นวนิยายแฟนตาซีอวกาศเรื่องยาว

วีรบุรุษทางช้างเผือก เล่ม ๒ : ความทะเยอทะยาน
銀河英雄伝説 第二巻:野望篇

เรื่อง โดย ทะนะกะ โยะชิกิ (田中芳樹) แปลโดย Pae

บทที่ 2 ชนวนระเบิด
-2-


“หากเจ้านั่นทำสำเร็จ หยางก็จะต้องเผชิญกับเรื่องภายในประเทศของเขา หมดสิทธิ์ที่จะมายุ่งกับเรื่องทางเรา”

ไรน์ฮาร์ดหันไปเงยหน้ามองสหายรักของตน หลังจากรินซ์จากไปแล้ว

“ขอรับ... เจอสภาพที่ความสงบสุขภายในถูกทำลายลงแบบนี้ กองทัพกบฏก็คงยกธงขาวแน่นอนขอรับ”

“ความสงบสุขหรือ? คำว่า ความสงบสุขนั้นนะ เคียร์ชไอซ์เอ๋ย เป็นแค่คำที่บ่งบอกถึงยุคสมัยอันเต็มไปด้วยความผาสุกที่คนไร้ความสามารถจะไม่ถูกประณามในความไร้ความสามารถของตนเท่านั้นแหละ นายดูไอ้พวกขุนนางฐานันดรทั้งหลายสิ”

คำพูดของไรน์ฮาร์ดเต็มไปด้วยความเผ็ดร้อน

จักรวรรดิทางช้างเผือกนั้น เปลือกนอกอยู่ภายใต้สภาวะสงครามกับสมาพันธ์ดาวเคราะห์เสรีมานานแล้วก็จริง แต่ภายใต้สภาพนี้ บรรดาชนชั้นขุนนางฐานันดรกลับล้อมรั้วสร้างดินแดนแห่งความผาสุกเฉพาะพวกตนเองเท่านั้นขึ้นมา ขณะที่ ณ อาณาบริเวณเวิ้งว้างว่างเปล่าอันห่างไกลออกไปนับหลายพันปีแสงนั้น บรรดาทหารทั้งหลายกำลังบาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมาก แต่ในวังหลวง กลับมีงานเต้นรำ งานรื่นเริงอันฟุ้งเฟ้อ ภายใต้แสงโคมระย้าคริสตรัลอันหรูหรา ภายในอาณาจักรแห่งความสุขสบายเต็มไปด้วยแชมเปญชั้นยอด, เนื้อกวางย่างหอมกรุ่นซึ่งย่างหลังจากหมักในไวน์แดงอย่างดี, ช็อกโกแล็ตบาบารอร์ นอกจากนั้น พวกเขายังสะสมแมวเปอร์เซียสีขาวสวยงาม, ปิ่นปักผมที่ทำจากไข่มุกสีน้ำเงินสูงค่า, ภาพวาดประดับผนังที่เลอเลิศ, แจกันดินเผาสีขาวบริสุทธิ์ที่มีอายุหลายศตวรรษ, เสื้อขนสัตว์สีดำสนิทแพงระยับ, ชุดราตรี (ลองเดรส) ที่ประดับประดาด้วยอัญมณีนับไม่ถ้วน, แก้วสเตนด์ที่สะท้อนแสงเป็นประกายระยิบระยับ ฯลฯ

นี่หรือ คือ ความเป็นจริง- ความเป็นจริงอันน่าขยะแขยงภายใต้สภาวะสงครามอันโหดร้าย

ใช่สิ นี่คือความจริงอย่างปฏิเสธไม่ได้แม้แต่น้อย

ถ้าเช่นนั้น เขาก็ต้องเปลี่ยนความจริงนี้ให้มันถูกต้อง

เด็กหนุ่มเจ้าของดวงตาสีไอซ์บลูคิดอย่างนั้นตั้งแต่ตั้งแรกที่เขาได้มีโอกาสเข้าร่วมงานราตรีในวัง

และความคิดนั้น ก็กลายเป็นเจตนารมณ์อันแน่วแน่ของเขาในเวลาต่อมา นับจากนั้น งานเต้นรำลีลาศ งานเลี้ยงรื่นเริงต่าง ๆ ก็กลายเป็นสถานที่ที่เขาใช้สำหรับสังเกตการณ์ ดูพฤติกรรมและความสามารถของศัตรูที่เขาจะต้องจำกัดให้สิ้นไปเหล่านี้ หลังจากเฝ้าสังเกตมานานปี ไรน์ฮาร์ดก็ได้ข้อสรุปว่า ในบรรดาขุนนางชั้นสูงที่เฝ้าแต่อวดร่ำอวดรวยปรุงแต่งตนเองด้วยวัตถุนั้น หามีคนที่น่ากลัวน่าจะต้องระวังอยู่ไม่แม้แต่คนเดียว

เขาบอกเล่าข้อสรุปของเขาให้แก่เคียร์ชไอซ์ฟังแต่ผู้เดียว

“ขอรับ ขุนนางฐานันดรนั้นไม่มีอะไรที่น่ากลัว กระผมก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน”

ตั้งแต่สมัยก่อนแล้ว เคียร์ชไอซ์ปฏิบัติต่อไรน์ฮาร์ดอย่างสุภาพและยกย่องเสมอ

“แต่ ถ้าเป็น ‘พวก’ ขุนนางฐานันดรละก็ เราต้องระวังตัวไว้เหมือนกันนะขอรับ”

ไรน์ฮาร์ดถึงกับประหลาดใจในคำพูดของสหาย และจ้องหน้าฝ่ายหลังอย่างตกตะลึงทีเดียว

ต่อให้พวกเขาไม่ได้เป็นกลุ่มองค์กรที่มีระบบระเบียบ มีเจตนาร่วมกันในเป้าหมายบางอย่างอย่างชัดเจนก็ตาม แต่เพียงแค่ได้ชื่อว่าเป็นกลุ่มคนที่มีศัตรูร่วมกัน และมีความเกลียดชังบุคคลร่วมกันที่จะทำให้พวกเขาเสียผลประโยชน์ เพียงเท่านี้ก็ควรจะต้องระวังแล้ว ขณะที่เรากำลังรบกับศัตรูเบื้องหน้านั้น เบื้องหลังอาจจะมีใครคอยจ้องเอามีดแทงข้างหลังเราอยู่ก็ได้

“จริงของนาย ฉันจะระวัง”

ไรน์ฮาร์ดตอบไปเช่นนั้น นิสัยบางอย่างในตัวเขาซึ่งแหลมคมเกินไปประดุจใบดาบเรียวยาวอันคมกริบนั้น ได้รับการฉุดรั้งเอาไว้โดยเพื่อนรักคนนี้เสมอมา

และบุคคลอีกผู้หนึ่งที่คอยปลอบประโลมให้เขาคลายความร้อนแรงลงมาตลอด ก็คือพี่สาวที่อายุต่างกัน 5 ปี อันเนโรเซนั่นเอง

หญิงสาวผู้ถูกเชิญตัวเข้าสู่วังหลังของจักรพรรดิองค์ก่อน- จักรพรรดิฟรีดลิชที่ 4- นี้ ดูเหมือนว่าเธอจะยอมทิ้งอนาคตของตนเองไปแล้วตั้งแต่ตอนนั้น ทันทีที่หญิงสาวได้รับพระราชทานฐานันดรเป็นเกรฟิน (เคานท์เตส) ฟอน กรุนเนวัลต์ เธอก็ได้ดึงตัวไรน์ฮาร์ดออกจากร่มเงาของบิดาซึ่งมีนิสัยค่อนข้างเหลวแหลก มาอยู่ในความดูแลของตน รวมทั้งยังสนับสนุนเคียร์ชไอซ์ซึ่งมีสถานะเป็นประดุจพี่น้องให้มาอยู่ในสังคมเดียวกับไรน์ฮาร์ดด้วย เธอได้กลายเป็นผู้ปกครองที่มีพระคุณยิ่งของเด็กชายทั้งสอง

มาบัดนี้เล่า อดีตเด็กในปกครองทั้งสองคนของหญิงสาวได้เติบใหญ่จนมีร่างสูงกว่าหญิงสาวไปแล้ว อีกทั้งยังมีฐานะเป็นผู้การที่ต้องเทียวไปเทียวมารบในห้วงอวกาศนับครั้งไม่ถ้วน แต่ยามใดก็ตามที่อยู่ต่อหน้าหญิงสาวผู้นี้ บุรุษหนุ่มผู้ห้าวหาญทั้งสอง ก็กลับไปมีสภาพเหมือนสมัยก่อน- เป็นเด็กชายเล็ก ๆ ภายใต้การดูแลของพี่สาวผู้ใจดี และก็เฉพาะต่อหน้าพี่สาวผู้นี้เท่านั้น ที่พวกเขาจะสามารถย้อนเวลากลับไปหาช่วงเวลาอันมีความสุขในอดีตได้

... หลังจากการสิ้นพระชนม์อย่างกะทันหันของจักรพรรดิองค์ก่อนผู้ซึ่งใช้ชีวิตอย่างเหลวแหลกแล้ว ชนชั้นปกครองของจักรวรรดิทางช้างเผือกก็กำลังอยู่ในช่วงผลัดแผ่นดิน เรียกได้ว่า เกิดปรากฏการณ์ชั้นดินเลื่อนก่อนแผ่นดินไหวเป็นระลอก ๆ

เริ่มจาก เด็กชายวัย 5 ปี เอลวิน โจเซฟได้ขึ้นครองราชย์เป็นจักรพรรดิองค์ใหม่ ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นหลานทางตรง (หลานปู่) ของจักรพรรดิผู้ล่วงลับก็ตาม แต่การขึ้นครองราชย์ของจักรพรรดิน้อยผู้นี้ก็ทำให้ตระกูลของขุนนางฐานันดรชั้นผู้ใหญ่ 2 ตระกูลเป็นเดือดเป็นแค้นอย่างที่สุด

ขุนนางฐานันดรชั้นผู้ใหญ่ 2 คน- ได้แก่ ดยุค ออตโต้ ฟอน เบราสไวก์ และมาร์ควิส วิลเลียม ฟอน ลิทเทนไฮม์- นั้น ต่างคนต่างก็แต่งงานกับพระราชธิดาของจักรพรรดิฟรีดลิชที่ 4 และต่างก็มีบุตรีฝ่ายละ 1 องค์ด้วยกันทั้งคู่ ทำให้เขาทั้งสองเคยคาดหวังอย่างทะเยอทะยานว่า บุตรีของตนจักได้ขึ้นครองราชย์เป็นจักรพรรดินี และตนก็จะได้เป็นผู้สำเร็จราชการแทนจักรพรรดินีผู้เยาว์วัยนั้น

ทันทีที่ความมักใหญ่ใฝ่สูงของตนต้องกลายเป็นความล้มเหลวอย่างกะทันหัน พวกเขาก็หันมาจับมือกัน ภายใต้คำสาบานจะล้างแค้นศัตรูร่วมกันให้จงได้ ศัตรูที่ว่านั้นย่อมหมายถึง จักรพรรดิน้อย เอลวิน โจเซฟที่ 2 และขุนนางใหญ่สองคนที่ชักใยอยู่เบื้องหลังจักรพรรดิผู้นี้- ได้แก่ ดยุค เคลาส์ ฟอน ลิชเทนลาเด วัย 72 ปีและมาร์ควิส ไรน์ฮาร์ด ฟอน โรเอนกรัม วัย 20 ปี

ด้วยเหตุนี้เอง ชนชั้นปกครองของจักรวรรดิทางช้างเผือกจึงได้แบ่งขั้วเป็นสองฝ่ายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ขั้วอำนาจทั้งสองย่อมได้แก่ ฝ่ายจักรพรรดิ หรือ ขั้วอำนาจของลิชเทนลาเด-ไรน์ฮาร์ด กับฝ่ายต่อต้านจักรพรรดิ หรือ แนวร่วมเบราสไวก์-ลิทเทนไฮม์

เดิมที บรรดาผู้คนที่เป็นห่วงอนาคตของจักรวรรดิ แต่ที่ยิ่งกว่านั้นคือ ห่วงตัวเอง และมุ่งที่จะรักษาสภาพเป็นกลางของตนเองไว้นั้น ย่อมมีไม่น้อย แต่สถานการณ์แบ่งฝ่ายนี้รุนแรงขึ้นทุกขณะ และไม่ยอมปล่อยให้พวกเขาอยู่วงนอกเป็นเพียงผู้ดูอยู่เฉย ๆ อีกต่อไป

พวกเขาล้วนประสบกับปัญหาข้อใหญ่ที่ต้องขบคิดให้แตกโดยทั่วหน้ากันตามแต่สติปัญญาของแต่ละคนจะคิดได้ว่า เขาควรจะเข้ากับพวกใครดี? ฝ่ายไหนที่เป็นฝ่ายที่ถูกต้องและมีวี่แววว่าจะชนะในตอนท้าย?

หากว่ากันด้วยความรู้สึกล้วน ๆ แล้ว พวกเขา- ขุนนางชั้นสูง- ย่อมอยากจะเข้าพวกกับดยุคเบราสไวก์เป็นแน่ แต่เมื่อคำนึงถึงความสามารถในเชิงสงครามของไรน์ฮาร์ดแล้ว ก็ทำให้พวกเขาลังเล ไม่สามารถตัดสินใจได้เด็ดขาด พวกเขาล้วนแต่ยืนอยู่บนทางสองแพร่งระหว่างอารมณ์และเหตุผล ประดุจต้นหญ้าที่กำลังเอนตัววัดทิศทางลมว่ากำลังจะพัดไปทางด้านใด

“พวกขุนนางชั้นสูงกำลังลังเลสับสนกันขนานใหญ่ทีเดียวสินะ ต่างก็พยายามใช้ปัญญาอันน้อยนิดของตนเองคิดว่า จะเข้าร่วมฝ่ายไหนดีจึงจะได้ประโยชน์สูงสุด ช่างเป็นละครบทสุขที่น่าดูชมจริง ๆ”

ครั้งหนึ่ง ไรน์ฮาร์ดเคยเปรยเช่นนี้กับหัวหน้าเสนาธิการประจำกองบัญชาการกองเรือรบอวกาศแห่งทัพจักรพรรดิ พลโท พอล ฟอน โอแบร์สไตน์

“แน่สิขอรับ หากไม่จบแบบแฮปปี้เอ็นดิ้งละก็ ก็เรียกว่าละครบทสุขไม่ได้สิขอรับ”

โอแบร์สไตน์ผู้นี้ เป็นชายที่คนทั่วไปเชื่อกันว่า ไม่เคยหัวเราะเลย ดูเขาขาดอารมณ์ขันโดยสิ้นเชิง อายุเพิ่งจะอยู่ในวัยสามสิบแท้ ๆ แต่ผมหงอกเข้าไปครึ่งศีรษะแล้ว ดวงตาเทียมที่ฝังคอมพิวเตอร์ไว้ภายในนั้น ส่งประกายสายตาที่เยือกเย็นชวนสะพรึงกลัวออกมาเสมอ ๆ ริมฝีปากบางเฉียบ และไร้ความรู้สึกเป็นมิตรกับผู้ใด แต่ไม่ว่าจะโดนวิจารณ์หรือเลื่องลืออย่างไรก็ตาม เจ้าตัวก็ดูเหมือนจะไม่ยี่หระใด ๆ ทั้งสิ้น

“สรุปก็คือ ใต้เท้ารออยู่เฉย ๆ ก็พอแล้วขอรับ รอเวลาไป ก็ดูพวกมันดิ้นรนกันไป”

“แน่นอน เรารอแน่ รออย่างใจเย็นทีเดียวล่ะ”

แต่แน่นอนว่า ไรน์ฮาร์ดไม่ได้รอเฉย ๆ อย่างที่พูด เขาดำเนินแผนการลับที่เฉียบขาดหลายต่อหลายแผน เพื่อยั่วยุให้บรรดาขุนนางฐานันดรพวกนั้นระเบิดอารมณ์แค้นของตนออกมาโดยไม่ดูหน้าดูหลังว่าพวกตนจะมีโอกาสชนะหรือไม่ พร้อมแล้วหรือไม่ การระเบิดอารมณ์อย่างบ้าคลั่งของพวกเขาต่างหาก คือ สิ่งที่ไรน์ฮาร์ดกำลังรออยู่ อีกทั้งไรน์ฮาร์ดยังดำเนินแผนการเหล่านั้นอย่างละเอียดรอบคอบ ด้วยใบหน้าสนุกสนานราวกับเด็กชายตัวเล็ก ๆ ที่กำลังไล่จับผีเสื้ออยู่เลยทีเดียว

“ไม่จำเป็นต้องไล่ต้อนให้พวกขุนนางชั้นสูงมันจนมุมหรอก”

ไรน์ฮาร์ดพูด พลางใช้นิ้วของตนดึงผมสีแดงของสหายรักเล่น

“แค่ทำให้พวกมันนึกว่า กำลังจะโดนต้อนจนมุมแล้ว ก็พอ”

ที่จริงแล้ว หากบรรดาขุนนางฐานันดรทั้งหมดร่วมแรงร่วมใจเป็นพวกเดียวกันแล้วไซร้ กำลังทหารและอำนาจเศรษฐกิจนั้นย่อมเหนือกว่าขุมกำลังของไรน์ฮาร์ดเพียงคนเดียวอย่างเทียบกันไม่ติดแน่นอน แต่พวกเขากลับลนลาน ดิ้นรนพลางก็ฟูมฟายว่า พวกเขากำลังเสียเปรียบ หากปล่อยไปเช่นนี้พวกเขาต้องจบสิ้นแน่ ต้องหาทางโต้กลับให้ได้... ความคิดอันขาดสมดุลแห่งปัญญาเช่นนี้ ทำให้ไรน์ฮาร์ดหัวเราะอย่างดูแคลนอยู่คนเดียว

แม้นว่าสมองของไรน์ฮาร์ดจะไม่ใช่สมองของเด็กหนุ่มอ่อนเยาว์ก็ตาม แต่อารมณ์ของเขาก็ยังมีส่วนที่เป็นเด็กหลงเหลืออยู่ ถึงแม้นเขาเกลียดชังบรรดาผู้ที่เป็นศัตรูของเขาก็จริง แต่ในเวลาเดียวกัน หากเขาพบว่ามีพฤติกรรมของใครสักคนในกลุ่มนั้นที่น่าสนใจหรือมีความเป็นตัวของตัวเอง เขาก็พร้อมที่จะให้ความสนใจกับคนผู้นั้นเช่นกัน ต่อให้พฤติกรรมที่ว่านั้นจะห่างไกลจากคำว่าศิลปะก็ตาม แต่น่าเสียดายที่จนถึงบัดนี้ ในบรรดาขุนนางชั้นสูงเหล่านั้นก็หาได้มีคนแบบนั้นปรากฏออกมาไม่ ทำให้เขารู้สึกผิดหวังเล็กน้อย

(อ่านตอนต่อไป)


กลับไปอ่านตอนที่แล้ว +++ กลับไปหน้าสารบัญ +++ ไปอ่านตอนต่อไป 1