นวนิยายแฟนตาซีอวกาศเรื่องยาว

วีรบุรุษทางช้างเผือก เล่ม ๒ : ความทะเยอทะยาน
銀河英雄伝説 第二巻:野望篇

เรื่อง โดย ทะนะกะ โยะชิกิ (田中芳樹) แปลโดย Pae

บทที่ 2 ชนวนระเบิด
-3-


ท่านเคานท์ฟรานซ์ ฟอน มารีนดอร์ฟนั้นเป็นที่รู้กันโดยกว้างขวางว่า เป็นบุคคลที่เต็มไปด้วยความการุนย์และมีจิตใจดีงาม นอกจากบรรดาขุนนางชั้นสูงด้วยกันแล้ว แม้แต่ในชนชั้นล่างที่เป็นราษฎรในปกครองก็ให้ความนับถือเชื่อใจอย่างสูงด้วย

แต่สำหรับตัวเขาเองแล้ว ในเหตุการณ์ที่กำลังดำเนินไปของจักรวรรดินี้ เขายังคงไม่สามารถที่จะตัดสินใจให้เด็ดขาดไปได้ว่าจะเข้าร่วมกับฝ่ายใด ทำให้เขาต้องคิดหนักอยู่ทุกวี่วัน อันที่จริง หากเขาสามารถดำรงตนเป็นกลางไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดได้แล้วไซร้ เขาย่อมกระทำเช่นนั้นโดยไม่ลังเล แต่ดูเหมือนว่า ใกล้จะถึงวันที่เขาต้องเลือกแล้ว

และในวันนั้น วันที่บุตรีคนโตของเขา- ฮิลด้าเดินทางกลับบ้านชั่วคราวจากมหาวิทยาลัยโอดีน ก็ยังคงเป็นวันที่เขายังคิดไม่ตกอยู่ดี

คุณหนูฮิลด้า หรือ ท่านผู้หญิงเคานท์เตสฮิลเดกัลต์ ฟอน มารีนดอร์ฟเพิ่งจะอายุครบยี่สิบปีบริบูรณ์ไม่นานนี้เอง

ผมทองสลวยของเธอตัดสั้นเพื่อความคล่องแคล่วปราดเปรียวในการเคลื่อนไหว ใบหน้างามของเธอที่ค่อนข้างเคร่งขรึมเป็นนิจนั้น มีสิ่งที่ทำให้คนที่พบเห็นรู้สึกถึงสิ่งที่เหนือกว่าคนทั่วไป นั่นคือ ดวงตาคู่งามสีฟ้าแกมเขียวที่ทอประกายมีชีวิตชีวานั่นเอง เป็นประกายที่แสดงถึงภูมิปัญญาอันลึกซึ้งของเจ้าหล่อนและพลังชีวิตอันเหลือเฟือ คนที่พบเห็นเธอมักจะรู้สึกเหมือนกับได้พบเด็กชายที่เต็มไปด้วยจิตใจห้าวหาญอยากผจญภัยคนหนึ่งมากกว่าที่จะเป็นคุณหนูจากตระกูลสูงศักดิ์

“คุณหนู ท่าทางสบายดีนะขอรับ กระผมยินดีจริง ๆ ขอรับ”

ชายชราแก้มสีชมพูเรื่อคนหนึ่งก้าวออกมาต้อนรับเธอที่ห้องรับแขกของคฤหาสน์ เขาค้อมกายที่อ้วนกลมลงคำนับอย่างนอบน้อม

“เจ้าก็ดูท่าสบายดีเหมือนกันนะ ฮันส์ ว่าแต่ ท่านพ่ออยู่ที่ไหนหรือจ๊ะ?”

“อยู่ที่ห้องอาบแดดขอรับ จะให้กระผมไปเรียนท่านว่าคุณหนูกลับมาแล้วไหมขอรับ?”

“ไม่ต้องจ๊ะ เดี๋ยวฉันจะไปหาท่านเอง อ้อ ขอกาแฟด้วยนะ”

เคานท์เตสสาวผู้ซึ่ง- หากไม่นับผ้าพันคอสีชมพูผืนนั้นแล้วละก็- แต่งกายเหมือนเด็กผู้ชายคนหนึ่ง สาวเท้าไปตามระเบียงอย่างมีชีวิตชีวา

ที่ริมหน้าต่างของซันรูม (ห้องอาบแดด) นั้น มีโซฟาตั้งอยู่สองตัว ท่านเคานท์มารีนดอร์ฟกำลังนั่งค้อมกายครุ่นคิดอะไรอยู่คนเดียวเงียบ ๆ ภายใต้แสงอาทิตย์อ่อน ๆ ที่สาดส่องผ่านหน้าต่างเข้ามา เขาเงยหน้าขึ้นเมื่อได้ยินเสียงทักของบุตรี แล้วก็ปั้นสีหน้ายิ้มแย้ม พลางกวักมือเรียกให้ฝ่ายหลังเข้าไปหา

“ท่านพ่อ กำลังคิดอะไรอยู่หรือเจ้าคะ”

“อืม อ๋อ ไม่ใช่เรื่องสำคัญหรอก ลูกเอ๋ย”

“แหม ท่านพ่อนี่ยิ่งใหญ่จริงนะเจ้าคะ พูดออกมาได้ว่า อนาคตของจักรวรรดิทางช้างเผือกและของตระกูลมารีนดอร์ฟไม่ใช่เรื่องสำคัญ!”

คำพูดของบุตรีที่จี้ใจดำเข้าอย่างจัง ทำเอาท่านเคานท์ฟรานซ์ ฟอนมารีนดอร์ฟสะดุ้งโหยง

เขาจ้องหน้าบุตรสาวของคนด้วยท่าทีงก ๆ เงิ่น ๆ ขณะที่ฝ่ายหลังก็จ้องกลับด้วยสายตาขี้เล่น หากแต่มีบางสิ่งที่บอกให้รู้ว่า เธอกำลังเอาจริงเช่นกัน

พ่อบ้านฮันส์ประคองถาดเงินมาเสริฟกาแฟให้แก่ทั้งสองคน ระหว่างนั้นบรรยากาศระหว่างพ่อลูกมีแต่ความเงียบสงัด จนกระทั่งร่างของพ่อบ้านชราลับสายตาไปแล้ว บุตรีจึงได้ทำลายความเงียบนั้นขึ้น

“แล้ว ท่านพ่อตัดสินใจได้หรือยังล่ะเจ้าคะ?”

“พ่อน่ะ อยากจะอยู่เป็นกลางอยู่หรอก แต่ถ้าหากต้องเลือกเข้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งแล้วละก็ พ่อก็คิดว่าจะเข้าร่วมกับท่านดยุคเบราสไวก์นา ในฐานะของขุนนางฐานันดรแห่งจักรวรรดิแล้ว เราคง...”

“ท่านพ่อ!”

บุตรีปรามผู้บิดาด้วยน้ำเสียงและสีหน้าที่เฉียบขาดของเธอ

ฝ่ายบิดาเองก็ได้แต่มองบุตรสาวอย่างตกตะลึง ดวงตาสีฟ้าเขียวคู่นั้นกำลังทอประกายแวววาวอย่างลึกล้ำ ประดุจมีเปลวเพลิงลุกไหม้อยู่ในดวงแก้วอัญมณีกระนั้น นับเป็นความงามลึกลับไปอีกแบบหนึ่ง

“มีความจริงอยู่ข้อหนึ่งเจ้าค่ะ ที่พวกขุนนางฐานันดรทั้งหลายพากันมองข้ามไปเกือบทุกคน นั่นก็คือ เฉกเช่นกับที่มนุษย์เกิดมาก็ต้องตาย ประเทศตั้งมาก็ย่อมต้องถึงกาลสูญสลายจนได้ในคราวหนึ่งเช่นกัน นับแต่อารยธรรมมนุษย์ได้ปกคลุมอยู่บนดาวเคราะห์เล็ก ๆ ที่เรียกว่าโลกมนุษย์แล้ว ไม่เคยมีปรากฏว่า มีประเทศรัฐใดที่คงอยู่ได้ชั่วดินฟ้าเลย ไม่มีเจ้าค่ะ แล้วทำไมพวกเราถึงจะคิดว่า จักรวรรดิทางช้างเผือก- ราชวงศ์โกลเดนบาวม์จะเป็นข้อยกเว้นล่ะเจ้าคะ?”

“ฮิลด้า... เจ้า... ฮิลด้า...”

“ราชวงศ์โกลเดนบาวม์นั้น ‘ได้’ ดำรงมาเกือบ 500 ปีแล้ว”

บุตรสาวถึงกับกล้าใช้รูปประโยคแบบอดีตกาล กับประโยคข้างต้นนี้

“ระหว่างนั้น พวกเขาก็ได้เคยครอบครองดินแดนของมนุษย์ทั้งหมดช่วงหนึ่งซึ่งยาวถึงกว่า 200 ปี พวกเขาได้ทั้งอำนาจและความมั่งคั่งดั่งใจปรารถนาทุกสิ่ง นึกจะฆ่าใครก็ฆ่า นึกจะฉุดคร่าบุตรสาวของบ้านไหนมาก็ฉุด อยากจะออกกฎหมายที่เอื้อประโยชน์ให้แก่ตนเองก็ทำ...”

น้ำเสียงที่ร้อนแรงของเธอประดุจจะทุบโต๊ะเบื้องหน้าให้แหลกละเอียดไปเลยทีเดียว

“พวกเขาทำเรื่องเลวร้ายตามใจชอบมานานถึงเพียงนี้แล้วนะเจ้าคะ หากจะต้องถึงแก่กาลปิดฉากอวสานแล้วไซร้ จะไปโทษใครได้เล่าเจ้าคะ? กลับจะต้องรู้สึกซาบซึ้งขอบคุณกับช่วงเวลา 500 ปีที่ผ่านมา ที่ปล่อยให้พวกเขาได้เถลิงอำนาจอย่างสมบูรณ์พูนสุขเสียด้วยซ้ำ การที่พวกเขาจะต้องสูญเสียสิ่งเหล่านั้นไป เป็นกฎของธรรมชาติก็ว่าได้เจ้าค่ะ”

บิดาผู้ใจเย็นเป็นนิจ ได้แต่นั่งตาค้าง ฟังคำพูดของบุตรสาวที่เหมือนกับเป็นคำพูดของฝ่ายหัวก้าวหน้า แต่แล้วในที่สุด เขาก็รวบรวมกำลังใจลองตอบโต้ดูบ้าง

“แต่ ถึงเจ้าจะว่ากระนั้นก็เถิด ไม่มีเหตุผลใดที่เราจะต้องร่วมมือกับมาร์ควิสโรเอนกรัมเลยนี่ ฮิลด้าเอ๋ย”

“มีเจ้าค่ะ!”

“อะไรรึ?”

น้ำเสียงของบิดาที่ถามเช่นนั้น มีแววไม่เชื่อถือนักก็จริง หากก็แฝงแววของความคาดหวังไว้ด้วย

“เหตุผลมีทั้งหมด 4 ประการ ท่านพ่อจะลองฟังไหมเจ้าคะ?”

ผู้บิดาพยักหน้าอนุญาต แล้วหญิงสาวจึงเริ่มอธิบายความคิดของตนดังนี้

ประการแรก มาร์ควิสไรน์ฮาร์ด ฟอน โรเอนกรัมนั้นให้การสนับสนุนจักรพรรดิองค์ใหม่อยู่ เขาย่อมมีอำนาจในมืออย่างชอบธรรม- อีกทั้งยังสามารถจะรับพระราชโองการดังกล่าวเมื่อไรก็ได้- ที่จะดำเนินการกวาดล้างผู้ที่เป็นปฏิปักษ์กับเขาในข้อหาเป็นกบฏต่อองค์จักรพรรดิ ในประการนี้ ทางฝ่ายของดยุคเบราสไวก์ และมาร์ควิสลิตเทนไฮม์นั้น เรียกได้ว่าเป็นกองกำลังเถื่อนที่คิดก่อการใหญ่ด้วยความทะเยอทะยานส่วนตนเท่านั้น หามีความชอบธรรมอันใดไม่

ประการที่สอง จะอย่างไรก็ตาม กำลังทหารของฝ่ายดยุคเบราสไวก์ซึ่งประกอบด้วยบรรดาขุนนางชั้นสูงส่วนใหญ่นั้น ย่อมมีกำลังทหารมากอยู่แล้ว ต่อให้ตระกูลมารีนดอร์ฟเข้าไปร่วมด้วย ก็หาได้รับความสำคัญแต่ประการใดไม่ ในทางตรงข้าม กำลังฝ่ายไรน์ฮาร์ดนั้นด้อยกว่า หากเข้าไปร่วมกับเขา ย่อมมีผลทำให้กำลังของเขาเข้มแข็งขึ้นอย่างเห็นได้ชัด อีกทั้งยังส่งผลต่ออำนาจต่อรองทางการเมืองของฝ่ายนั้นอีกด้วย นี่ย่อมสรุปได้ว่า ทางไรน์ฮาร์ดย่อมต้องต้อนรับตระกูลมารีนดอร์ฟอย่างดีเป็นแน่

ประการที่สาม ทั้งดยุคเบราสไวก์และมาร์ควิสลิตเทนไฮม์นั้น เพียงแต่ร่วมมือกันชั่วคราวเท่านั้น หาได้มีจุดยืนร่วมกันอย่างมั่นคงประการใดไม่ ที่สำคัญที่สุดคือ ระบบการบังคับบัญชาของกองกำลังย่อมไม่เป็นระบบระเบียบเด็ดขาด แต่ในทางกลับกัน กองกำลังของไรน์ฮาร์ดนั้นประกอบขึ้นด้วยจุดยืนร่วมกันและมีการบังคับบัญชาที่มีประสิทธิภาพ ไม่ว่าผลการรบระหว่างทางจะเป็นอย่างไรก็ตาม ท้ายที่สุดแล้ว ผู้ที่จะชนะเบ็ดเสร็จในภายหลังย่อมเห็นได้ชัดเจนอยู่แล้วว่าควรจะเป็นฝ่ายใด

ประการสุดท้าย ตัวของมาร์ควิสไรน์ฮาร์ด ฟอน โรเอนกรัมเองนั้น ไม่ได้ถือกำเนิดมาจากตระกูลขุนนางชั้นสูงแต่แรก อีกทั้งบรรดานายทหารในสังกัดของเขาก็เป็นเช่นนั้นด้วย ทางฝ่ายนี้ย่อมเป็นที่นิยมชมชอบในหมู่ราษฎรมากกว่า และในการสงครามนั้น บรรดาพลทหารล้วนแล้วแต่มาจากราษฏรชั้นล่างทั้งสิ้น การจะทำสงครามย่อมหาได้ทำกันเองในหมู่นายทหารไม่ แต่จะต้องพึ่งพากำลังของพลทหารเป็นสำคัญ ดังนั้น ในฝ่ายของกองกำลังของดยุคเบราสไวก์นั้น ทหารย่อมเอาใจออกห่าง มีโอกาสที่จะเกิดความล่มสลายจากภายในกองกำลัง เช่น เกิดการก่อความไม่สงบ หรือการหนีทัพได้เสียด้วยซ้ำ...

...

“เป็นอย่างไรเจ้าคะ? ท่านพ่อ”

ฮิลด้าสรุปอย่างมั่นใจแล้วถามความเห็นผู้บิดา เคานท์มารีนดอร์ฟได้แต่นั่งอึ้งพลางเช็ดเหงื่อที่ไหลซึมออกมาทั้งกาย เขายอมรับโดยดุษฎีว่า เขาเถียงบุตรีไม่ออกจริง ๆ

“ลูกคิดว่า ตระกูลมารีนดอร์ฟสมควรอย่างยิ่งที่จะเข้าร่วมกับฝ่ายที่จะชนะนั่นคือ ฝ่ายมาร์ควิสโรเอนกรัมเจ้าค่ะ ต่อให้เขาเรียกร้องให้เราแสดงหลักฐานของความภักดี ด้วยการมอบแดนการปกครองของเราให้ พร้อมตัวประกันก็ตาม เราก็ต้องยอมเจ้าค่ะ”

“เรื่องแดนปกครองนะไม่เป็นไรหรอก ลูกเอ๋ย ให้เขาไปพ่อไม่เสียดายแม้แต่น้อย แต่เรื่องตัวประกันนั้น พ่อยอมไม่ได้ ไม่ว่าจะให้ใครไปก็ตาม...”

“แต่ถ้าเจ้าตัวเต็มใจไปล่ะเจ้าคะ?”

“ไม่มีหรอก ใครกันจะเต็มใจไปเป็น...”

เคานท์มารีนดอร์ฟแย้งถึงกลางประโยค ก็ฉุกคิดได้ เขาสะดุ้งเฮือกคราหนึ่ง แล้วระล่ำระลักว่า

“อย่าบอกว่า ว่าเจ้า...”

“เจ้าค่ะ ลูกจะเป็นตัวประกันให้เอง”

“ฮิลด้า!”

ขณะที่บิดาร้องเสียงหลงอยู่นั้น บุตรสาวกลับทำหน้าตาเฉย ตักน้ำตาลและครีมใส่กาแฟของตนเต็มช้อน ดูท่าเธอมั่นใจในรูปร่างของตนเองอย่างเต็มเปี่ยมว่า ไม่มีทางอ้วนเป็นแน่

“ลูก... รู้สึกขอบพระคุณท่านพ่อมากเจ้าค่ะ ที่กรุณาให้ลูกได้ถือกำเนิดมาในยุคสมัยที่น่าสนใจเช่นนี้...”

“...”

“ถึงแม้ว่าลูกจะไม่มีอำนาจไปเขียนบทใหม่ในประวัติศาสตร์ได้ก็จริง แต่ลูกก็ได้มีโอกาสสังเกตการณ์ความเป็นไปของหน้าประวัติศาสตร์ต่อจากนี้อย่างใกล้ชิดว่า ประวัติศาสตร์มนุษย์กำลังจะเปลี่ยนไปอย่างไร และในกระแสความเปลี่ยนแปลงนั้น มนุษย์เราดำเนินชีวิตไปอย่างไร และตายไปอย่างไร ลูกภูมิใจที่ได้มีโอกาสนี้เจ้าค่ะ ท่านพ่อ”

ฮิลด้าดื่มกาแฟหมดถ้วย เธอก็ลุกขึ้นยืนแล้วโอบกอดศีรษะของบิดาไว้ ก้มศีรษะของตนลงไปเอาแก้มแนบกับผมสีน้ำตาลของบิดา

“ท่านพ่อเจ้าคะ อย่าเป็นกังวลใด ๆ เลยนะเจ้าคะ ลูกจะปกป้องตระกูลมารีนดอร์ฟไว้เอง ไม่ว่าจะต้องทำวิถีทางใดก็ตาม และไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม”

“แล้วแต่เจ้าเถิด”

น้ำเสียงของผู้เป็นพ่อกลับคืนสู่ความใจเย็นแล้ว

“ต่อให้ผลลัพธ์ของการนี้ออกมาเป็นอย่างไร พ่อก็ไม่เสียใจภายหลังเลย ลูกเอ๋ย เพียงแต่ว่า จงจำคำพ่อไว้ให้ดี เจ้าไม่มีความจำเป็นใด ๆ ที่จะต้องเสียสละตัวเองเพื่อตระกูลมารีนดอร์ฟเราทั้งสิ้น ในทางตรงกันข้าม เจ้าเอาตระกูลมารีนดอร์ฟไปเป็นเครื่องมือเปิดทางชีวิตที่เจ้าคาดหวังไว้ได้เต็มที่ เข้าใจไหม?”

“ท่านพ่อ...”

“รักษาเนื้อรักษาตัวให้ดีด้วยล่ะ ลูกเอ๋ย”

บุตรีย้ายตำแหน่งของศีรษะตน ก้มลงไปจุมพิตที่หน้าผากของบิดาคราหนึ่ง แล้วก็หมุนตัวอย่างร่าเริงประดุจผีเสื้อ เดินออกจากซันรูมนั้นไป

(อ่านตอนต่อไป)


กลับไปอ่านตอนที่แล้ว +++ กลับไปหน้าสารบัญ +++ ไปอ่านตอนต่อไป 1