นวนิยายแฟนตาซีอวกาศเรื่องยาว

วีรบุรุษทางช้างเผือก เล่ม ๒ : ความทะเยอทะยาน
銀河英雄伝説 第二巻:野望篇

เรื่อง โดย ทะนะกะ โยะชิกิ (田中芳樹) แปลโดย Pae

บทที่ 1 ลมสงบก่อนพายุใหญ่
-5-


งานปาร์ตี้ในช่วงหัวค่ำนั้นค่อยยังชั่วหน่อย ทั้งนี้ ในแง่ที่ว่า เมื่อเทียบกับงานพิธีเมื่อช่วงบ่ายแล้วนะ...

ในงานนี้ก็ยังคงเริ่มต้นด้วยการกล่าวสุนทรพจน์ (Speech) ที่น่าเบื่อและปราศจากอารมณ์ขันของพวกนักการเมือง, นักธุรกิจใหญ่และข้าราชการระดับสูงติดต่อกันยาวเหยียด แต่ก็ยังดีที่ไม่ถึงกับบ้าน้ำลายมากนัก

ที่ป้อมปราการอิเซลโลนเองนั้น ก็มีงานเลี้ยงสังสรรค์เพื่อสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างทหารและพลเรือนอยู่เนือง ๆ ซึ่งในโอกาสเหล่านั้นหยางในฐานะผู้มีอำนาจสูงสุดในป้อมปราการได้รักษาสไตล์ของตัวเองในการเข้าร่วมงานมาโดยตลอด เมื่อเขาได้รับเชิญให้ขึ้นกล่าวสุนทรพจน์ เขาก็จะกล่าวสุนทรพจน์สั้น ๆ เพียงประโยคเดียวว่า

“ทุกท่าน สนุกให้เต็มที่นะครับ”

จบ

ทำเอาบรรดาท่าน ๆ ทั้งหลายทั้งฝ่ายนายทหารและพลเรือนซึ่งบ้าน้ำลายต่างก็ต้องพลอยประหยัดปากประหยัดคำไปด้วย ก็คนสำคัญที่สุดในงานเล่นกล่าวสั้น ๆ แค่นั้นแล้วนี่ จะให้พวกเขากล้าพูดพล่ามยาว ๆ ได้อย่างไรกันล่ะ

“ทูเซกคันสปีช (สุนทรพจน์สองวิฯ) ของผู้การหยาง” กลายเป็นสิ่งมีชื่อเสียงประจำป้อมปราการอิเซลโลนไปเรียบร้อยแล้ว

ในงานปาร์ตี้ครั้งนี้ ผู้การผมดำซึ่งกลายเป็นเจ้าของวีรกรรมอันลือเลื่องไปตั้งแต่ยังมีชีวิตอยู่-และยังหนุ่มแน่นอยู่เสียด้วย- กลายเป็นเป้าความสนใจของบรรดาสุภาพสตรีไฮโซที่มาร่วมงาน ทำให้ปากของหยางต้องถูกใช้ในงานอื่นตลอดเวลาแทบจะไม่ได้ใช้ในการกินและดื่มเลย

“ทำไมผู้การหยางไม่ประดับเหรียญตราเกียรติยศละคะ?”

“ก็มันหนักนี่ครับ ขืนติดมาครบละก็ เห็นทีเวลาเดินต้องหลังค่อมแน่ครับ”

“แหม ดูว่าเข้าสิ”

“จริง ๆ ครับ แล้วบุตรบุญธรรมผมก็ชอบว่าเรื่อยว่า คนที่เดินหลังค่อมน่ะ เหมือนคนแก่เลย”

บรรดาสุภาพสตรีที่ห้อมล้อมหยางอยู่ พากันหัวเราะร่วนอย่างถูกอกถูกใจ แต่คนพูดเองกลับไม่ได้รู้สึกสนุกไปด้วยเท่าไรนัก เขาได้แต่นึกในใจว่า ที่ทำอยู่นี่ถือเป็นหน้าที่ส่วนหนึ่งในเงินเดือนละกัน ไม่งั้นก็คงไม่มายืนพูดอะไรไร้สาระกับคนไร้สาระพวกนี้หรอก

ส่วนจูเลียนนั้น แอบไปนั่งหลบมุมอยู่เงียบ ๆ ที่โต๊ะตัวหนึ่งตรงมุมห้องโถงงานเลี้ยงอันกว้างขวางเกินไปนั้น เขาสอดส่ายสายตามองบรรดาผู้ร่วมงานไปมาอย่างไร้จุดหมาย ผู้ที่เข้าร่วมงานเลี้ยงนี้ล้วนแต่เป็นบุคคลมีชื่อเสียงทั้งสิ้น หากกล่าวว่าเป็นภาพที่ชวนให้ละลานตาก็ใช่อยู่

แน่นอนว่า นายกรัฐมนตรีแห่งสมาพันธ์โดยตำแหน่ง ประธานกรรมาธิการสูงสุด นายทริวนิชท์ก็มาด้วย หยางเกลียดชายเจ้าของวาจาโก้หรูผู้นี้ขนาดหนัก ถึงกับปิดสวิทช์โซลิดวิชัน (โทรทัศน์สามมิติ) ทุกครั้งที่ใบหน้าของชายผู้นี้โผล่ออกมา อีกทางหนึ่ง ก็ดูเหมือนว่านายทริวนิชท์เองก็หลีกเลี่ยงจะไม่พบหน้ากับหยางอยู่เหมือนกัน

อีกครู่ใหญ่ หยางก็สาวเท้าเดินฝ่าวงล้อมของบรรดาสุภาพสตรีพวกนั้นออกมาอย่างรวดเร็ว

“จูเลียน ได้เวลาเผ่นแล้ว”

“ครับ ผู้การ”

พวกเขานัดหมายกับใครบางคนไว้เรียบร้อยเป็นมั่นเป็นเหมาะแล้ว จูเลียนเดินไปรับกระเป๋าที่ฝากไว้กับเคานท์เตอร์หน้างานคืนมา แล้วหยางก็เข้าไปในห้องน้ำถอดชุดพิธีการออกยัดเข้าเก็บในกระเป๋า จากนั้นเปลี่ยนเป็นชุดไปรเวทที่ดูไม่สะดุดใครอย่างรวดเร็ว ทั้งสองคนหลบออกไปนอกงานเลี้ยงอย่างเงียบ ๆ โดยไม่มีใครสังเกต





คำว่า “ร้านมิไฮรอฟ” นั้น ออกจะเป็นคำเรียกที่ให้ภาพเกินจริงไปเล็กน้อย ซึ่งที่จริงแล้ว มันเป็นเพียงสแตนด์เล็ก ๆ ที่เปิดตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง ตั้งอยู่ ณ บริเวณปากทางเข้าสวนสาธารณะคอตเวลล์ อันเป็นมุมหนึ่งของย่านพักอาศัยของพวกผู้ใช้แรงงาน

บรรดาคู่รักที่ยากจนแต่เต็มไปด้วยพลังหนุ่มสาวและความหวังในชีวิต ต่างพากันมาซื้อของกินจากร้านนี้ แล้วก็ไปนั่งพรอดรักกันเป็นคู่ ๆ ตามเก้าอี้ยาวในสวนสาธารณะนั้นภายใต้แสงจากโคมไฟของเสาไฟฟ้า นี่คือ บรรยากาศของคำว่า ร้านมิไฮรอฟ

นายมิไฮรอฟคนขยัน ซึ่งเคยเป็นกุ๊กอยู่ในกองทัพด้วยนั้น เขายืนทำอาหารขายอยู่คนเดียวอย่างขะมักเขม้น เวลาที่ลูกค้ามาก ๆ นั้น เขายุ่งขนาดไม่มีเวลาเงยหน้ามองหน้าลูกค้าด้วยซ้ำว่าใครเป็นใครบ้าง ทำให้เขาไม่ทันสังเกตเห็นลูกค้าแปลก ๆ กลุ่มหนึ่งที่ประกอบด้วยชายชราหนึ่งคน, ชายหนุ่มหนึ่งคนและเด็กชายอีกหนึ่งคนที่เดินเข้าไปซื้อของกินจากเขา ทั้งนี้ แสงไฟสลัว ๆ นั้นก็มีส่วนทำให้เขามองเห็นหน้าลูกค้าไม่ชัด

หลังจากสั่งปลาเนื้อขาวทอด, มันฝรั่งทอดเฟรนช์ไฟร์, คิชพายและ ชานมเย็นแล้ว ลูกค้าสามคนกลุ่มนั้นก็เดินไปยึดเก้าอี้ยาวตัวหนึ่งในสวนสาธารณะ แล้วเริ่มกินและดื่ม ดูเผิน ๆ เหมือนกับเป็นการปิกนิกยามดึกของชายสามรุ่นเลยทีเดียว... ทั้งนี้จะว่าไปทั้งสามคนไม่ได้กินอะไรเป็นชิ้นเป็นอันมาเลยจากงานปาร์ตี้ที่พวกเขาเพิ่งหนีออกมา...

“ให้ตายเถอะ นึกไม่ถึงเลยว่า พวกเราต้องมาแอบนัดพบกันในสถานที่แบบนี้ และในสภาพอย่างนี้ด้วยหนา ลำบากจริง ๆ เล้ย”

“แต่ผมกลับรู้สึกสนุกดีนะครับท่าน นึกถึงสมัยก่อนที่พวกผมพยายามใช้สมองทื่อ ๆ คิดหาวิธีแอบหนีเที่ยวจากหอพักนักเรียนนายทหารให้ได้นะครับ”

หากเจ้าของร้าน นายมิไฮรอฟ รวมทั้งลูกค้าคนอื่น ๆ ทราบว่า ชายชราผู้นี้คือ ท่านผู้บัญชาการกองยานรบอวกาศ พลเอกบิวค็อก ส่วนชายหนุ่มคือ ท่านผู้บัญชาการป้อมปราการอิเซลโลน พลเอกหยางแล้วละก็ พวกเขาคงจะต้องตกตะลึงจนตัวแข็งไปตาม ๆ กันเป็นแน่ นายทหารระดับสูงของกองทัพทั้งสองคนนี้ ต่างก็พากันแอบออกจากงานปาร์ตี้ แล้วมานัดพบกันที่นี่นั่นเอง

อาหารว่างในรูปแบบของฟิชแอนด์โปเตโต้ (ปลาทอดและมันฝรั่งทอด) นี้ มีบางอย่างทำให้หยางหวนนึกถึงความหลังสมัยเรียนอยู่ในวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร หยางกับเพื่อนสนิท-ฌอง โรแบรท์ แร็พชอบแอบหนีออกจากหอพักตอนกลางคืนมาหาซื้อของแบบนี้กินกันบ่อย ๆ ตามสแตนด์ลักษณะนี้

หากพวกเขาดื่มไวน์แล้วพอแค่นั้น ก็คงไม่เป็นไร แต่พวกเขากลับสั่งสุราหมักดีกรีรุนแรงอย่างชนัปส์มาลองดื่มกัน เล่นเอาพอเดินออกจากร้านถึงกับเอนตัวหงายหลังตีลังกา นอนกลิ้งอยู่แถวข้างถนนหน้าร้านนั่นเอง จากนั้นเจสสิก้า เอ็ดเวิร์ดซึ่งได้รับการติดต่อจากเจ้าของร้าน ก็รีบเดินทางมาถึงที่เกิดเหตุ แล้วจัดแจงลากชายหนุ่มทั้งสองเข้าไปหลบอยู่ในร้านก่อน เพื่อไม่ให้อาจารย์ผู้เข้มงวดคนไหนผ่านมาเห็นเข้า

“ฌอง โรแบรท์ แร็พ, หยางเหวินหลี่ ตื่นเดี๋ยวนี้นะ เลิกเมาได้แล้ว ถ้าพวกคุณไม่กลับไปหอพักก่อนรุ่งสางละก็ เกิดอะไรขึ้นฉันไม่รู้ด้วยนะ!”

กาแฟที่เจสสิก้าชงมาให้หนุ่มแฮงค์ทั้งสองดื่มแก้เมานั้น เป็นกาแฟดำขมปี๋ก็จริง หากแต่สำหรับหนุ่มทั้งสองกลับรู้สึกว่ามันหวานอย่างประหลาด

และบัดนี้ ฌอง โรแบรท์ แร็พผู้นั้นก็ได้เสียชีวิตไปแล้วในศึกแอสทาเทเมื่อปีกลาย ส่วนเจสสิก้า เอ็ดเวิร์ดซึ่งเป็นคู่หมั้นของผู้ตายนั้นเล่า ตอนนี้เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในโควตาของเขตดาวเทิร์นนูเซน และกลายเป็นผู้นำของฝ่ายรักสันติและต่อต้านสงครามไปแล้ว...

ไม่ว่าอะไรก็เปลี่ยนแปลงไปหมด ขณะที่เวลาก็เดินไปของมันเรื่อย ๆ นั้น เด็กก็กลายเป็นผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่ก็แก่ตัวลง สรรพสิ่งล้วนเปลี่ยนไปในทางที่ไม่สามารถจะหวนกลับคืนสภาพเดิมได้อีก

เสียงของผู้การชราทำลายภวังค์ความคิดของหยางว่า

“เอาล่ะ ถ้าเป็นที่นี่ละก็ไม่ต้องกลัวว่าจะมีใครมาแอบฟัง คุณมีเรื่องอะไรก็บอกมาได้เลย”

“ครับผม”

หยางกลืนปลาทอดชิ้นที่เท่าไรจำไม่ได้แล้วลงกระเพาะไป จากนั้นก็ดื่มชานมตาม แล้วจึงเอ่ยปากขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยว่า

“เป็นไปได้ว่าอีกไม่ช้า จะเกิดรัฐประหารขึ้นในประเทศนี้ครับ”

น้ำเสียงของเขาเรียบ ๆ เอื่อย ๆ ตามสไตล์ของตนเอง เหมือนกำลังพูดเรื่องไม่สำคัญ แต่เนื้อหาของคำพูดนั้นหนักแน่นรุนแรงเพียงพอที่จะทำให้มือของผู้การเฒ่าที่กำลังจะหยิบของกินเข้าปากต้องชะงักค้างเติ่งอยู่กลางอากาศเลยทีเดียว

“รัฐประหารนี่นะ?”

“ครับ”

และนี่คือ คำตอบที่หยางค้นพบนั่นเอง เขาเริ่มอธิบายเกี่ยวกับเจตนาของมาร์ควิสไรน์ฮาร์ด ฟอน โรเอนกรัมที่เขาวิเคราะห์ได้ให้อีกฝ่ายฟังอย่างละเอียดด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ รวมทั้งเพิ่มเติมด้วยว่า คนที่กำลังจะก่อรัฐประหารนั้นคงไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่า ตนเองตกเป็นเครื่องมือของมาร์ควิสออฟโรเอนกรัมเสียแล้ว บิวค็อกพยักหน้าแสดงความเข้าใจ แล้วกล่าวว่า

“อืมห์ สมเหตุสมผล เป็นไปได้มากทีเดียว แต่ถ้าเป็นอย่างนี้ เกิดรัฐประหารสำเร็จขึ้นมาล่ะ มาร์ควิสโรเอนกรัมจะแสดงตัวออกมาครอบงำประเทศนี้เลยรึเปล่า?”

“สำหรับมาร์ควิสออฟโรเอนกรัมแล้ว งานนี้สำเร็จหรือไม่สำเร็จก็ไม่แคร์หรอกครับ เพราะสิ่งที่มีความหมายสำหรับเขาก็คือ การที่สมาพันธ์เกิดการแตกแยกกันเองภายในต่างหาก”

“เข้าใจล่ะ”

ผู้การเฒ่าขยำถ้วยกระดาษที่ว่างเปล่าจนบี้แบน

“เพียงแต่ว่า ในการที่จะยั่วยุให้ก่อรัฐประหารนั้น เขาย่อมต้องทำให้อีกฝ่ายเชื่อก่อนว่า รัฐประหารนี้จะสำเร็จได้อย่างแน่นอน คงใช้วิธีเสนอแผนการที่ละเอียดสมบูรณ์แบบแล้วก็มีความเป็นไปได้สูงให้ดูนะครับ”

“อืมห์”

“การจะก่อความไม่สงบในส่วนภูมิภาคนั้น หากไม่ใช่เหตุการณ์ใหญ่จริง ๆ และมีแนวโน้มว่าจะสามารถขยายผลไปยังภูมิภาคอื่น ๆ ได้นั้น ไม่มีทางที่จะทำให้ศูนย์อำนาจที่ส่วนกลางสั่นสะเทือนได้ เพราะฉะนั้น วิธีที่ดีที่สุดก็คือ การยึดอำนาจจากภายในตัวเมืองหลวงเองครับ ยิ่งเป็นวิธีจับผู้นำคนสำคัญเป็นตัวประกันละก็ น่าจะได้ผลที่สุด”

“ก็น่าจะเป็นอย่างนั้นนะ”

“ทีนี้ มันก็จะมาติดขัดตรงที่ว่า คำว่าศูนย์กลางอำนาจนี่มันรวมถึงศูนย์กลางกำลังทหารด้วยนะสิครับ นั่นคือ ต่อให้พวกเขาปฏิบัติการยึดอำนาจได้สำเร็จก็ตาม พอเจอกับกลุ่มกำลังที่เป็นระบบอย่างกองทัพเข้าแล้วนี่ ก็คงจะถูกปราบปรามได้อย่างรวดเร็ว เรียกว่า ต่อให้สำเร็จก็คงจะอยู่ในอำนาจได้ไม่นานนัก”

หยางโยนมันฝรั่งทอดชิ้นสุดท้ายเข้าปาก

“เพราะฉะนั้น พวกเขาจะต้องประสานงานกันระหว่างการก่อความไม่สงบในภูมิภาค แล้วก็การยึดอำนาจในเมืองหลวง”

จูเลียนซึ่งนั่งอยู่ข้าง ๆ ด้วย ได้แต่ทำตาเป็นประกายฟังคำอธิบายวิธีการวิเคราะห์สถานการณ์ของผู้บัญชาการหนุ่ม นี่คือ คำตอบที่ได้หลังจากคิดวิเคราะห์มาตลอดหลายเดือนของอีกฝ่ายนั่นเอง

“สรุปก็คือ พวกมันจะต้องหาวิธีทำให้กำลังทหารของเมืองหลวงถูกแบ่งกระจายออกไปใช่ไหม? เพื่อการนี้ ก่อนอื่นก็จะก่อความไม่สงบที่รอบนอกก่อน ทำให้กองทัพต้องส่งกำลังออกไปปราบ พอเมืองหลวงมีกำลังอ่อนลง พวกนี้ก็จะเข้ายึดครองทันที อืมห์ ถ้าสำเร็จละก็ ช่างเป็นปฏิบัติการที่สวยงามประดุจภาพวาดของจิตรกรเลยนะนี่”

“ครับ แต่ก็อย่างที่ผมบอกไว้ตะกี้นี้แหละครับว่า สำหรับมาร์ควิสออฟโรเอนกรัมแล้ว รัฐประหารครั้งนี้จะสำเร็จหรือไม่ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ จุดมุ่งหมายของเขาเพียงแค่ต้องการให้สมาพันธ์เกิดการแตกแยกและความไม่สงบขึ้นภายใน จนกระทั่งไม่มีเวลายื่นมือไปยุ่งกับสงครามกลางเมืองของจักรวรรดิเท่านั้นเองครับ”

“ช่างคิดช่างสรรหาเรื่องยุ่งยากมาให้แท้ ๆ หนอ”

“ครับ สำหรับพวกเราที่จะถูกปั่นหัวนะครับ ยุ่งเลยล่ะ แต่สำหรับคนปั่นหัวแล้ว ไม่ต้องเปลืองแรงอะไรมากนัก”

หยางคิดต่อในใจว่า สำหรับหนุ่มผมทองอัจฉริยะผู้นั้นแล้ว นี่ก็แค่เกมฆ่าเวลาหลังอาหารของเขาเท่านั้นเอง

“แล้วทางเรานี่ ใครจะเป็นคนเข้าร่วมก่อการบ้าง คุณคงหมดปัญญาคาดได้เหมือนกันสินะ”

“ฮะ ๆ เรื่องนั้นนี่ สุดปัญญาจริง ๆ ครับ”

“แล้ว ทีนี้ ผมก็จะต้องเตรียมการป้องกันการก่อรัฐประหารที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้ ไม่ให้มันเกิดขึ้นได้ละสิท่า”

“ครับ หากปล่อยให้เขาก่อการขึ้นมาแล้วละก็ ต่อให้เราปราบสำเร็จก็ตาม ก็ต้องใช้เวลาและมีความสูญเสียเกิดขึ้น แต่ถ้าสามารถตัดไฟแต่ต้นลมได้ก่อนละก็ ใช้เพียงแค่กองทหารพระธรรมนูญสักกองเดียวก็พอแล้ว”

“อืมห์ เข้าใจล่ะ ภาระหนักอึ้งเลยนะนี่”

“แล้วก็... มีเรื่องที่อยากจะขออีกเรื่องนึงครับผม”

“อะไรรึ?”

คราวนี้ หยางพูดด้วยน้ำเสียงค่อนข้างเบาทำให้ผู้การเฒ่าต้องเอียงหูเข้าใกล้ถึงจะได้ยิน

จูเลียนซึ่งนั่งห่างออกมาไม่ได้ยินคำพูดนั้น เขารู้สึกผิดหวังเล็กน้อย แต่ก็คิดได้ว่า หากเป็นเรื่องที่บอกให้เขารู้ได้ละก็ สักวัน หยางก็คงบอกเองแหละ สำหรับตอนนี้เพียงแค่ได้มีโอกาสฟังเรื่องจนถึงตอนนี้ก็เพียงพอที่จะทำให้เด็กชายรู้สึกตื่นเต้นไปทั้งตัวแล้ว

“ได้สิ”

บิวค็อกพยักหน้าแรง ๆ ครั้งหนึ่ง

ผมจะจัดการและส่งให้ถึงมือคุณให้เรียบร้อยก่อนที่คุณจะออกเดินทางจากไฮเนสเซนอย่างแน่นอน... แต่หวังว่า เราจะไม่ต้องใช้มันจะเป็นการดีที่สุดนา”

หยางเป่าลมใส่ถุงกระดาษใส่มันฝรั่งทอดที่กินหมดไปแล้วจนโป่งออก แล้วก็ตบมันแตกดังปัง ทำเอาคนที่นั่งอยู่เก้าอี้ตัวอื่นหันมามองอย่างตกใจ

“ขอบพระคุณครับ และขอโทษที่ต้องรบกวนท่านด้วยนะครับ เรื่องมันอย่างนี้แหละครับ ผมจะคุยกับใครก็ไม่ได้ นอกจากท่านคนเดียวเท่านั้นที่พอจะเชื่อใจได้”

หยางขยำถุงกระดาษที่ตนตบแตกไปแล้วเป็นก้อน แล้วก็เขวี้ยงออกไป โรบอทคาร์ทำความสะอาดที่มีรูปร่างครึ่งทรงกลมคว่ำ วิ่งเตาะแตะเข้ามาทันทีพลางส่งเสียงเพลงเป็นทำนองเพลงฮิตเมื่อ 20 ปีก่อน จัดแจงดูดขยะชิ้นนั้นเข้าไปในตัวของมัน บิวค็อกโยนถุงกระดาษไปหาโรบอทคาร์บ้าง แล้วยกมือขึ้นลูบคางที่ค่อนข้างกลมมนของตนขณะที่ลุกขึ้นยืน

“ถ้างั้น เราแยกย้ายกันกลับก็แล้วกัน รักษาเนื้อรักษาตัวด้วยนา”

เมื่อร่างของผู้การชราหายลับตาไปในหมู่ตึกยามค่ำคืนแล้ว พวกหยางก็ลุกขึ้นยืนบ้าง

ขณะที่เดินเคียงคู่ไปกับหยางมุ่งหน้าสู่ท่ารถแทกซี่แบบไร้คนขับ จู่ ๆ จูเลียนก็นึกขึ้นมาว่า ป่านนี้พวกที่จะก่อรัฐประหารก็คงจะกำลังประชุมวางแผนกันอยู่ที่ไหนสักแห่งอย่างเงียบ ๆ ไม่ให้ใครรู้กระมัง

พอจูเลียนพูดออกไปตามความคิดตน หยางก็ยิ้มอย่างขำ ๆ ตอบว่า

“นั่นสินะ ประชุมไปก็คงจะกินอาหารดี ๆ กว่าพวกเรา แล้วก็ทำหน้าเคร่งเครียดกว่าพวกเราเมื่อกี้ด้วย”

(อ่านตอนต่อไป)

กลับไปอ่านตอนที่แล้ว +++ กลับไปหน้าสารบัญ +++ ไปอ่านตอนต่อไป 1