นวนิยายแฟนตาซีอวกาศเรื่องยาว

วีรบุรุษทางช้างเผือก เล่ม ๒ : ความทะเยอทะยาน
銀河英雄伝説 第二巻:野望篇

เรื่อง โดย ทะนะกะ โยะชิกิ (田中芳樹) แปลโดย Pae

บทที่ 2 ชนวนระเบิด
-7-


ในบรรดาลูกสมุนของดยุค ฟอน เบราสไวก์ ยังมีบุคคลที่พยายามจะหลีกเลี่ยงสงครามกลางเมืองที่เกิดจากการประทะกันซึ่ง ๆ หน้าระหว่างกองกำลังฝ่ายไรน์ฮาร์ดและฝ่ายต่อต้านไรน์ฮาร์ด ทั้งนี้ หาใช่เพราะพวกเขารักสันติแต่ประการใดไม่ แต่เป็นเพราะเห็นว่า ต่อให้เปิดศึกกับไรน์ฮาร์ด พวกตนก็ไม่มีโอกาสชนะต่างหาก

รายแรกที่แสดงตัวออกมาคือ พลจัตวาชูทไรท์ เขาขอเข้าเฝ้าดยุค ฟอน เบราสไวก์ จากนั้นเกลี้ยกล่อมให้ท่านดยุคยอมเสียชื่อเสียงไปชั่วขณะ โดยการส่งคนไปลอบสังหารไรน์ฮาร์ดเสีย เพื่อหลีกเลี่ยงการทำสงครามกันซึ่งหน้า

“พูดอะไรบ้า ๆ ออกมา!”

ท่านดยุคปฏิเสธทันทีด้วยประโยคนี้ประโยคเดียว

“แต่... ใต้เท้าขอรับ”

“เราอุตส่าห์รวบรวมกองกำลังได้ถึงเรือนล้าน ก็เพราะตั้งใจว่า จะเปิดศึกบดขยี้ไอ้เด็กผมทองนั่นอย่างเปิดเผย นี่ต่างหาก จักเป็นสิ่งที่แสดงให้ทั้งมาร์ควิส ฟอน ลิตเทนไฮม์ อีกทั้งผู้คนทั่วจักรวรรดิได้รับรู้ถึงความชอบธรรมและความเหมาะสมที่เราจะมีอำนาจปกครองเหนือดินแดนแห่งนี้ แต่เจ้ากลับมาบอกให้เราใช้วิธีลอบสังหารเสียนี่? เจ้าอยากให้เราเสื่อมเสียมากถึงขนาดนั้นเชียวรึ?”

“ใต้เท้าขอรับ ข้าพเจ้าขอบังอาจเรียนซ้ำอีกคราว่า อันตัวมาร์ควิส ฟอน โรเอนกรัมนั้นเป็นอัจฉริยะทางการสงคราม ต่อให้เรารบชนะเขาได้ก็ตาม ย่อมหลีกเลี่ยงไม่พ้นที่จะเกิดความเสียหายใหญ่หลวงแก่ฝ่ายเราด้วย อีกทั้งยังทำให้เกิดไฟสงครามลุกโชนไปทั้งดินแดนจักรวรรดิ ราษฎรทั้งหลายจักต้องเดือดร้อนไปทุกหย่อมหญ้า ขอใต้เท้าได้โปรดพิจารณาด้วยเถิด”

แต่คำขอร้องของชูทไรท์ก็ได้รับตอบกลับด้วยเสียงตวาดอย่างกราดเกรี้ยว “ต่อให้เรารบชนะเขาได้...” หมายความว่าอย่างไร? เราไม่ต้องการคนที่ไร้ความคิดที่จะเอาชนะอย่างเจ้าอีกแล้ว หากเจ้ารักตัวกลัวตายนัก ก็จงไปทำไร่ไถนาอยู่ในดาวไกลโพ้นเถิด...

หลังจากชูทไรท์ผิดหวังกลับออกไปไม่นาน พันเอกเฟลนาร์ก็มาขอเข้าเฝ้าดยุค ฟอน เบราสไวก์พร้อมด้วยข้อเสนอของตน รายนี้เสนอให้ใช้วิธีก่อการร้าย เขาอธิบายแนวคิดของตนอย่างกระตือรือร้นว่า

“ไม่จำเป็นต้องใช้กองทัพใหญ่เป็นล้านคนหรอกขอรับใต้เท้า ขอเพียงใต้เท้าให้ข้าฯ น้อยยืมใช้ทหารหน่วยจารกรรมสักเพียง 300 คนก็พอแล้ว ข้าฯ น้อยจะลอบวางระเบิดสังหารมาร์ควิส ฟอน โรเอนกรัมให้จงได้ขอรับ”

“หุบปาก เจ้าหาว่า เราไม่มีทางรบชนะเด็กนั่นรึอย่างไร”

“หามิได้ขอรับใต้เท้า สิ่งที่ข้าพเจ้าอยากบอกก็คือ เราควรจะหลีกเลี่ยงสงครามกลางเมืองที่แบ่งจักรวรรดิออกเป็นสองซีกนี้เป็นอย่างยิ่งนะขอรับ เพราะไม่ว่าฝ่ายใดเป็นฝ่ายชนะก็ตาม ความเสียหายที่มีต่อจักรวรรดินั้นย่อมมากมายเหลือคณานับ สำหรับมาร์ควิส ฟอน โรเอนกรัมแล้ว เขามีเจตนาที่จะสร้างประเทศขึ้นใหม่หลังจากทำลายมันลงไปแล้วครั้งหนึ่งย่อมหาได้ยี่หระต่อความเสียหายที่จะเกิดขึ้นไม่ แต่ใต้เท้านั้น ย่อมมีเจตนารมณ์ที่จะรักษาความเป็นจักรวรรดิเดิมไว้มิใช่หรือขอรับ จะมัวคิดว่า ขอให้ชนะได้เป็นพอนั้นหาได้ไม่นะขอรับ”

“พอได้แล้ว หุบปากของเจ้าเดี๋ยวนี้!”

เฟลนาร์ถูกตวาดดังลั่น แล้วไล่กลับออกมาอีกคนหนึ่ง แต่เขาหาได้หยุดอยู่เพียงเท่านี้ไม่ ถึงแม้นว่าตนจะรู้สึกเหยียดหยามความคิดทื่อ ๆ และความหัวแข็งของนายเหนือหัวของตนก็จริง แต่เขาก็ไม่ยอมรามือง่าย ๆ ดั่งเช่นชูทไรท์

“ลงอีหรอบนี้ละก็ ข้าก็จะขอลงมือเองล่ะ ต่อให้ฆ่าเจ้ามาร์ควิสโรเอนกรัมไม่ได้ก็ตาม แต่ก็ยังมีวิธีจับพี่สาวเกรฟิน ฟอน กรุนเนวัลต์ของมันเป็นตัวประกันนี่นา”

เขาจัดแจงรวบรวมกำลังได้ 300 คนโดยมีกำลังหลักเป็นลูกน้องใต้บังคับบัญชาที่ซื่อสัตย์ของตน แล้วในคืนหนึ่ง เขาก็พากำลังติดอาวุธบุกไปที่ตำหนักของไรน์ฮาร์ด โดยไม่บอกให้ดยุค ฟอน เบราสไวก์รับทราบ

แต่ แผนการของเขาก็ล้มเหลวโดยสิ้นเชิง เมื่อไปถึงตำหนักชวาร์เซนที่ไรน์ฮาร์ดพำนักอยู่กับอันเนโรเซ่นั้น ก็พบว่า เคียร์ชไอซ์ได้คุมกำลังทหารติดอาวุธสงคราม จำนวนถึง 5000 นายคอยเฝ้าอารักขาอย่างเข้มแข็งอยู่แล้ว ไม่มีช่องโหว่ใด ๆ ที่จะให้เขาบุกเข้าไปโจมตีได้เลยแม้แต่น้อย

“สมกับเป็นมาร์ควิส ฟอน โรเอนกรัมกับสมุนมือขวาละนะ แผนตื้น ๆ ของข้าไหนเลยจักใช้กับพวกเขาได้”

เฟลนาร์ล้มเลิกความตั้งใจ แล้วสั่งยุบกองกำลังของตนทันที ณ ตรงนั้นเอง ส่วนตัวเขาก็หลบหนีซ่อนร่องรอยของตนอย่างเร่งด่วน ทั้งนี้เขาทราบดีว่า การที่ตนแอบนำกำลังทหารออกมาโดยพลการ รังแต่จะทำให้ดยุค ฟอน เบราสไวก์กริ้วเป็นอย่างมากนั่นเอง

และการณ์ก็เป็นดั่งที่เขาคาด ทันทีที่ดยุค ฟอน เบราสไวก์ทราบเรื่องทั้งหมดจากทหารบางคนที่กลับไปมือเปล่า ท่านดยุคก็โกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง สั่งให้ติดตามจับกุมเจ้าลูกน้องตัวดีมาลงโทษทันที

แต่ไม่มีใครตามหาเฟลนาร์พบ

“เฮอะ ช่างหัวมัน ถึงยังไงมันก็กลายเป็นคนที่ไม่มีใครต้องการแล้ว ไม่ว่าจะไปแอบอยู่มุมไหนของจักรวาล สุดท้ายก็มีแต่จะแห้งตายนั่นแหละ ปล่อยมันไป”

สำหรับดยุค ฟอน เบราสไวก์แล้ว ในตอนที่สถานการณ์ตึงเครียดถึงขีดสุดนี้ แทนที่จะมัวหาตัวลูกน้องไม่รักดีของตน เขามีเรื่องเร่งด่วนกว่าที่ต้องทำ นั่นคือ รีบหนีออกจากดาวโอดีน เพื่อกลับไปยังหมู่ดาวในอาณาเขตปกครองของตนนั่นเอง ในการนี้ บุรุษนาม พลจัตวาอันสบาคเป็นผู้รับผิดชอบวางแผนและดำเนินการทั้งหมด พวกเขาทำทีว่าจะจัดงานชมสวนขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ โดยทูลเชิญจักรพรรดิน้อยให้เสด็จมาในงานด้วย หลังจากร่อนบัตรเชิญไปขนานใหญ่แล้ว ก่อนถึงกำหนดวันงานหนึ่งวัน ดยุค ฟอน เบราสไวก์และครอบครัว พร้อมด้วยบรรดาทหารในสังกัดอีกจำนวนไม่มากก็ลอบบินหนีออกไปจากดาวโอดีน

เมื่อไรน์ฮาร์ดทราบเรื่องก็ตัดสินใจว่า ถึงเวลาที่ตนจะดำเนินการตามที่ได้เตรียมไว้บ้างแล้ว

บิทเทนเฟลต์ซึ่งได้รับคำสั่งจากไรน์ฮาร์ด ได้พากำลังทหารติดอาวุธจำนวน 8000 นาย บุกเข้าไปยึดตึกที่ทำการของสำนักกลาโหม เพื่อจับกุมตัวเสนาบดีกลาโหม-จอมพลเอเลนแบร์ก และควบคุมการออกคำสั่งบังคับบัญชาสายงานทางทหารของจักรวรรดิทั้งหมด อันมีศูนย์กลางที่ตึกแห่งนี้

กำลังของฝ่ายต่อต้านไรน์ฮาร์ดนั้นส่วนใหญ่ได้ถอนตัวออกจากโอดีนไปหมดแล้ว จึงไม่มีผู้ที่ต่อต้านขัดขืนปฏิบัติการของบิทเทนเฟลต์มากนัก ความเสียหายที่เกิดขึ้นหนักที่สุดมีเพียงแค่ พันเอกคนหนึ่งที่เฝ้าอยู่หน้าห้องทำงานของเสนาบดีกลาโหม ถูกบิทเทนเฟลต์ยิงด้วยปืนจนบาดเจ็บสาหัสไปเท่านั้นเอง

จอมพลผมขาวซึ่งใส่แว่นตาข้างเดียวแบบเก่า (โมโนโครม) เงยหน้าขึ้นมองบิทเทนเฟลต์ที่ก้าวผ่านประตูเข้าไปอย่างอุกอาจ แต่ฝ่ายแรกกลับไม่มีทีท่าจะตกใจแต่อย่างไร กลับเอ่ยปากอย่างน่าเกรงขาม เต็มไปด้วยสง่าราศีว่า

“เจ้าหนุ่มที่ประดุจคางคกขึ้นวออย่างเจ้านี่ ใครอนุญาตให้บังอาจเข้ามาในห้องของเราโดยพลการเช่นนี้? เจ้าต้องการสิ่งใดหรือ? แต่ดูท่า แม้แต่มารยาทก็ยังไม่มีนี่ น่าสังเวชจริง ๆ”

บิทเทนเฟลต์ทอประกายหัวเราะอย่างเยือกเย็นในดวงตาแวบหนึ่ง ก่อนจะยอมเก็บปืนของตนแต่โดยดี แล้วยกมือขึ้นทำความเคารพอีกฝ่ายอย่างนอบน้อม พลางกล่าวว่า

“ขออภัยในความอุกอาจของข้าฯ น้อยด้วยเถิดใต้เท้า สิ่งที่ข้าฯ น้อยต้องการมีเพียงว่า ให้ทุกผู้คนสำนึกถึงการเปลี่ยนแปลงของยุคสมัยได้แล้ว เท่านั้นเองขอรับ ใต้เท้า”

ระหว่างบุคคลทั้งสอง มีความแตกต่างของวัยถึงกว่าครึ่งศตวรรษ ผู้เฒ่ายันกายของตนขึ้น พร้อมแบกภาระความยิ่งใหญ่ของชาติตระกูลตนไว้บนบ่า ในขณะที่ผู้เยาว์กว่ามาจากฝ่ายที่กำลังจ้องจะทำลายขนบธรรมเนียมดั้งเดิมเหล่านั้นให้หมดสิ้นไป

หลังจากยืนจ้องตากันได้เพียงครู่สั้น ๆ ไหล่ของท่านผู้เฒ่าก็ตกลงอย่างห่อเหี่ยว...

ต่อจากนั้น ตึกกองบัญชาการทหารสูงสุดก็ถูกยึดด้วยกำลังทหาร และผู้บัญชาการทหารสูงสุด- จอมพลสไตน์ฮอฟก็ถูกควบคุมตัวไว้เช่นกัน

ในเวลาเดียวกัน น่านฟ้าในรัศมีวงโคจรของดาวเทียมของดาวโอดีน ก็ถูกกองเรือรบของเคียร์ชไอซ์วางกำลังไว้อย่างหนาแน่น และในห้วงอวกาศชั้นนอกถัดออกไปนั้นเล่า กองเรือรบของเคมป์และรอยเอนธาลก็ตรึงกำลังอยู่เช่นกัน ในสภาพพร้อมรบ

เมื่อบรรดาขุนนางชั้นสูงทราบข่าวว่า โอดีนถูกพวกของไรน์ฮาร์ดยึดอำนาจไว้หมดแล้ว พวกเขาบางคนพยายามที่จะหลบหนีออกจากดาวนี้ไป แต่เมื่อไปถึงสนามบินอวกาศ ก็พบว่ากองกำลังทหารภายใต้การนำของมิตเตอร์ไมเยอร์ได้รออยู่แล้ว และจับกุมพวกเขาไป พวกที่มีเรืออวกาศส่วนตัวและทะยานขึ้นท้องฟ้าด้วยเรืออวกาศเหล่านั้น ก็หาได้รอดพ้นจากเงื้อมมือของเคียร์ชไอซ์ไม่ เคียร์ชไอซ์เองได้ปฏิบัติอย่างสุภาพต่อบรรดา “เชลย” ที่ตนจับได้ แต่ก็หาทำให้ความรู้สึกท้อแท้สิ้นหวังจางหายไปจากใจของบรรดาขุนนางเหล่านั้นได้ไม่

ผู้ที่โชคดีที่สุดเห็นจะเป็นบรรดาขุนนางที่หนีไปยังคฤหาสน์ของเคานท์ฟรานซ์ ฟอน มารีนดอร์ฟเพื่อขอความช่วยเหลือและขอให้ช่วยเป็นตัวกลางเจรจาประนีประนอมกับไรน์ฮาร์ด ฮิลด้าซึ่งเป็นผู้รับหน้าบุคคลเหล่านี้เจรจาอย่างฉะฉานและซื้อใจของพวกเขาไว้ได้ทั้งหมด เธอเลือกใช้คำพูดที่ฟังแล้วไม่ดูเป็นการบีบบังคับอีกฝ่าย หากแต่ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกสำนึกในบุญคุณของตนอย่างเต็มที่

ในบรรดาผู้ที่หลบหนีไม่สำเร็จ ก็มีพลจัตวาชูทไรท์รวมอยู่ด้วย สำหรับรายนี้แล้ว เขาถูก “ลืม” ไว้ในขณะที่บรรดาผู้คนในครอบครัวเบราสไวก์หลบหนีออกไปนั่นเอง ทั้งนี้ หาใช่ว่าจงใจทิ้งเขาไว้รับกรรมในโอดีนแต่ประการใดไม่ เป็นการลืมจริง ๆ

ชูทไรท์ที่ถูกจับกุมตัวได้และถูกสวมกุญแจมือแม่เหล็ก ถูกพามารับการสอบสวนจากไรน์ฮาร์ดโดยตรง

“เราได้ยินมาว่า เจ้าคือคนที่ไปเสนอต่อดยุค ฟอน เบราสไวก์ให้ลอบสังหารเรา เป็นความจริงหรือไม่?”

“จริงทุกประการขอรับ”

ชูทไรท์ไม่มีทีท่าสะทกสะท้านแต่อย่างไร ดูเหมือนเขาจะทำใจได้แล้ว

“เหตุใดจึงเสนอเช่นนั้นรึ?”

“ก็เพราะ ข้าพเจ้าตระหนักดีแก่ใจว่า หากไม่ทำเช่นนั้น ก็จะต้องมีวันนี้เข้าสักวันนะสิ ขอเพียงแค่นายเหนือของข้าพเจ้ามีการตัดสินใจที่เฉียบขาดอีกสักหน่อยเถิด ในวันนี้ผู้ที่จะถูกสวมกุญแจมือจะหาใช่ข้าพเจ้าไม่ แต่จักเป็นท่านอย่างแน่นอน น่าเสียดายจริง ๆ ไม่ฉพาะสำหรับท่านดยุค ฟอน เบราสไวก์เท่านั้น และน่าเสียดายสำหรับราชวงศ์โกลเดนบาวม์ด้วย”

ไรน์ฮาร์ดได้ฟังเช่นนั้นกลับมิได้โกรธเคืองแต่ประการใด หนำซ้ำยังจ้องมองอีกฝ่ายด้วยสีหน้าพึงพอใจในความกล้าหาญและความซื่อสัตย์เป็นอย่างยิ่ง อีกอึดใจถัดมา เขาก็ออกคำสั่งให้ลูกน้องของตนปลดกุญแจมือออกจากข้อมือของชูทไรท์

ชูทไรท์ลูบถูข้อมือที่ถูกกุญแจมือรัดจนเจ็บ พลางก็แสดงสีหน้าประหลาดใจอย่างเก็บงำไว้ไม่อยู่

“จะฆ่าทิ้งก็น่าเสียดายนัก เอาเช่นนี้เถิด เราจะออกใบเปิดทางให้เจ้า เจ้าจงเดินทางไปหาดยุคเบราสไวก์แล้วแสดงความจงรักภักดีต่อเขาให้สมกับความตั้งใจของเจ้าเถิด”

แต่ข้อเสนออย่างใจกว้างของไรน์ฮาร์ดนี้ กลับไม่ได้รับความขอบคุณจากอีกฝ่ายแต่อย่างไร

“หากท่าน- เอ้อ ใต้เท้าจะกรุณาแล้วไซร้ ได้โปรดอนุญาตให้ข้าพเจ้าพำนักอยู่ในโอดีนนี้เช่นนี้ต่อไปเถิดขอรับ”

“อ้าว? เจ้าหาได้อยากไปหานายเหนือของเจ้าหรอกรึ?”

“นั้นคงเป็นไปไม่ได้หรอกขอรับ เหตุผลก็คือ...”

น้ำเสียงของชูทไรท์มีแววขมขื่นแฝงอยู่- ต่อให้ตนออกเดินทางจากโอดีนและไปถึงแดนของดยุค ฟอน เบราสไวก์ได้อย่างปลอดภัยก็ตาม ฝ่ายนั้นคงจะหาได้ยินดีด้วยไม่ กลับจะระแวงสงสัยว่า ตนมีใจออกห่างไปให้ไรน์ฮาร์ดแล้วหรืออย่างไร ถึงได้ถูกส่งมาเป็นสายสืบ ดีไม่ดี อาจจะถูกสั่งขังลืมหรือถูกสั่งประหารชีวิตเสียด้วยซ้ำ ดยุค ฟอน เบราสไวก์เป็นคนเช่นนี้เอง ในทำนองเดียวกับที่เขาสามารถทิ้งลูกน้องจำนวนมากได้หน้าตาเฉยในคืนที่เขาหนีออกจากโอดีนไป เขาก็เป็นคนที่ไม่เคยเชื่อในความจงรักภักดีของลูกน้องเช่นกันนั่นเอง

“ดยุคเป็นอย่างนั้นเองแหละขอรับ ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เป็นคนเลวโดยสันดานก็เถิด...”

น้ำเสียงของพลจัตวาเต็มไปด้วยแววอ่อนใจแต่ก็อดแก้ต่างให้นายตนไม่ได้

“เข้าใจแล้ว ถ้าเช่นนั้น เจ้าไม่ลองมาทำงานกับเราหรือ เราจะเลื่อนยศให้เป็นพลตรีด้วย...”

“ขอบพระคุณในน้ำใจของใต้เท้ามากขอรับ แต่ข้าพเจ้าทำใจไม่ได้ที่จะต้องเป็นศัตรูกับผู้ที่เคยเป็นนายเหนือของตนมาจนถึงเมื่อวานนี้ ได้โปรดอภัยให้ข้าพเจ้าด้วย”

ไรน์ฮาร์ดพยักหน้ารับรู้ แล้วจัดแจงออกหนังสือประกัน (สวัสดิภาพ) ให้ชูทไรท์ และปล่อยให้อีกฝ่ายเป็นอิสระ

อีกทางหนึ่ง พันเอกเฟลนาร์ก็จัดอยู่ในพวกที่หนีไม่ทันเช่นกัน แต่สำหรับรายนี้ เรียกได้ว่า ไม่มีโอกาสได้หนีจะถูกกว่า เขาซ่อนตัวอยู่ในย่านสลัมในเมือง ทำให้รอดพ้นจากสายตาของกองกำลังไรน์ฮาร์ดไปได้ แต่สถานการณ์ที่เลวร้ายสำหรับเขาก็ไม่เปลี่ยนแปลง หลังจากคิดไตร่ตรองอย่างละเอียดแล้ว เขาก็เลือกที่จะออกมามอบตัวกับทหารพระธรรมนูญเอง แล้วร้องขอเข้าพบไรน์ฮาร์ดเพื่อตัดสินชะตาชีวิตของตน

อีกประการที่รายนี้แตกต่างจากชูทไรท์คือ เฟลนาร์ยืดหยุ่นมากกว่าอย่างเทียบกันไม่ติด เขาพบหน้าไรน์ฮาร์ด แล้วก็บอกว่า ตนรู้สึกผิดไปแล้วที่ไปเข้าสังกัดอยู่กับดยุค ฟอน เบราสไวก์ บัดนี้เมื่อตนเห็นว่าเจ้านายเก่าของตนไม่ดีพอ จึงขอมารับใช้นายคนใหม่คือไรน์ฮาร์ด รวมทั้งยังสารภาพอย่างหมดเปลือกอีกด้วยว่าตนเคยพาทหารในสังกัดหมายจะก่อการอะไรไว้บ้าง

“ไหนเจ้าลองกล่าวอีกทีสิ ว่า สำนึกในเรื่องความจงรักภักดีของเจ้านั้นมันเป็นอย่างไร ถึงได้ยอมให้เจ้าทิ้งนายเก่าที่รับใช้มานานหลายปีได้ง่าย ๆ ดั่งนี้?”

“อันความจงรักภักดีนั้น ย่อมจะมีความหมายก็ต่อเมื่อได้ถวายสัตย์จงรักภักดีต่อบุคคลที่เห็นค่าของการจงรักภักดีนั้นเท่านั้น ใต้เท้าไม่คิดหรือขอรับว่า การที่คนสักคนหลงผิดไปจงรักภักดีต่อนายเหนือที่มีตาแต่ไร้แวว ไม่เห็นคุณค่าของบุคคลผู้นั้น เป็นการสูญเสียอันใหญ่หลวงของสังคม เปรียบประดุจวานรได้แก้ว ได้ไปแล้วก็หาได้ทำให้แก้วนั้นมีคุณค่าขึ้นมาได้ไม่”

“พูดจาโอหังดีนักเจ้า”

ไรน์ฮาร์ดได้แต่ส่ายหน้าเอือมระอา แต่เขาก็ยอมรับว่า อีกฝ่ายไม่มีเจตนาร้ายใด ๆ ต่อตนเหลืออยู่อีกแล้ว จึงออกปากอนุญาตรับเข้ามาเป็นพวก แถมท้ายว่า ในเมื่อโอหังและบ้าบิ่นได้เพียงนี้แล้ว ให้ไปสังกัดอยู่กับโอแบร์สไตน์ก็คงจะไม่หวาดกลัวฝ่ายหลังจนหัวหดไม่เป็นอันทำงานกระมัง

อันที่จริง โอแบร์สไตน์ก็มิใช่บุรุษที่ชอบกดขี่ข่มเหงลูกน้องแต่อย่างไร เพียงแต่ด้วยบุคลิกอันเยือกเย็นเกินไปจนเรียกได้ว่า เลือดเย็นอำมหิต ทำให้บรรดานายทหารเสนาธิการหนุ่ม ๆ ในสังกัดพากันเครียดและระมัดระวังจนตัวลีบไปตาม ๆ กัน กล่าวกันว่า ยามอยู่ในที่ทำงาน แม้แต่จะพูดเล่นสักคำยังไม่มีใครกล้าพูดเลยด้วยซ้ำ

และในบรรยากาศที่ทำงานเช่นนั้นเอง เฟลนาร์ก็เข้าไปเริ่มงานของตน ตอนแรกเขาถูกมองด้วยสายตาหวาดระแวง (ในฐานะที่แปรพักตร์มาใหม่) แต่ก็สามารถปักหลักสร้างฐานของตนในสังคมใหม่ได้อย่างรวดเร็ว เขารู้ตัวดีถึงภาระและหน้าที่ รวมทั้งบทบาทของตนว่า ต้องทำตัวเป็นคนกลาง และเป็นยาแก้พิษสำหรับบรรยากาศตึงเครียดในที่ทำงานด้วย แต่จะว่าไป ชายผู้นี้เป็นได้ทุกอย่างอยู่แล้ว ต่อให้เป็นตัวสร้างความบันเทิงก็ตาม





ทางด้านไรน์ฮาร์ด เขาได้ตำแหน่งเสนาบดีกลาโหมและผู้บัญชาการทหารสูงสุด เข้ามาเป็นของตนเพิ่มขึ้นมาจากตำแหน่งผู้บัญชาการกองเรือรบอวกาศที่ตนเป็นอยู่ก่อนแล้ว เรียกได้ว่า บัดนี้ อำนาจเผด็จการทางการทหารสูงสุดของจักรวรรดิอยู่ที่เขาเพียงผู้เดียว

และในการนี้ จักรพรรดิเอลวิน โจเซฟที่ 2 ทรงโปรดเกล้าฯ พระราชทานฉายา “แม่ทัพใหญ่แห่งกองทัพจักรวรรดิ” ให้แก่มาร์ควิส ฟอน โรเอนกรัมด้วย แน่นอน นี่หาใช่เป็นการกระทำที่มาจากความคิดของจักรพรรดิน้อยวัย 6 พรรษาแต่ประการใด แต่เป็นความคิดของผู้รับฉายาเองนั่นแหละ

พร้อมกันนั้น พระราชโองการมอบหมายภารกิจสำคัญก็ได้ถูกประกาศด้วย เป็นภารกิจในการกวาดล้างกองกำลังของดยุค ฟอน เบราสไวก์และพวก ที่ส้องสุมกำลังกันเพื่อคิดก่อกบฏเป็นปฏิปักษ์ต่อองค์จักรพรรดินั่นเอง

เวลาขณะนั้น วันที่ 6 เดือน เมษายน และไรน์ฮาร์ดก็ได้รับรายงานเกี่ยวกับเหตุการณ์ไม่สงบที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในแดนสมาพันธ์ดาวเคราะห์เสรีมาก่อนหน้านั้นแล้วด้วย

ได้ฤกษ์เปิดศึกอันสมควรยิ่งแล้ว!

ไรน์ฮาร์ดสัมผัสมือกับเคียร์ชไอซ์เพื่อบอกลากันชั่วคราว ทั้งนี้ เคียร์ชไอซ์จะคุมกำลังถึงหนึ่งในสามของกองกำลังฝ่ายไรน์ฮาร์ดทั้งหมด เพื่อแยกไปปฏิบัติภารกิจพิเศษอีกอย่างหนึ่ง

“อีกนิดเดียว เคียร์ชไอซ์ อีกนิดเดียวเท่านั้น จักรวาลก็จะเป็นของเรา”

ทั้งน้ำเสียง ทั้งแววตาของไรน์ฮาร์ดบ่งบอกถึงความฮึกเหิม ไม่รู้จักคำว่า กลัว สำหรับเคียร์ชไอซ์แล้ว นี่ช่างเป็นสิ่งวิเศษและมีค่ายิ่งสำหรับเขาเสียนี่กระไร นับตั้งแต่สมัยยังเด็ก

(อ่านตอนต่อไป)


กลับไปอ่านตอนที่แล้ว +++ กลับไปหน้าสารบัญ +++ ไปอ่านตอนต่อไป 1