นวนิยายแฟนตาซีอวกาศเรื่องยาว

วีรบุรุษทางช้างเผือก เล่ม ๒ : ความทะเยอทะยาน
銀河英雄伝説 第二巻:野望篇

เรื่อง โดย ทะนะกะ โยะชิกิ (田中芳樹) แปลโดย Pae

บทที่ 2 ชนวนระเบิด
-6-


งานชิ้นแรกของบรรดาขุนนางที่เข้าร่วม “พันธมิตรขุนนางแห่งลิปสตัต” คือการจัดระเบียบกองกำลังอันมหาศาลของตนให้เรียบร้อยก่อน ทั้งนี้ เพื่อที่จะหาญต่อกรกับอัจฉริยภาพทางการรบของไรน์ฮาร์ดได้แล้ว พวกเขาจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีกองบัญชาการรบที่เป็นหนึ่งเดียว มีแนวยุทธศาสตร์ที่ชัดเจน และมีการจัดการและระบบการลำเลียงยุทโธปกรณ์ที่มีประสิทธิภาพ

ก่อนอื่น พวกเขาต้องแต่งตั้งแม่ทัพใหญ่เสียก่อน แล้วจากนั้น งานด้านการจัดกำลังพลและการวางกำลังต่าง ๆ ล้วนขึ้นกับแนวคิดทางยุทธศาสตร์ของแม่ทัพผู้นั้น

แรกทีเดียว ดยุค ฟอน เบราสไวก์คิดจะเป็นแม่ทัพใหญ่เสียเอง แต่มาร์ควิส ฟอน ลิตเทนไฮม์ได้แย้งว่า ควรจะมอบหมายตำแหน่งนี้ให้กับนายทหารมืออาชีพจะดีกว่า

“ข้าพเจ้าเห็นว่า ผู้การเมลคัทซ์ซึ่งเพียบพร้อมด้วยผลงานและเป็นที่ศรัทธาของผู้คนจึงควรเป็นแม่ทัพในการนี้ หาสมควรที่ท่านประมุขพันธมิตรจะต้องออกไปตรากตรำยังแนวหน้าด้วยตนเองไม่”

อันที่จริง เจตนาของมาร์ควิส ฟอน ลิตเทนไฮม์คือ ต้องการกีดกันมิให้ดยุค ฟอน เบราสไวก์มีโอกาสได้แสดงฝีมือในสนามรบเพื่อสร้างผลงานนั่นเอง แต่คำพูดที่เขายกมา กลับสมเหตุสมผลจนแม้แต่ดยุค ฟอน เบราสไวก์ก็ไม่อาจปฏิเสธได้

“ถ้าเป็นผู้การเมลคัทซ์แล้วไซร้...”

บรรดาขุนนางฐานันดรร่วมขบวนการคนอื่น ๆ ก็พากันเห็นด้วย ทำให้ดยุค ฟอน เบราสไวก์ต้องซ่อนความไม่พอใจไว้ในส่วนลึก แล้วแสดงท่าทีให้ผู้คนเห็นถึงความใจกว้างของตนอย่างไม่มีทางเลี่ยงได้ เขาส่งคนไปเชิญเมลคัทซ์มาอย่างให้เกียรติสูงสุด แล้วเอ่ยปากทาบทามให้อีกฝ่ายมาเป็นแม่ทัพใหญ่ของกองกำลังฝ่ายตน

พลเอกพิเศษวิลเบิร์ต ยัวฮิม ฟอน เมลคัทซ์ เป็นนายทหารชาญศึกวัย 59 ปี เจ้าของวีรกรรมในสนามรบมากมายนับไม่ถ้วนและเป็นที่เลื่องลือว่า เดินทัพได้รัดกุม ไร้จุดโหว่ อีกทั้งยังเป็นคนแรกที่ยอมรับถึงความสามารถของไรน์ฮาร์ดในด้านการศึก จากการที่ทั้งสองได้ร่วมทัพกันสู้กับทัพสมาพันธ์ดาวเคราะห์เสรีในศึกที่หมู่ดาวแอสทาเท

ทันทีที่รับทราบถึงจุดประสงค์ของดยุค ฟอน เบราสไวก์ เมลคัทซ์ก็ตอบปฏิเสธในทันที

เขาเห็นว่า สงครามกลางเมืองครั้งนี้เป็นสงครามที่ไร้ความหมาย และหากเหตุการณ์ดำเนินไปจนถึงขั้นแตกหักจริงแล้ว เขาตั้งใจไว้ว่าตนจะวางตัวเป็นกลาง

เมลคัทซ์ปฏิเสธ แต่ ดยุค ฟอน เบราสไวก์หาได้ยอมแพ้ง่าย ๆ ไม่ ทั้งนี้ หากประมุขแห่งพันธมิตรขุนนางออกหน้าเกลี้ยกล่อมเองแล้วไซร้ การที่จะคว้าน้ำเหลวนั้น มีแต่จะเสียหน้าเป็นอย่างมากนั่นเอง

ท่านดยุคได้ยกเอาเรื่องของความจงรักภักดีต่อราชวงศ์และต่อจักรวรรดิขึ้นมาอ้าง จากถ้อยคำเกลี้ยกล่อมก็ค่อย ๆ เปลี่ยนน้ำหนักไปทางข่มขู่ จนในที่สุด เมื่อเนื้อความพาดพิงไปถึงความปลอดภัยและสวัสดิภาพของครอบครัวของเมลคัทซ์ ผู้การผู้นี้ก็ยอมอ่อนข้อให้ในที่สุด

“ถ้าท่านดยุคเห็นความสำคัญของข้าพเจ้าถึงเพียงนั้นแล้ว ข้าพเจ้าก็คงจะปฏิเสธท่านไม่ได้ แต่ก่อนอื่นข้าพเจ้ามีเงื่อนไขสองประการที่อยากให้ท่านดยุคและบรรดาขุนนางฐานันดรทุกท่านยอมรับก่อน ประการแรกคือ หากเป็นเรื่องของการศึกแล้วไซร้ ขอให้ทุกท่านยอมรับในอำนาจการบัญชาการรบอย่างเด็ดขาดของข้าพเจ้าแต่เพียงผู้เดียว ทั้งนี้เพื่อให้กองทัพของเรามีความเป็นเอกภาพ ประการที่สองคือ สืบเนื่องจากเงื่อนไขประการแรก นั่นหมายความว่า มิว่าผู้ใด จะมีฐานันดรสูงส่งเพียงใดก็ตาม จักต้องเชื่อฟังและปฏิบัติตามคำสั่งของข้าพเจ้าโดยเคร่งครัด ผู้ฝ่าฝืนจักต้องถูกลงโทษตามกฎเกณฑ์ทางทหาร มิทราบว่า เงื่อนไขสองข้อนี้...”

“ได้ เรายอมรับเงื่อนไขของเจ้า”

ดยุค ฟอน เบราสไวก์รับคำในทันที แล้วจากนั้นก็สั่งให้จัดงานเลี้ยงเปิดตัวแม่ทัพใหญ่ของกองกำลังพันธมิตรอย่างยิ่งใหญ่

พระเอกของงานเลี้ยงเองนั้น อยู่ในงานจนกระทั่งงานเลิก แล้วจึงได้กลับไปยังที่ทำงานของตนเมื่อเวลาดึกมากแล้ว หากแต่ท่าทางของเขากลับเต็มไปด้วยความหนักใจและมีความกังวล ทำให้นายทหารผู้ช่วย- พันตรีแบร์นฮาร์ด ฟอน ชไนเดอร์อดเอ่ยปากถามมิได้

“ใต้เท้าขอรับ ท่านได้รับตำแหน่งสูง เป็นถึงแม่ทัพใหญ่ของกองกำลังพันธมิตรขุนนาง อีกทั้งท่านประมุขก็ยังให้สัญญาตามที่ท่านต้องการทั้งสองประการอีกเล่า ในความเห็นของทหารอย่างพวกข้าฯ น้อยนั้น เมื่อเกิดเป็นทหารแล้ว การได้นำทัพใหญ่ต่อสู้กับศัตรูที่เข้มแข็งนับเป็นความภาคภูมิใจอย่างสูงสุด แต่เหตุไฉน ใต้เท้าจึงมีสีหน้าเสมือนหนึ่งไม่เต็มใจกระนี้เล่า?”

เมลคัทซ์หัวเราะอย่างขื่น ๆ

“พันตรีชไนเดอร์เอย เจ้ายังอ่อนหัดนักหนอ ใช่สิ พวกของท่านดยุค เบราสไวก์ยอมรับเงื่อนไขของเราก็จริง แต่เจ้าคอยดูเถิด กับอีแค่คำสัญญาปากเปล่าเท่านั้น อีกไม่เท่าไร พวกนั้นจักต้องพยายามแทรกแซงก้าวก่ายการบัญชาการรบของเราเป็นแม่นมั่น ต่อให้จะลงโทษพวกเขาด้วยกฎทหารก็ตาม ก็หาใช่ว่าพวกเขาจะยอมแต่โดยดีไม่ หนำซ้ำ พวกเขาจักพลอยเกลียดขี้หน้าของเรายิ่งกว่ามาร์ควิส ฟอน โรเอนกรัมนั่นประไร”

“ปานนั้นเชียวหรือขอรับ...”

“อันว่าอภิสิทธินั้น เป็นยาพิษที่ร้ายแรงที่สุดที่สามารถกัดกร่อนมโนธรรมของมนุษย์ให้เน่าเฟะได้ และพวกเขา- บรรดาขุนนางฐานันดรล้วนแล้วแต่อาบยาพิษขนานนี้มาเป็นเวลากว่าสิบชั่วคนแล้ว ถึงบัดนี้ พวกเขาทำเป็นอยู่อย่างเดียว คือ เอาดีเข้าตัว ชั่วให้คนอื่น ตัวเองต้องถูกเสมอและคนอื่นต้องผิดเสมอ ชไนเดอร์เอย แม้นตัวเราก็เหมือนกัน เดิมก็เกิดมาในตระกูลขุนนางฐานันดรเช่นกัน ถึงจะเป็นระดับล่าง ๆ ก็เถิด แต่เราก็เคยถูกยาพิษขนานนี้มาก่อน หากมิใช่เพราะเราได้มาเป็นทหารและได้สัมผัสคลุกคลีกับบรรดาทหารระดับล่างแล้ว ไหนเลยเราจักสำนึกตัวได้ และเราก็ได้แต่หวังว่า พวกเขาจะรีบรู้สำนึกตัวเสียที... ก่อนที่ดาบของมาร์ควิส ฟอน โรเอนกรัมจะฟันลงมาบนศีรษะของพวกเขา...”

เมลคัทซ์บอกให้นายทหารหนุ่มผมทองผู้ซื่อสัตย์คนนี้กลับออกไป แล้วตนเองก็หันหน้าเข้าหาเครื่องพิมพ์ดีดคอมพิวเตอร์ (เวิร์ดโปรเซสเซอร์) เปิดสวิทช์แล้วเริ่มลงมือพิมพ์อะไรบางอย่างต๊อกแต๊กอย่างไม่คล่องแคล่วนัก

สิ่งที่เขาพิมพ์คือ จดหมายถึงภรรยาและบุตรนั่นเอง

และเนื้อหาคือ ขอแยกทางกับพวกเขา

(อ่านตอนต่อไป)


กลับไปอ่านตอนที่แล้ว +++ กลับไปหน้าสารบัญ +++ ไปอ่านตอนต่อไป 1