นวนิยายแฟนตาซีอวกาศเรื่องยาว

วีรบุรุษทางช้างเผือก เล่ม ๒ : ความทะเยอทะยาน
銀河英雄伝説 第二巻:野望篇

เรื่อง โดย ทะนะกะ โยะชิกิ (田中芳樹) แปลโดย Pae

บทที่ 1 ลมสงบก่อนพายุใหญ่
-4-


จากอิเซลโลน หยางและจูเลียนใช้เวลาสี่สัปดาห์ในการเดินทางมาจนถึงดาวเคราะห์ไฮเนสเซน พวกเขาหลีกเลี่ยงที่จะใช้ท่าอากาศยานกลางซึ่งบัดนี้เนืองแน่นไปด้วยบรรดาทหารผ่านศึกทั้ง 2 ล้านคน กับบรรดาญาติมิตรที่มารอรับอีกจำนวนมาก อีกทั้งยังบรรดานักข่าวกลุ่มใหญ่ แต่หลบไปใช้ท่าอากาศยานที่ 3 ซึ่งเป็นท่าอากาศยานสำหรับเส้นทางลำเลียงสินค้าทางอวกาศและเส้นทางเดินอวกาศเอกชนแทน ทันทีที่ออกจากสนามบิน พวกเขาก็นั่งแทกซี่เพื่อมุ่งหน้ากลับไปยังบ้านพักทหารของหยาง แต่ปรากฏว่า ระหว่างทาง พวกเขาต้องพบกับการปิดกั้นเส้นทางจราจรที่บริเวณย่านฮัทจิสัน ซึ่งเป็นแหล่งอพาร์ทเมนต์ของผู้ใช้แรงงานและโกดังสินค้า บรรดาตำรวจในเครื่องแบบกลุ่มใหญ่ ต่างกำลังโบกไม้โบกมือควบคุมผู้คนอยู่ในสภาพเหงื่อโซมกาย ดูเหมือนว่า พวกเขากำลังชดเชยการทำงานบกพร่องของระบบควบคุมการจราจรบนบก ด้วยแรงงานตำรวจอยู่ แต่สาเหตุของการปิดกั้นการจราจรนั้นกลับไม่เป็นที่เปิดเผย หยางก้าวลงจากแทกซี่ แล้วเดินเข้าไปหานายตำรวจท่าทางไม่เป็นมิตรคนหนึ่ง ถามขึ้นว่า

“เกิดอะไรขึ้น? ทำไมตรงนี้ผ่านไม่ได้?”

“ไม่มีอะไรครับ สรุปว่า ห้ามผ่านครับ อันตราย”

ตำรวจนายนั้นตอบด้วยคำตอบที่ขัดแย้งกันเองในตัว พลางก็ใช้ตัวดันให้หยางเดินถอยกลับไปยังแทกซี่ ท่าทางคงจะไม่ทันสังเกตว่าหยางเป็นใคร อีกทั้งฝ่ายหลังยังอยู่ในชุดไปรเวตด้วย วูบหนึ่งที่หยางนึกอยากจะแสดงตนว่าเป็นใคร เพื่อจะซักถามสาเหตุของการปิดกั้นจราจร แต่สุดท้าย เขาก็ไม่ได้ทำอย่างนั้น คงยอมกลับเข้าไปในแทกซี่แต่โดยดี ความรู้สึกเกลียดชังการเบ่งใช้อำนาจยังคงเหนือกว่าความอยากรู้อยากเห็นของเขานั่นเอง

และเรื่องทั้งหมดก็กระจ่างชัดขึ้น เมื่อหยางกลับถึงบ้านพักนายทหารในย่านซิลเวอร์บริดจ์ที่ทิ้งไว้ว่างเปล่าถึง 4 เดือนแล้ว หลังจากต้องอ้อมแทกซี่ไปไกลโขทีเดียว

ทันทีที่เปิดโทรทัศน์สามมิติ (โซลิดวิชัน) รับสัญญาณของสถานีข่าว ภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก็ถูกถ่ายทอดสู่สายตาของหยาง

“... ในระยะหลัง ๆ นี้ ได้เกิดคดีอาชญากรรมอันเนื่องจากทหารผ่านศึกเป็นจำนวนมาก วันนี้ก็เช่นกัน ได้เกิดคดีสะเทือนขวัญที่ย่านฮัทจิสัน จนถึงขณะที่รายงานข่าว ก็ยังคลี่คลายคดีไม่เรียบร้อยแต่อย่างไร ทราบเพียงแต่ว่า มีผู้ถูกฆาตกรรมไปแล้วอย่างน้อย สามคน...”

ผู้ประกาศข่าวรายงานด้วยสีหน้าเศร้าสลด ขัดแย้งกับน้ำเสียงเรียบ ๆ ของเขา

ทหารที่ใช้ยากล่อมประสาท หรือ ยากระตุ้นประสาทเพื่อหลีกเลี่ยงความกลัวตายในสงครามนั้น มีอยู่จำนวนไม่น้อย และพวกเขาก็กลายเป็นผู้ติดยา กลับเข้ามาสู่สังคมพลเรือน จนกระทั่งวันหนึ่ง คนพวกนี้ก็ระเบิดออกมา ความกลัวและความบ้าคลั่งได้กลายเป็นลาวาเหลวที่พ่นออกมาหลอมละลายผู้คนรอบข้างให้ไหม้เป็นจุลไปด้วยนั่นเอง

หยางนึกถึงอะไรบางอย่างได้ เขาเรียกจูเลียนมาให้เปิดหาข้อมูลเกี่ยวกับอาชญากรรมจากคลังข้อมูลอิเลิกทรอนิกส์ (ดาต้าเซอร์วิสแบงก์) ทั้งนี้ ที่เขาไม่ทำเอง ไม่ใช่ว่ายิ่งใหญ่จนต้องใช้จูเลียนทำงานให้ทุกอย่างแต่อย่างไร แต่เป็นเพราะเขาใช้โฮมคอมพิวเตอร์ไม่เป็นจริง ๆ ต่างหาก

ความคาดการณ์ของหยางถูกต้อง จำนวนคดีอาชญากรรมที่เกิดขึ้นนั้นสูงขึ้นกว่าเมื่อห้าปีก่อนถึง 65% แต่อัตราส่วนการปิดคดีนั้นกลับลดต่ำลงอีก 22% ขณะที่ผู้คนมีจิตใจต่ำทรามลง ตำรวจก็มีความสามารถต่ำลงด้วยนั่นเอง

ในสงครามที่ยืดเยื้อมายาวนาน มีบรรดาทหารและนายทหารที่เสียชีวิตจำนวนมาก แล้วกองทัพก็ต้องจัดสรรทหารมาแทนผู้ที่เสียชีวิตไป ผลก็คือ ทำให้เกิดภาวะขาดแคลนบุคลากร (แมนพาวเวอร์) ในด้านต่าง ๆ ขึ้นในสังคม ทั้งแพทย์, ครู, ตำรวจ, ผู้ควบคุมดูแลระบบ (คอมพิวเตอร์), นักคอมพิวเตอร์ ฯลฯ ไม่ว่าคนในสาขาไหนล้วนขาดแคลนผู้ชำนาญงาน และถูกชดเชยด้วยเด็กใหม่ไร้ประสบการณ์ หรือไม่ก็ปล่อยให้ตำแหน่งนั้นว่างอยู่เช่นนั้น ส่งผลต่อไปให้สังคมซึ่งต้องเป็นพื้นฐานของกองทัพนั้นอ่อนแอลง และสังคมที่อ่อนแอนี้ ก็ทำให้กองทัพอ่อนแอลง กองทัพที่อ่อนแอเมื่อออกรบก็สูญเสียทหารไปอีกจำนวนมาก กองทัพต้องเรียกร้องหาบุคลากรมาชดเชยจากสังคม...

วงจรอุบาทว์นี้ เป็นผลมาจากภาวะสงครามอันยาวนานอย่างไม่ต้องสงสัย อยากให้บรรดาคนที่สนับสนุนสงครามด้วยคำพูดหรู ๆ ที่ว่า “เรากลัวความเน่าเฟะของสังคมในยามสันติ มากกว่ากลัวความสูญเสียที่จะเกิดจากสงคราม” ได้มาดูสภาพนี้ให้เห็นจะ ๆ กับตาเสียจริง ๆ หยางคิดในใจเช่นนั้น ก็ในเมื่อสังคมมันกำลังเสื่อมลงขนาดนี้ จะมาอ้างให้ไปรบเพื่อปกป้องอะไรกันเล่า?

ใช่สิ เพื่อปกป้องอะไรนั้นหรือ?

หยางโยนกระดาษข้อมูลเหล่านั้นทิ้งไป แล้วก็หงายหลังลงไปนอนเอกเขนกบนโซฟา หากยังคงคิดหาคำตอบของคำถามที่ว่าต่อไปละก็ คงต้องไปถึงจุดที่เขาต้องเกิดความสงสัยต่อหน้าที่การงานที่ตนเองกำลังกระทำอยู่ขึ้นมาอย่างแน่นอน การที่ค้นพบว่า สิ่งที่ตนกระทำอยู่ไม่มีความหมายใด ๆ เลยนั้น ไม่ใช่เรื่องที่น่ายินดีนักหรอก ไม่ว่าจะใครก็ตาม รวมทั้งหยางด้วยก็เช่นกัน


พิธีในช่วงบ่ายของวันรุ่งขึ้นนั้น เต็มไปด้วยการกล่าวสุนทรพจน์ยาวเฟื้อยด้วยคำสวยหรูอันไร้ความหมาย กับการปลุกระดมของบรรดาผู้นิยมทหารที่ร้อนแรงเกินเหตุ

“ในช่วงเวลาสองชั่วโมงนั่น ฉันต้องใช้ความอดทนจนเกือบหมดสต็อกที่ต้องเก็บไว้ใช้ทั้งชีวิตเลยเชียวล่ะ”

หยางซึ่งเดินออกจากโถงพิธี บ่นกับจูเลียนที่รออยู่ด้านนอกด้วยคำพูดข้างต้น ฝ่ายหลังได้แต่คิดในใจว่า น่าเห็นใจจริง ๆ ช่างอดทนได้เก่งเหลือเกิน เด็กชายรู้ดีว่า หยางเกลียดพิธีรีตองแบบนี้มาก ถึงขนาดที่ครั้งหนึ่ง เคยนั่งเฉย ๆ อยู่กับที่ในขณะที่คนทั้งห้องพิธีลุกขึ้นยืนเปล่งเสียงตะโกนไชโย ๆ กันมาแล้ว แต่คราวนี้ สงสัยเขาคงหยุดยั้งการกระทำของตนเองไว้แค่บ่นพึมพำในลำคอว่า “พล่ามอะไรอยู่ได้ ไร้สาระทั้งเพ” กระมัง

หยางสูดลมหายใจเข้าปอดลึก ๆ เฮือกใหญ่ ประดุจต้องการจะขับไล่แกสพิษที่เขาสูดเข้าไปตลอดเวลาที่อยู่ในพิธีออกจากร่างให้หมด จังหวะนั้นเอง เขาก็สังเกตเห็นกลุ่มคนประมาณ 100 คนที่กำลังเดินไปตามถนนเบื้องหน้า พวกเขาอยู่ในชุดยาวรุ่มร่ามสีขาวขอบแดง มีป้ายที่เขียนว่า “จงไขว่คว้าหาแดนศักดิ์สิทธิ์สู่มือเรา” คล้องไว้กับคอ ส่วนปากก็ท่องบ่นอะไรไปเรื่อย พลางเดินช้า ๆ ไปบนท้องถนน

“นั่นพวกไหนน่ะ?”

หยางถามนายทหารหนุ่มคนหนึ่งที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ

“อ๋อ สาวกของลัทธิบูชาโลกมนุษย์น่ะครับ”

“ลัทธิบูชาโลกมนุษย์?”

“แบบว่า เป็นลัทธิที่กำลังแพร่หลายอย่างรวดเร็วในระยะนี้น่ะครับ พวกเขาบอกว่า สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่สูงสุดควรค่าแก่การบูชานับถือ คือ โลกมนุษย์ อะไรทำนองนั้นน่ะครับ”

“โลกมนุษย์เนี่ยนะ...”

“ใช่ครับ โลกมนุษย์ที่เป็นต้นกำเนิดของมวลมนุษยชาติเท่านั้น จึงจะเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์อันแท้จริง ในตอนนี้โลกมนุษย์อยู่ในการปกครองของจักรวรรดิทางช้างเผือกก็จริง แต่ ‘สักวันหนึ่งพวกเราจะใช้กำลังทหารยึดโลกมนุษย์กลับคืนมา แล้วสร้างมหาวิหารขึ้นเพื่อชี้ทางสว่างแก่มวลมนุษยชาติ ไม่ว่าจะต้องสูญเสียไปเท่าไรก็ตาม พวกเราจะให้ความร่วมมือกับสงครามศักดิ์สิทธิ์นี้อย่างเต็มที่’... อะไรทำนองนี้ครับ”

หยางอึ้งไปด้วยความคาดไม่ถึง

“พวกเขาเชื่ออย่างนั้นจริงรึ? เรื่องนั้นเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว”

“เป็นไปได้สิครับ!”

นายทหารหนุ่มชักเกิดอารมณ์ขึ้นมา

“... ความชอบธรรมนั้นเป็นของพวกเรา และที่สำคัญ เราก็มีนายทหารเก่ง ๆ อย่างผู้การหยางอยู่ด้วย ต่อให้เป็นเรื่องการล้มล้างจักรวรรดิทางช้างเผือกที่ชั่วร้าย แล้วยึดโลกมนุษย์กลับมาก็ตาม ต้องเป็นไปได้อยู่แล้ว จริงไหมครับ?”

“อืม เรื่องมันไม่ง่ายเสมอไปหรอกคุณ”

หยางตอบด้วยน้ำเสียงที่พยายามสะกดความหงุดหงิดของตนไว้

ไม่ว่าจะยุคสมัยใดก็ตาม ก็ต้องมีพวกที่หลงงมงายอยู่ แต่นี่... มันมากเกินไปเสียแล้ว

จริงอยู่ที่โลกมนุษย์เป็นต้นกำเนิดของมวลมนุษยชาติ แต่นั่นก็เป็นเพียงแต่ในด้านของจิตใจ (เมนธอลลิสซึม) เท่านั้น- ถ้าว่ากันตรง ๆ นะ โลกมนุษย์ได้ยุติบทบาทของตนในฐานะที่เป็นศูนย์กลางของสังคมมนุษย์ไปตั้งแต่เมื่อแปดศตวรรษก่อนแล้ว เมื่ออารยธรรมขยายตัวขึ้น ศูนย์กลางของอารยธรรมนั้นก็เคลื่อนที่ไป ประวัติศาสตร์ไม่ว่ายุคไหน ๆ ก็บอกเราเช่นนั้น

เพื่อที่จะแย่งชิงดาวไกลโพ้นที่เสื่อมโทรมแล้วดวงหนึ่ง จะต้องเสียเลือดเสียเนื้อของคนไปกี่ล้านคนก็ยอม... แนวคิดแบบนี้ อยากรู้จริงว่ามีต้นกำเนิดมาจากที่ใด?

“เออ เลยนึกขึ้นได้ว่า มีกลุ่มคนที่ (บ้า) คล้าย ๆ กันอยู่กลุ่มหนึ่งนี่นา พวกคณะอัศวินรักชาติน่ะ ตอนนี้เป็นยังไงกันบ้าง?”

(แน่นอนว่า คำพูดในวงเล็บ หยางไม่ได้พูดออกไป เพียงแต่คิดไว้ในใจ)

“ไม่ทราบสิครับ แต่ได้ยินว่า สมาชิกกลุ่มอัศวินรักชาติส่วนใหญ่หันมาเข้าลัทธินี้กันหมด แนวคิดก็คล้าย ๆ กัน คงไม่รู้สึกแปลก ๆ เท่าไรมั้งครับ”

“แบ็ค ก็มาจากที่เดียวกันด้วยรึเปล่าละเนี่ย?”

คำเปรยสุดท้ายของหยางเสียงค่อนข้างเบา ทำให้นายทหารผู้นั้นไม่ได้ยิน

หยางกับจูเลียนนั่งรถแทกซี่เพื่อกลับไปพักผ่อนที่บ้าน รอจนกระทั่งถึงเวลาปาร์ตี้ในตอนหัวค่ำจึงค่อยออกมาใหม่ ระหว่างทางที่นั่งรถแทกซี่กลับไปนั้น หยางจมปลักอยู่กับภวังค์ความคิดของตนไปตลอดทาง


ในสมัยก่อน นานมาแล้ว เคยมีพวกที่เรียกว่า ครูเซเดอร์ (กองทัพสันนิบาต) อยู่บนโลกมนุษย์ พวกเขาเหล่านี้ พากันยกพลโจมตีประเทศอื่น, ทำลายบ้านเมืองคนอื่น, ฆ่าผลาญชีวิตพลเมืองชาติอื่น, แย่งชิงทรัพย์สมบัติของคนอื่น ภายใต้ข้ออ้างว่าทำสงครามเพื่อแย่งชิงดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของตนกลับคืนมา (สงครามครูเสด) และเป็นการรบซึ่งนำทางโดย “พระเจ้า” คนเหล่านี้ ไม่คิดว่าการกระทำของตนเป็นบาปชั่วช้าเลย หนำซ้ำ ยังถือว่าเป็นคุณความดีที่ได้กระทำต่อศาสนาของตนอีกด้วย โดยการทำลายล้างคนนอกรีตให้หมดสิ้น

ช่างเป็นจุดด่างพร้อยในหน้าประวัติศาสตร์ที่ถือกำเนิดขึ้นมาจากความเชื่อ, ความงมงาย, ความหลงผิด และความใจแคบโดยแท้จริง และเป็นหลักฐานอันขมขื่นที่แสดงให้เห็นว่า มนุษย์ที่มีความเชื่อในพระเจ้าและความถูกต้องของตนเองโดยไม่ลืมหูลืมตา มีโอกาสกลายเป็นฆาตกรเลือดเย็นที่เหี้ยมโหดเหลือคณานับได้ทุกขณะนั่นเอง และบัดนี้ พวกสาวกของลัทธิบูชาโลกมนุษย์กำลังจะทำให้ประวัติศาสตร์เมื่อเกือบ 2500 ปีก่อนนี้ ซ้ำรอยเดิมแต่ในสเกลที่ใหญ่ขึ้น คือ ในระดับสงครามอวกาศอย่างนั้นหรือ?

เคยมีคำกล่าวว่า คนที่ทำดีนั้นมักจะทำเพียงคนเดียว แต่คนที่ทำชั่วมักจะหาเพื่อน สำหรับเพื่อนที่ถูกหาไปตายด้วยกันนั้น ย่อมเป็นผู้ที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่อะไรเลย

แต่ ขบวนการแย่งชิงโลกมนุษย์นี้ เป็นขบวนการบ้าบิ่นอย่างที่เห็นอยู่จากเปลือกนอกนี้จริง ๆ หรือ?

เบื้องหลังของกองทัพสันนิบาต-ครูเซเดอร์นั้น มีพวกพาณิชย์นาวีเวเนเชีย, เจโนวาซึ่งมุ่งหวังจะบ่อนทำลายประเทศของพวกต่างศาสนาให้อ่อนแอลง แล้วถือโอกาสรวบอำนาจผูกขาดการค้าขายระหว่างโลกตะวันตกกับตะวันออกให้อยู่ในมือตน กล่าวคือ ความทะเยอะทะยานและความโลภ อยู่เบื้องหลังการคำนวณแผนการอย่างดีที่สนับสนุนและนำเอาความเชื่ออันงมงายของคนมาใช้ประโยชน์นี่เอง หากประวัติศาสตร์กำลังจะซ้ำรอยละก็...

หมายความว่า เบื้องหลังของลัทธิบูชาโลกมนุษย์ ก็คือ ประเทศที่สาม (มือที่สาม)- เฟซาน... อย่างนั้นหรือ?

พลันที่ฉุกคิดมาถึงตรงนี้ หยางถึงกับต้องตกตะลึงในความคิดของตนเอง และขยับตัวขึ้นกะทันหันบนที่นั่งของแทกซี่ซึ่งไม่กว้างนัก ทำเอาจูเลียนหันมามองด้วยความประหลาดใจ แล้วถามว่าเกิดอะไรขึ้น หยางได้แต่ตอบส่งเดชไป แล้วก็จมอยู่กับความคิดของตนเองต่อ

สำหรับเฟซานแล้ว หากจักรวรรดิและสมาพันธ์เปิดศึกแย่งชิงโลกมนุษย์กัน จนห้ำหั่นกันดุเดือดยิ่งกว่าที่เป็นอยู่ละก็ คงเป็นที่สบอารมณ์ของพวกเขากระมัง อันนี้เป็นสิ่งที่เข้าใจได้ แต่... ถ้าหากว่าทั้งสองฝ่ายต่างสู้กันอย่างบ้าคลั่งจนล่มสลายไปทั้งคู่ล่ะ? กลับจะทำให้ประเทศพ่อค้าอย่างเฟซานเดือดร้อนไม่ใช่หรือ ถ้าไม่ใช่สภาวะที่พอดี ๆ อยู่ในความคาดการณ์ของเฟซานได้แล้วละก็ สิ่งที่พวกเขาทำไปก็ไม่มีความหมาย แต่การที่จะควบคุมสงครามอันเกิดจากความเชื่อที่บ้าคลั่งของมนุษย์นั้น เป็นสิ่งที่ทำได้ยาก และเฟซานเองก็คงจะตระหนักดีถึงประเด็นนี้

อย่าบอกนะว่า จริง ๆ แล้วเฟซานกำลังมุ่งหวังที่จะสร้างโลกมนุษย์ให้รุ่งเรืองขึ้นมาใหม่จริง ๆ ... เป็นไปไม่ได้อย่างเด็ดขาด

“ไม่เข้าใจเลยจริง ๆ เฟซานกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่?”

หยางเผลอบ่นพึมพำออกมา แต่แล้วก็รู้สึกตัว แค่นยิ้มออกมาอย่างขำ ๆ เฟซานอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้จริงหรือไม่ก็ยังไม่แน่เลย เผลอคิดไกลไปถึงไหนแล้วก็ไม่รู้ ท่าทางที่คิดมานี่จะเสียพลังงานฟรีกระมัง นึกแล้วก็อดขำตัวเองไม่ได้

พอกลับมาถึงบ้านพัก หยางก็ชักอยากจะดื่มสักแก้วขึ้นมาตะหงิด ๆ เพื่อขับไล่ความเหนื่อยจากการคิดมากของตน จึงหันไปทางจูเลียน แล้วสั่ง

“ขอบรั่นดีสักแก้วสิ ได้เปล่า?”

“เอาน้ำผลไม้ไปแทนได้ไหมครับ?”

“... น้อย ๆ หน่อย ดื่มน้ำผลไม้แล้วจะเกิดอิมพิเรชั่นได้ยังไง?”

“ของมันอยู่ที่ใจครับ อยู่ที่ใจ”

“อะ... วิธีพูดแบบนี้นี่ ไปเอามาจากไหน หา?”

“ที่อิเซลโลน ทุกคนเป็นอาจารย์ของผมหมดแหละครับ”

หยางนึกถึงภาพใบหน้าของแคสเซิร์น, เชนค็อป และอีกหลาย ๆ คนที่ “ปากจัด” ขึ้นมา แล้วก็ส่ายหน้าดิก ๆ

“เวรแล้วไหมล่ะ ฉันน่าจะระวังเรื่องสิ่งแวดล้อมวัยเรียนรู้ของเธอให้มากกว่านี้นะ ไม่น่าเลย...”

จูเลียนหัวเราะออกมา แล้วก็ยกบรั่นดีมาให้หนึ่งแก้วแต่โดยดี ไม่วายสำทับว่า แก้วเดียวเท่านั้นนะครับ

(อ่านตอนต่อไป)

กลับไปอ่านตอนที่แล้ว +++ กลับไปหน้าสารบัญ +++ ไปอ่านตอนต่อไป 1