นวนิยายแฟนตาซีอวกาศเรื่องยาว

วีรบุรุษทางช้างเผือก เล่ม ๒ : ความทะเยอทะยาน
銀河英雄伝説 第二巻:野望篇

เรื่อง โดย ทะนะกะ โยะชิกิ (田中芳樹) แปลโดย Pae

บทที่ 2 ชนวนระเบิด
-1-


เมื่อตอนที่รินซ์ถูกนำตัวไปพบผู้บัญชาการกองเรือรบอวกาศของทัพจักรวรรดิ จอมพลมาร์ควิส ไรน์ฮาร์ด ฟอน โรเอนกรัมนั้น เป็นเวลาเดือนพฤศจิกายน ของปีที่แล้ว ซึ่งนับเป็นเวลาหลังจากที่ไรน์ฮาร์ดตีทัพของสมาพันธ์ที่มาบุกรุกแดนจักรวรรดิให้แตกพ่ายกลับไปแล้วไม่นานนัก

หลังจากตกเป็นเชลยศึกอย่างไร้ศักดิ์ศรี ในศึกที่หมู่ดาวเอลฟาซิลแล้ว รินซ์ก็ต้องดำเนินชีวิตอย่างยากแค้นในสถานดัดนิสัยซึ่งอยู่ในเขตหมู่ดาวไกลโพ้นของจักรวรรดิ

คำว่า สถานกักกันเชลยศึกนั้น ไม่มีอยู่ในจักรวรรดิทางช้างเผือก บรรดาทหารและนายทหารของ “ทัพกบฏ” นั้น ล้วนแล้วแต่ถือว่าเป็นผู้ที่มีความคิดต่อต้านจักรวรรดิซึ่งนับเป็นอาชญากรการเมืองตัวฉกาจ ดังนั้นถึงถูกส่งเข้าไปดัดนิสัย ณ สถานดัดนิสัย เพื่อที่จะอบรมบ่มเพาะให้สำนึกในแนวคิดที่ผิดของตน

ในสถานดัดนิสัยอันกว้างใหญ่ไพศาลนั้น อยู่ในสภาพที่พอจะปลูกพืชเพื่อเลี้ยงชีพตนเองได้ ทัพจักรวรรดินั้นเพียงแต่คอยเฝ้าจับตาดูอยู่ที่เส้นเขตแดนเท่านั้น และคอยมาแจกจ่ายยาและเครื่องนุ่งห่มทุก ๆ 4 สัปดาห์ แต่ไม่เข้ามาก้าวก่ายชีวิตของบรรดาอาชญากรการเมืองในสถานดัดนิสัยเท่าไรนัก ซึ่งสิ่งนี้ หาใช่เป็นความใจกว้างของทัพจักรวรรดิไม่ หากแต่บ่งบอกถึงความอัตคัดทางด้านงบประมาณและกำลังคนที่จะใช้ในด้านนี้ต่างหาก ต่อให้ในจักรวรรดิทางช้างเผือกนี้ใช้ระบบเกณฑ์ทหารโดยบังคับกับพลเมืองทุกคนก็ตาม พวกเขาก็ไม่ได้มีกำลังคนมากพอที่จะส่งมาดูแลตลอดทั่วถึงเขตดาวไกลโพ้นเช่นนี้ได้ เรียกได้ว่า ปล่อยให้พวกอาชญากรการเมืองเหล่านี้อยู่กันเอง ฆ่าแกงกันเองยิ่งมากเท่าไรยิ่งดี

ส่วนทางด้านสมาพันธ์ดาวเคราะห์เสรีนั้น ในตอนแรก ก็ต้อนรับขับสู้บรรดาเชลยศึกของทัพจักรวรรดิอย่างดีทีเดียว ด้วยมุ่งหวังว่าจะให้พวกเขาสัมผัสกับความดีงามของระบบสังคมเสรีด้วยตัวพวกเขาเอง เป็นการทำจิตวิทยาเพื่อดึงใจของฝ่ายตรงข้าม แต่เมื่อสงครามระหว่างสองประเทศดำเนินอย่างต่อเนื่องถึงกว่าศตวรรษ สมาพันธ์ก็ไม่อยู่ในฐานะจะฟุ่มเฟือยเช่นนั้นได้อีก ดังนั้นในปัจจุบัน ฐานะของเชลยศึกจากทัพจักรวรรดิที่อยู่ในความดูแลของสมาพันธ์จึงอยู่กลาง ๆ ระหว่างพลเรือนสมาพันธ์ทั่วไปกับนักโทษในคุกเท่านั้น

... รินซ์และบรรดาลูกน้องที่ถูกจับมาด้วยกัน ในตอนแรกก็รวมกลุ่มกันอาศัยอยู่ในโคโลนีหนึ่ง แต่ตอนหลังพวกทหารซึ่งถูกจับเข้ามาใหม่ ก็เป็นผู้เผยแพร่ข่าวความอัปยศที่เอลฟาซิล และทำให้พวกของรินซ์ถูกมองด้วยสายตาดูถูกเหยียดหยามจากบรรดาเชลยศึกด้วยกัน

รินซ์เลือกที่จะหนีความจริงโดยหันไปสู่โลกของสุรา สถานะที่ไม่สามารถที่จะแก้ต่างให้กับตนเองได้เลย ไม่ว่าจะถูกประนามก่นด่าอย่างไรก็ตาม ทำให้เขากลายเป็นคนเช่นนั้น นอกจากนี้ เขายังได้ทราบข่าวจากเชลยศึกรุ่นหลังด้วยว่า ภรรยาของตนได้เปลี่ยนนามสกุลกลับไปเป็นนามสกุลเดิม และพาลูกของเขาทั้งสองคนกลับไปอยู่กับตายายแล้วด้วย ข่าวนี้ยิ่งทำให้เขาดื่มหนักข้อขึ้นไปอีก จนกระทั่งแม้แต่บรรดาลูกน้องเก่าของเขา ก็เริ่มเอือมระอาและมองเขาด้วยสายตารังเกียจอย่างเปิดเผยบ้าง

และ อยู่มาวันหนึ่ง เรือลาดตระเวนลำหนึ่งก็มาจอดลงที่สถานที่นั้น แล้วพาตัวเขามายังดาวเมืองหลวงโอดีนของจักรวรรดิ

มาร์ควิสไรน์ฮาร์ด ฟอน โรเอนกรัมนั้น แตกต่างจากหยางเหวินหลี่ตรงที่ มองจากภายนอกก็รู้ได้เลยว่า คนผู้นี้มิใช่คนธรรมดาแน่

อายุของเขาในตอนนั้นยี่สิบปี รูปร่างสูงโปร่งของเขามองปราดเดียวก็จะตระหนักได้ถึงความสง่างามและความปราดเปรียวในตัว ผมสีทองซึ่งหยักศกเล็กน้อย บัดนี้ยาวขึ้นกว่าปีก่อน และมองเผิน ๆ เหมือนแผงคอของราชสีห์ ผิวกายอันขาวนวลปราศจากริ้วรอยและสิวฝ้า ใบหน้าอันประกอบด้วยตาและจมูกที่สวยงามกลมกลืน ประดุจได้รับพรจากเทพธิดาแห่งความงามไว้ในตัวแต่ผู้เดียว แต่ถึงกระนั้น ความสง่างามของชายผู้นี้ ก็คงไม่สามารถบรรยายได้ว่า งามประดุจเทพบุตร เนื่องเพราะดวงตาสีไอซ์บลูของเขานั่นเองที่เปล่งประกายอันแข็งกล้า ทะเยอทะยาน ประดุจดวงตาของลูซิเฟอร์ที่อยากจะยิ่งใหญ่เกินกว่าพระเจ้ากระนั้น

“เจ้าคือ พลตรีรินซ์ ไม่ผิดแล้วใช่ไหม?”

เป็นคำถามหลังจากที่ทหารองครักษ์ พาชายผู้หนึ่งมานั่งบนเก้าอี้เบื้องหน้าโต๊ะทำงานของเขา น้ำเสียงของเขานั้นเต็มไปด้วยความเย็นชา อันเจ้าตัวก็รู้ตัวและจงใจให้เป็นเช่นนั้น เพราะชายที่อยู่เบื้องหน้าตน คือไอ้หน้าตัวเมียที่สมควรแก่การถ่มน้ำลายใส่จริง ๆ

“... นายเป็นใคร?”

“ไรน์ฮาร์ด ฟอน โรเอนกรัม”

รินซ์เบิ่งตาที่ขุ่นขาวและมีรอยแดงของเส้นเลือดฝอยของเขาออกกว้าง

“โอ้โฮ นายน่ะนะ คือโรเอนกรัม... ยังหนุ่มขนาดนี้เชียว หนุ่มจริง ๆ รู้จักเอลฟาซิลรึเปล่า? กี่ปีมาแล้วนี่ ตอนนั้น นายยังเป็นเด็กตัวเล็ก ๆ อยู่เลยมั้ง ข้านะเป็นถึงพลตรีเชียวนะ ฮะ ๆ...”

ด้านซ้ายของไรน์ฮาร์ดยืนไว้ด้วยนายทหารหนุ่มผมแดงร่างสูงโย่งผู้หนึ่ง ดวงตาสีฟ้าของนายทหารผู้นี้เต็มไปด้วยความเกลียดชังและความสมเพช

“คุณไรน์ฮาร์ดขอรับ ผู้ชายอย่างนี้จะใช้การได้เรื่องหรือขอรับ?”

“ฉันจะทำให้มันใช้การได้เรื่องเอง เคียร์ชไอซ์ ไม่งั้น มันก็ไม่มีค่าที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป”

จอมพลหนุ่มผมทองหันกลับมาจ้องหน้ารินซ์อีกครั้ง ด้วยสายตาแหลมคมเยือกเย็นประดุจดาบที่ทำจากน้ำแข็ง

“ฟังให้ดี รินซ์ เราจะไม่พูดซ้ำสองอีก เราจะมอบหมายให้เจ้าทำงานอย่างหนึ่งให้เรา หากทำสำเร็จจะแต่งตั้งให้เจ้าเป็นพลตรีประจำกองทัพจักรวรรดิ”

ปฏิกิริยาตอบสนองของอีกฝ่ายค่อนข้างช้า แต่ก็เป็นปฏิกิริยาที่แสดงถึงการรับรู้อย่างชัดเจน ดูเหมือนว่าในดวงตามัว ๆ ที่แดงก่ำของชายผู้นี้จะมีแสงสว่างออกมาแวบหนึ่ง รินซ์สั่นศีรษะหลายครั้งประดุจจะขับไล่ม่านหมอกพิษของแอลกอฮอล์ที่กัดกินสมองของเขาออกไปให้หมด

“พลตรี... พลตรีเหรอ ฮะ ๆ ๆ”

เขาแลบลิ้นออกมาเลียริมฝีปากทั้งบนล่าง ก่อนจะพูดต่อ

“ไม่เลวนี่... ว่าแต่ จะให้ข้า เอ้อ ฉันทำอะไรล่ะ?”

“ให้เจ้าลอบกลับไปยังประเทศเกิดของเจ้า แล้วชักชวนผู้คิดการใหญ่ในกองทัพให้ก่อรัฐประหารขึ้น!”

หลังจากอึ้งไปพักใหญ่ เสียงหัวเราะอย่างบ้าคลั่งก็ดังขึ้น

“ฮ่า ๆ ๆ บ้าน่ะ เป็นไปไม่ได้ ไม่มีทางสำเร็จเด็ดขาด นี่นายล้อฉันเล่นละสิท่า”

“เป็นไปได้ เราเตรียมแผนการไว้ให้เจ้าแล้วอยู่ในบันทึกนี้ หากเจ้าทำตามนี้รับรองว่าต้องสำเร็จแน่”

ดวงตาของรินซ์เริ่มทอประกายอีกครั้งหนึ่ง

“แต่... หากฉันพลาดถูกจับตอนลอบเข้าประเทศละก็ มีหวังตายแหงแก๋ ตายแน่ ๆ สิ พวกมันไม่ปล่อยฉันไว้แน่...”

“ถ้าถึงตอนนั้น เจ้าก็จงตายซะ”

น้ำเสียงของไรน์ฮาร์ดประดุจกลายเป็นแส้ที่หวดฟาดผ่านอากาศ

“นี่เจ้ายังนึกว่า เจ้าในตอนนี้ยังมีคุณค่าพอแก่การมีชีวิตอยู่ต่อไปอย่างนั้นรึ? เจ้าน่ะเป็นคนขี้ขลาดตาขาว หน้าไม่อายทิ้งได้แม้กระทั่งพลเรือนที่เจ้าต้องปกป้องและลูกน้องที่เจ้าต้องดูแล เพียงเพื่อที่จะหนีให้พ้นข้าศึก ไม่มีใครเขาเห็นใจเจ้าแม้แต่คนเดียวหรอก ถึงกระนี้แล้วเจ้ายังคิดจะเสียดายชีวิตอีกอย่างนั้นรึ?”

เสียงพูดนี้แทรกซึมเข้าไปครอบงำระบบประสาทอันมืดมนของรินซ์แทนฤทธิ์แอลกอฮอล์ แล้วก็ทำให้เขาตื่นตัวขึ้น พลังงานที่จิตใจของรินซ์มีอยู่นั้น ขัดแย้งกันเองในด้านคุณภาพและปริมาณ เขาได้แต่นั่งตัวแข็ง เหงื่อไหลโทรมกายอยู่เช่นนั้น

“ใช่สิ ฉันมันคนขี้ขลาด...”

เสียงพึมพำเบา ๆ แต่ชัดเจนดังขึ้นในที่สุด

“มาถึงขั้นนี้แล้ว ไม่มีทางจะกอบกู้ศักดิ์ศรีคืนมาอีกแล้ว ถ้าเป็นอย่างนี้ละก็ สู้ลองกลายเป็นคนเลวให้ถึงที่สุดไปเลยดีกว่า...”

เขาเงยหน้าขึ้น ดวงตาคู่นั้นยังคงขุ่นมัวเหมือนเดิม หากแต่ลึกลงไป ดูเหมือนมีเปลวเพลิงที่ลุกโชนอยู่

“โอเค ฉันจะทำงานนี้ให้เอง อย่าลืมสัญญาเรื่องยศพลตรีล่ะ”

ในน้ำเสียงของเขา มีแววของความกระตือรือร้นที่หายไปจากตัวถึงสิบกว่าปีแล้ว กลับมาอีกครั้งหนึ่ง

(อ่านตอนต่อไป)


กลับไปอ่านตอนที่แล้ว +++ กลับไปหน้าสารบัญ +++ ไปอ่านตอนต่อไป 1