออกไป เธอคิดว่าฉันยิงถูกเป้าไหมล่ะ”

“... ไม่ถูก”

“นั่นสิ เพราะฉะนั้นพกปืนหรือไม่พกก็ค่าเท่ากัน”

แล้วหยางก็เดินหายออกไปนอกห้องอย่างรวดเร็ว จูเลียนต้องรีบวิ่งตามออกไป

ที่จริงหยางไม่ใช่เป็นคนกล้าหาญหรือบ้าบิ่นแต่อย่างไร เขาเพียงแต่ตระหนักดีถึงเส้นขอบเขตความสามารถของมนุษย์เท่านั้น ก็เขาคนนี้มิใช่หรือ ที่เป็นผู้บุกยึดป้อมปราการอิเซลโลนอันมีชื่อว่า “ไม่มีวันแตก” ได้ด้วยมันสมองของเขา ดังนั้น เขาย่อมตระหนักดีว่า ในความสามารถของมนุษย์นั้นไม่มีคำว่า “แน่นอน” หรือ “สมบูรณ์แบบ” อยู่หรอก

ยิ่งไปกว่านั้น เขาซึ่งแต่เดิมก็ไม่ได้คิดจะเป็นทหารแม้แต่น้อย หากแต่อยากเป็นนักประวัติศาสตร์มากกว่า ก็ได้มีโอกาสเรียนรู้มาก่อนแล้วว่า ในประวัติศาสตร์มนุษย์นั้น ไม่เคยมีปรากฏว่า จะมีรัฐหรือประเทศหรืออาณาจักรใดที่อยู่คงฟ้าสิ้นดินสลาย ไม่ว่าจะเข้มแข็งมีอำนาจมากเพียงใดก็ตาม อีกทั้ง ไม่มีวีรบุรุษคนใดที่ยิ่งใหญ่ได้โดยตลอด ทันทีที่มีอำนาจการเมืองอยู่ในมือแล้ว พวกเขาเหล่านั้นก็ล่มสลายลงให้เห็นมานักต่อนักแล้ว

ในแง่ของชีวิตคนก็เช่นกัน นายทหารชาญศึกที่รบชนะมาสิบทิศก็ตาม สุดท้ายมาล้มป่วยตายด้วยไข้หวัดกระจอก ๆ ก็มีให้เห็นมาแล้ว หรือบรรดาผู้มีอำนาจที่แย่งชิงอำนาจมาได้สำเร็จสุดท้ายก็ตายด้วยน้ำมือของมือสังหารก็มีไม่น้อย ดูอย่างจักรพรรดิออโตฟรีตที่ 3 แห่งจักรวรรดิทางช้างเผือกนั่นประไร ตายด้วยโรคขาดสารอาหารเพียงเพราะว่ากลัวจะถูกวางยาพิษจนเกินขนาดนั่นเอง

“ต่อให้ระวังตัวแค่ไหนก็ตาม ถ้าดวงมันถึงที่ตายก็ต้องตายแหละ”

หยางไม่มีแม้กระทั่งทหารคุ้มกันรอบกายเลยด้วยซ้ำ ตอนแรก ๆ ที่มารับหน้าที่ที่อิเซลโลนนั้น เคยมีการจัดทหารคุ้มกันให้เขาตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง โดยแบ่งเป็น 4 กะ กะละ 12 นาย แต่ปรากฏว่าเจ้าทหารพวกนี้ ตามติดเขาไปแม้กระทั่งตอนเข้าห้องน้ำ เล่นเอาหยางพูดอะไรไม่ออก แล้วก็เลยสั่งยุบซะเลย

แต่ในอีกทางหนึ่ง หยางให้ความสำคัญกับระบบรักษาความปลอดภัยในป้อมเป็นพิเศษ เขาจัดสร้างห้องศูนย์ควบคุมป้อมปราการเป็นสามห้องแยกจากกัน และให้ต่างก็คอยตรวจตราอีกสองห้องที่เหลือไปด้วย ตราบใดที่ข้าศึกจากภายนอกไม่สามารถยึดทั้งสามห้องนี้ได้พร้อมกัน ก็จะไม่มีวันควบคุมป้อมปราการนี้ได้ อีกทั้งเขายังติดตั้งระบบตรวจอากาศไว้ในระบบปรับอากาศของป้อมนี้ เพื่อป้องกันการปล่อยแกสยาสลบหรือยาพิษเข้ามาทางระบบปรับอากาศนี้

ที่จริง หยางก็ไม่เคยคิดจะทำถึงขนาดนี้หรอก หากแต่เขาจำเป็นต้องประชาสัมพันธ์ให้พวกผู้ใหญ่ในกองทัพที่ขี้จุกจิกทั้งหลายเอย, บรรดาลูกน้องขี้กังวลเอย, ข้าราชการที่ห่วงเรื่องการใช้งบประมาณว่าจะใช้ไม่หมดเอย, นักการเมืองสอดรู้สอดเห็นเอย รวมทั้งบรรดานักข่าวช่างสงสัยทั้งหลาย ได้รับทราบทั่วกันว่า เนี่ยครับ ระบบป้องกันตัวเองและระบบรักษาความปลอดภัยของป้อมนี้สมบูรณ์แบบ พวกคุณไม่ต้องเป็นห่วง

“เฮ้อ ได้รู้ซึ้งแก่ใจเลยแหละ ว่า ยิ่งตำแหน่งสูงก็ยิ่งไม่เป็นตัวของตัวเอง”

หยางเคยบ่นเช่นนี้ให้กับเด็กชายจูเลียนฟัง

“แต่ถ้าท่านผบ. ยังรู้ตัวอยู่อย่างนี้ ก็ยังเป็นตัวของตัวเองอยู่ได้ไม่ใช่เหรอครับ ไอ้ที่ทำ ๆ ไปก็ถือซะว่าตัดปัญหายุ่งยากก็แล้วกันครับ”

จูเลียนตอบด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ ไม่ทุกข์ร้อนแต่อย่างไร แต่ตอนท้าย ก็เสริมขึ้นว่า

“แต่ที่ผมห่วงน่ะไม่ใช่เรื่องนั้นครับ แต่เป็นเรื่องเหล้าต่างหาก รู้สึกว่ายิ่งตำแหน่งสูงขึ้นท่านก็ยิ่งกินเหล้าหนักขึ้นนะครับ ช่วยเพลา ๆ ลงหน่อยได้ไหมครับ?”

“ฉันกินเยอะขึ้นขนาดนั้นเชียวเหรอ?”

“อย่างน้อยก็ห้าเท่าของเมื่อสามปีก่อนละครับ”

“ห้าเท่า? ไม่ถึงม้าง...”

หยางทำสีหน้าไม่เชื่อ จูเลียนก็เลยโชว์บัญชีค่าใช้จ่ายในบ้านในช่วงสามปีที่ผ่านมาให้ดูซะเลย ตัวเลขดัชนีแสดงค่าใช้จ่ายในหมวดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์นั้น เทียบให้เมื่อสามปีก่อนเป็น 100 แล้ว ปัจจุบันเป็น 491 ซึ่งนี่คือเฉพาะส่วนที่หยางซื้อมาดื่มที่บ้านเท่านั้น ยังไม่ได้นับส่วนที่เขาแอบไปดื่มนอกบ้านอีก ดังนั้นที่จูเลียนว่าอย่างน้อยห้าเท่า ก็เรียกว่าถูกต้องเลยทีเดียว

คราวนี้หยางถึงกับพูดอะไรไม่ออก อ้อมแอ้มรับปากว่าจะลดปริมาณการเสพสุราของตนลง แต่ทั้งฝ่ายที่ให้สัญญาเอง และฝ่ายที่ขอสัญญา ล้วนแต่ไม่มั่นใจทั้งคู่ว่า สัญญานี้จะเป็นจริงได้สักขนาดไหน

...

สองชั่วโมงให้หลัง หยางก็ได้เรียกประชุมบรรดานายทหารในกองบัญชาการทั้งหมดที่ห้องประชุม

ห้องประชุมห้องเดียวกับที่สมัยก่อน ผู้บัญชาการป้อมปราการ กับผู้บัญชาการกองเรือรบประจำป้อมของจักรวรรดิเคยใช้ประชุมกันนั่นเอง หากแต่สมัยนั้น การประชุมมักจบลงด้วยการทะเลาะกันซะมาก

ผู้เข้าร่วมประชุมได้แก่

ผู้อำนวยการป้อมปราการ พลตรีอเล็กซ์ แคสเซิร์น

ผู้บังคับการป้องกันป้อมปราการ พลจัตวา วอลเตอร์ ฟอน เชนค็อป

รองผู้บัญชาการกองยานรบประจำป้อม พลตรีฟิชเชอร์

หัวหน้าเสนาธิการ พลตรีมุระอิ

รองหัวหน้าเสนาธิการ พลจัตวาปาตริเชฟ

เสนาธิการ ได้แก่ พันเอกแบรดโจ, พันโทเหลา

ผู้ช่วยนายทหารชั้นสูง ร้อยเอก เฟรดเดอริกา กรีนฮิลล์

และผู้บังคับการยานรบยูลิซิส พันโทนิลสัน กับรองผู้บังคับการยานรบ พันตรีเอดะ

หยางกวาดสายตามองไปยังบรรดาผู้เข้าประชุมทุกคน แล้วก็เริ่มเอ่ยปากขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบดุจกำลังพูดคุยกับเพื่อนไปดื่มน้ำชาไปกระนั้น การเอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักหรือเสียงดังไม่ใช่นิสัยของเขา

“คิดว่าพวกคุณคงทราบกันแล้วมั้ง ว่า เรือรบบลอกเคนของจักรวรรดิ ได้มาหาเราในฐานะทูตทหารและนำเรื่องที่สำคัญมาเสนอเรื่องหนึ่ง นั่นก็คือ ข้อเสนอขอแลกเปลี่ยนตัวเชลยศึกจำนวนไม่ต่ำกว่าสองล้านคนที่แต่ละฝ่าย- จักรวรรดิและสมาพันธ์- ได้จับกุมไว้ในคราวเดียว”

“ต่างฝ่ายต่างจะเลี้ยงเชลยไว้ก็มีแต่จะสิ้นเปลืองทั้งสองฝ่ายนะสิ”

พลตรีแคสเซิร์นเอ่ยปากวิจารณ์อย่างเผ็ดร้อนเป็นคนแรก ชายผู้นี้สูงสันทัด รูปร่างทะมัดทะแมง แต่เป็นผู้ที่ถนัดในงานธุรการในแนวหลังมากกว่าจะออกรบในแนวหน้า บุคลิกก็บอกว่าเป็นนายทหารธุรการมากกว่าจะเป็นนายทหารชาญศึก เป็นผู้ชำนาญการเดสก์เวิร์คอย่างหาตัวจับยาก เชี่ยวชาญงานด้านการจัดการงานส่งบำรุง, การจัดการองค์กร และการควบคุมบริหารฐานที่มั่นทางการทหาร หลังยุทธภูมิอัมริทเซอร์ เขาถูกยัดเยียดความรับผิดชอบในความล้มเหลวของการส่งกำลังบำรุง- ซึ่งอันที่จริงทั้งหมดนี้เป็นไปตามแผนการอันเหนือชั้นของจอมพลโรเอนกรัมแห่งทัพจักรวรรดิต่างหาก- ทำให้เขาถูกโยกย้ายไปดองเข้ากรุอยู่พักหนึ่ง ก่อนที่หยางจะทำเรื่องเรียกตัวให้มาปฏิบัติงานที่อิเซลโลน

จะกล่าวว่า นายกเทศมนตรีของเมืองอิเซลโลนที่มีประชากร 5 ล้านคนนี้ คือ อเล็กซ์ แคสเซิร์นผู้นี้ก็คงไม่ผิดนัก ความสามารถในเชิงบริหารจัดการของเขานั้น ต่อให้เป็นองค์กรใหญ่และซับซ้อนกว่านี้ ก็รับมือได้สบาย

“อืม นั่นก็ด้วยแหละ แต่ถ้าจะว่าอย่างนั้นนี่ ผมเองก็ต้องมีส่วนรับผิดชอบเหมือนกันนะ”

หยางตอบ ตอนที่เขายึดป้อมปราการอิเซลโลนได้ เขาจับเชลยศึกจำนวนเท่ากับพลเมืองของเมืองใหญ่ ๆ เมืองหนึ่งเลยทีเดียว

พลจัตวาเชนค็อปแค่นยิ้มออกมา ชายหน้าตาดีมาดเนี้ยบไปทุกกระเบียดนิ้วและ อายุ 33 ปีผู้นี้ คือ เจ้าของผลงานตัวจริงซึ่งรับแผนการของหยางไปปฏิบัติจนสำเร็จ เขาเป็นเชื้อสายของขุนนางชั้นสูงฝ่ายจักรวรรดิ และปู่ย่าได้พามาลี้ภัยที่สมาพันธ์นี้ตั้งแต่เขายังเด็ก เมื่อเติบใหญ่มาเป็นทหาร ก็เป็นนายทหารที่พรั่งพร้อมทั้งสติปัญญาและความสามารถในเชิงรบ แต่ในบางครั้ง ก็ถูกคนรอบข้างมองด้วยความหวาดระแวง อันเนื่องจากบุคลิกไม่ยอมลงรอยให้กับใครของเขานั่นเอง แต่เจ้าตัวก็ไม่แคร์ใด ๆ ทั้งสิ้น ใครจะสงสัยเขาหรือจะเกลียดเขาก็เชิญ

“แต่อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ใช่เรื่องตลกแล้วนะพวกเรา ไอ้ที่ว่าเลี้ยงเชลยไปก็เปลืองเปล่า ๆ นี่ มันมีความหมายแฝงที่สำคัญอยู่ว่า พวกเขาหมดเวลามานั่งเลี้ยงเชลยแล้วนะสิ... ในอีกไม่ช้า”

“หมายความว่ายังไง?”

“พูดง่าย ๆ ก็คือ มาร์ควิส ไรน์ฮาร์ด ออฟ โรเอนกรัมตัดสินใจอย่างเด็ดขาดที่จะทำสงครามกลางเมืองกับพวกกลุ่มขุนนางฐานันดรแล้วนะสิ ผมคิดว่าอย่างนั้นนะ”

ทันทีที่นามของชายหนุ่มผมทอง ผู้เป็นศัตรูหมายเลขหนึ่งของสมาพันธ์ดาวเคราะห์เสรีหลุดออกจากปากของหยาง ที่ประชุมก็เงียบกริบในทันที

ในช่วงเวลาหลายเดือนที่ผ่านมานี้ หยางได้คิดพิจารณามาโดยตลอด ว่า เขาควรจะรับมืออย่างไรดี? กับมาร์ควิส ไรน์ฮาร์ด ฟอน โรเอนกรัม ผู้กำลังก้าวเข้าไปใกล้อำนาจสูงสุดในจักรวรรดิเข้าไปทุกขณะ

การที่ไรน์ฮาร์ดจะได้อำนาจเด็ดขาดในมือนั้น หมายความว่าเขาจะต้องล้มล้างกลุ่มของขุนนางฐานันดรกลุ่มที่ใหญ่ที่สุดให้ได้ก่อน และนั่นหมายความว่าจะต้องเกิดสงครามกลางเมืองขึ้นอย่างแน่นอน ข้อมูลต่างๆ ที่หยางรวบรวมจัดหามาได้นั้นแม้จะไม่มากนักก็ตาม แต่ก็สรุปได้อย่างชัดเจนว่า ไรน์ฮาร์ดกำลังเตรียมการเพื่อการนั้นอย่างขะมักขะเม้นทีเดียว

ปัญหาก็คือ ถ้าเกิดไรน์ฮาร์ดไม่ได้เดินหมากแต่ในแดนจักรวรรดิทางช้างเผือก หากยังล่วงเลยมายังแดนสมาพันธ์ดาวเคราะห์เสรีด้วยล่ะ? สำหรับไรน์ฮาร์ดแล้ว สิ่งที่เขาต้องการหลีกเลี่ยงที่สุดคือ การที่กลุ่มขุนนางฐานันดรพวกนั้นร่วมมือกับสมาพันธ์เพื่อตีขนาบเขาหรือไม่ก็ การที่สมาพันธ์ยกทัพเข้าไปโจมตีในจังหวะที่ฝ่ายไรน์ฮาร์ดกับขุนนางฐานันดรรบกันเองจนเหนื่อยล้าทั้งคู่แล้วนั่นเอง ซึ่งอันที่จริง ทางฝ่ายสมาพันธ์เองก็ยังเลียแผลจากยุทธภูมิอัมริทเซอร์ไม่เสร็จจนถึงทุกวันนี้ ย่อมไม่มีกำลังพอจะไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องในแดนศัตรูได้อีก แต่สำหรับไรน์ฮาร์ดแล้ว ชายหนุ่มผู้นี้ย่อมต้องการหลักประกันแน่นอนสำหรับเขาต่างหาก

แล้วเขาจะทำอย่างไรล่ะ?

หยางลองวิเคราะห์สถานการณ์โดยสมมติตนเองเป็นไรน์ฮาร์ดดู และพบว่า สำหรับเขาแล้ว มีเงื่อนไขบังคับอยู่สองสามข้อ และเงื่อนไขเหล่านี้บีบบังคับให้ไรน์ฮาร์ดต้องแอบวางหมากเลยมาทางสมาพันธ์ด้วยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ผลการวิเคราะห์ของหยางคือ

1. กำลังทหารของไรน์ฮาร์ดนั้น เพียงพอที่จะสู้กับกองกำลังของขุนนางฐานันดรเท่านั้น

2. ดังนั้น เป็นไปไม่ได้ที่ตัวไรน์ฮาร์ดเองจะเปิดศึกสองด้าน

3. จากข้อ 1. และ 2. สรุปว่า ไรน์ฮาร์ดจะต้องใช้วิธีทางการเมืองจัดการกับสมาพันธ์ แทนที่จะเป็นวิธีทางการทหาร

4. ยุทธวิธีทางการเมืองที่ว่าต้องทำให้ข้าศึกแตกเป็นสองฝ่ายแล้วรบกันเองจึงจะเป็นวิธีมีประสิทธิภาพสูงสุด

จากการวิเคราะห์อย่างเป็นลำดับขั้นดั่งนี้ ทำให้หยางพอจะอ่านเกมออกคร่าว ๆ ว่า ไรน์ฮาร์ดจะใช้วิธีใดต่อสมาพันธ์

นั่นคือ ทำให้เกิดการแตกแยกรบกันเองภายในสมาพันธ์ดาวเคราะห์เสรี!

ไรน์ฮาร์ดจะต้องทำอย่างนั้นแน่ เขาหลีกเลี่ยงไม่ทำไม่ได้ ต่อให้หยางเป็นไรน์ฮาร์ด ก็คงไม่สามารถคิดวิธีอื่นนอกเหนือจากนี้ได้อีกแล้ว หากสมาพันธ์เกิดความวุ่นวายภายในขึ้นมา เขาก็ย่อมจะทุ่มเทกำลังทั้งหมดรบกับพวกขุนนางชั้นสูงได้อย่างสบายใจ ไม่ต้องพะวงหลังอีกต่อไป

ทีนี้ ในรายละเอียดทางวิธีการล่ะ จะทำอย่างไร?-- หยางคิดถึงตรงนั้น แล้วก็ได้ข้อสรุปข้อหนึ่งขึ้นมา

แต่หยางเองก็ไม่มั่นใจในความคิดของตนเองนัก เขาอดคิดไม่ได้ว่า นี่เขากำลังคิดมากไปรึเปล่า? คนภายนอกอาจจะมองว่าหยางเป็นอัจฉริยะที่เปี่ยมด้วยความมั่นใจในความคิดของตนก็จริง แต่แท้จริงแล้วตัวหยางเองไม่ได้มั่นใจในตัวเองมากเท่าไรเลย

แต่งานของหยาง ก็ไม่ได้เป็นงานที่เกี่ยวกับการค้นหาสัจธรรมหรือความจริงของชีวิตอันเป็นความจริงแท้สัมบูรณ์ สิ่งที่เขาเกี่ยวข้องด้วย คือ การรบต่างหาก- ผลแพ้ชนะในการรบ- ซึ่งเป็นสิ่งที่สัมพัทธ์กัน หากฝ่ายเราเหนือกว่าข้าศึกเพียงแค่ความหนาของกระดาษทิชชู่เพียงแผ่นเดียว ก้าวไกลกว่าข้าศึกเพียงก้าวเดียว ก็ชนะแล้ว ดูเผิน ๆ เหมือนจะทำได้ง่าย ๆ แต่ การที่จะเอาชนะอัจฉริยะทางการสงครามอย่างไรน์ฮาร์ด ฟอน โรเอนกรัมได้นั่น ย่อมไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ เลย

สำหรับหยางเองแล้ว เขายังเจ็บใจเรื่องบางเรื่องไม่หาย

ในยุทธภูมิอัมริทเซอร์เมื่อปีก่อน หยางประกอบวีรกรรมอันใหญ่หลวงในช่วงของการทำศึก เป็นวีรกรรมมหาศาลที่ไม่มีใครจะเลียนแบบได้ก็ตาม แต่ที่จริงแล้ว หากย้อนเวลาไปอีก เขายอมรับว่า เขาไม่ได้พยายามอย่างสุดตัวในตอนที่ประชุมวางแผนก่อนหน้าที่จะออกรบ ในตอนนั้นเขาควรจะทุ่มเทสุดตัวเพื่อหยุดยั้งแผนการของฝ่ายบ้าสงครามไว้ให้ได้ต่างหาก

-- เพียงแต่ว่า ต่อให้ทุ่มเท่าไรก็ตาม ก็คงเถียงแพ้อยู่ดี--

หยางคิดในใจอย่างขื่น ๆ แล้วก็ยิ้มขมขื่นอยู่คนเดียว

อย่างไรก็ตาม ในตอนนี้ หยางต้องรายงานข่าวการเสนอแลกเปลี่ยนตัวเชลยศึกของฝ่ายจักรวรรดิไปยังเมืองหลวงของสมาพันธ์- ดาวที่ได้ชื่อจากบิดาผู้ให้กำเนิดประเทศ- ไฮเนสเซน พวกรัฐบาลคงจะรับข้อเสนอนี้ด้วยความดีใจกันทีเดียวแหละ เพราะพวกเชลยศึกนั้นย่อมไม่มีสิทธิเลือกตั้ง แต่ทหารผ่านศึกนั้นมี นั่นคือ เสียงเลือกตั้งที่เพิ่มขึ้นอีก 2 ล้านเสียง บวกกับเสียงของบรรดาครอบครัวอีกหลายเท่านั่นเอง และไม่แน่ว่า อาจจะมีการเฉลิมฉลองต้อนรับคนเหล่านี้อย่างใหญ่โตทีเดียว

“จูเลียน ไม่แน่ เราอาจจะได้กลับไปไฮเนสเซนหลังจากหายไปนานแล้วก็ได้นะ”

น้ำเสียงของหยางค่อนข้างจะแจ่มใส ทำเอาจูเลียนเอียงคอด้วยความประหลาดใจ เพราะเขารู้ดีว่า ที่ไฮเนสเซนนั้น ย่อมมีบรรดางานเลี้ยงปาร์ตี้, พิธีการ, การกล่าวสุนทรพจน์ ฯลฯ ที่หยางเกลียดชังนักหนารออยู่อย่างแน่นอน

แต่สำหรับหยางแล้ว ในครั้งนี้เขาจำเป็นต้องไปไฮเนสเซนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

(อ่านตอนต่อไป)


กลับไปอ่านตอนที่แล้ว +++ กลับไปหน้าสารบัญ +++ ไปอ่านตอนต่อไป 1