นวนิยายแฟนตาซีอวกาศเรื่องยาว

วีรบุรุษทางช้างเผือก เล่ม ๒ : ความทะเยอทะยาน
銀河英雄伝説 第二巻:野望篇

เรื่อง โดย ทะนะกะ โยะชิกิ (田中芳樹) แปลโดย Pae

บทที่ 3 กองยานรบหยางออกปฏิบัติการ
-1-


ระเบิดลูกแรกที่สร้างความสั่นสะเทือนให้กับฟรีพลาเน็ต (สมาพันธ์ดาวเคราะห์เสรี) เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 30 มีนาคมปีนั้นเอง- เพียงเวลาไม่กี่วันหลังจากหยางเหวินหลี่ออกเดินทางจากดาวไฮเนสเซนไป

และนั่นย่อมหมายความว่า คณะสืบสวนเกี่ยวกับแผนรัฐประหารที่พลเอกบิวค็อกผู้บัญชาการกองยานรบอวกาศตั้งขึ้นมานั้น เพิ่งจะมีเวลาทำงานไปได้เพียงไม่กี่มากน้อยเท่านั้น ทั้งนี้ ผู้การเฒ่าย่อมถนัดในการนำกองทัพยานรบรบในห้วงอวกาศ มากกว่าที่จะมาทำงานสืบสวนหาข่าวในวงลึกของกองทัพอันเป็นงานของทหารพระธรรมนูญเช่นนี้ ซึ่งท่านผู้เฒ่าไม่เชี่ยวชาญเลยแม้แต่น้อย แต่ถึงกระนั้นก็ตาม ท่านก็คัดเลือกคนมาร่วมงานอย่างละเอียดรอบคอบ และดำเนินงานมาจนกระทั่งจัดตั้งทีมงานสืบสวนได้สำเร็จ และกำลังจะนับก้าวแรกของงานสำคัญนี้แล้วทีเดียว

สิ่งที่หยางได้อธิบายถ่ายทอดให้บิวค็อกฟังนั้น เป็นเพียงการคาดการณ์อย่างเป็นตรรกะที่สวยงามราวกับศิลปะเท่านั้น แต่ไม่ได้มีหลักฐานเป็นพยานวัตถุใด ๆ มาประกอบแม้แต่ชิ้นเดียว หยางเองก็ตระหนักดีถึงจุดอ่อนประการนี้ จึงไม่สามารถที่จะไว้ใจฝากฝังเรื่องนี้ให้ใครอื่นได้ นอกจากบิวค็อกเพียงผู้เดียวเท่านั้น

“หึ เจ้าหนุ่มนั่นน่ะ เขาเชื่ออย่างเต็มเปาเลยว่า หัวเด็ดตีนขาดผมก็จะไม่มีวันเป็นพวกที่ทำบ้า ๆ อย่างนั้นแน่นอน เพราะฉะนั้น ผมก็ต้องตอบสนองความไว้วางใจของเขาให้เต็มที่ละหนอ”

สำหรับผู้การเฒ่าซึ่งสูญเสียบุตรชายไปในสงครามอันยาวนานนี้ อีกทั้งยังไม่มีหลานอีกด้วย ได้แต่ครองชีวิตอยู่กับภรรยาตามลำพังสองคน ท่านรู้สึกตื้นตันอย่างประหลาดในรสชาติของอาหารพื้น ๆ ที่ท่านกินร่วมกันกับหยางและเด็กชายจูเลียนเมื่อคืนนั้น

แน่นอน ความรู้สึกแบบนี้ ให้ตายท่านก็ต้องปากแข็งไม่ยอมเผลอระบายให้ใครฟังเด็ดขาด

ขณะที่เดือนมีนาคมกำลังจะสิ้นสุดลงนั้นเอง

พลเอกชวูซลีย์ก็ตกอยู่ในวังวนแห่งภัยพิบัติเป็นคนแรก

พลเอกชวูซลีย์ขึ้นดำรงตำแหน่งเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดแห่งกองทัพสมาพันธ์ดาวเคราะห์เสรีเมื่อปลายปีที่แล้วนี้เอง ก่อนหน้านั้น ผู้ที่ดำรงตำแหน่งดังกล่าวมาติดต่อกันเป็นเวลาถึง 5 ปี ได้แก่ จอมพลซิทเลย์ ซึ่งต้องลาออกเพื่อแสดงความรับผิดชอบต่อการพ่ายศึกครั้งประวัติศาสตร์ในยุทธภูมิอัมริทเซอร์นั่นเอง

ที่จริงซิทเลย์นั้นคัดค้านแผนออกศึกครั้งนั้นมาตั้งแต่ต้นแล้ว แต่ในฐานะของหมายเลขหนึ่งแห่งกองทัพ เขาย่อมหลีกหนีความรับผิดชอบไปไม่พ้นอยู่ดี และในตอนนี้ เขาก็ได้ออกจากเมืองหลวงกลับไปอยู่ดาวบ้านเกิดของตน- ดาวคัสสินา และดำเนินกิจการสวนผลไม้ของตนเองตามอัตภาพ...

วันนั้น ผบ. สส. ชวูซลีย์เดินทางกลับจากตรวจการณ์ฐานที่มั่นทางทหารในเขตดาวปริมณฑลรอบ ๆ ไฮเนสเซน และเขาเพิ่งเดินทางจากท่าอากาศยานอวกาศกลับมายังตึกกองบัญชาการทหารสูงสุดด้วยรถโดยสารประจำตำแหน่ง มีผู้ติดตามเป็นนายทหารผู้ช่วยชั้นสูง และทหารองครักษ์อีก 5 นาย

ทันทีที่เขาก้าวเข้าไปในห้องล็อบบี้ ก็มีบุคคลผู้หนึ่งลุกขึ้นจากเก้าอี้นั่งพักในห้องนั้น แล้วสาวเท้าตรงเข้ามาด้วยท่าเดินที่โผเผผิดปกติ บรรดาทหารองครักษ์พากันตึงเครียดขึ้น แต่ชายวัยก่อน 30 ปีผู้นั้นก็ปั้นรอยยิ้มแกน ๆ บนใบหน้าที่ไร้สีเลือดของเขา แล้วเริ่มสนทนากับท่านผู้บัญชาการทหารสูงสุด

“ผู้การชวูซลีย์ครับ กระผมเองครับ โฟ้ก...”

“... อ๋อ คุณนะเอง ผมนึกว่ายังอยู่ที่สถานพักฟื้นเสียอีก”

พลจัตวาโฟ้กเป็นตัวการแท้จริงในการเสนอแผนบุกแดนจักรวรรดิในครั้งก่อน เขาเกิดอาการฮิสทีเรียเรื้อรังกำเริบ จนกระทั่งตาบอดไปชั่วขณะในตอนก่อนจะเริ่มศึกที่อัมริทเซอร์เพียงเล็กน้อย และหลังจากพ่ายศึกแล้ว เขาถูกปลดเป็นนายทหารสำรองราชการ และถูกบังคับให้เข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาล มาตรการที่กล่าวมา นับเป็นการทำร้ายจิตใจที่ร้ายแรงเกินกว่าอดีตนักเรียนอัจฉริยะอย่างเขาที่จบการศึกษาด้วยผลสอบอันดับหนึ่งจะทนได้อย่างไม่ต้องสงสัย

“กระผมออกจากสถานพยาบาลแล้วครับผม และวันนี้ก็มาเพื่อจะขอให้ท่านช่วยสั่งให้กระผมกลับเข้ารับราชการด้วยครับ”

“กลับเข้าราชการงั้นรึ?”

ชวูซลีย์เอียงคออย่างครุ่นคิดเล็กน้อย อันที่จริงแล้ว การที่ผู้ใต้บังคับบัญชามาดักพบที่ล็อบบี้แล้วสนทนาเรื่องอย่างนี้นับเป็นการเสียมารยาทอย่างยิ่ง แต่ชวูซลีย์ซึ่งเป็นคนใจกว้างต่อผู้ใต้บังคับบัญชาอยู่แล้ว อีกทั้งเขายังเคยรู้จักหน้าโฟ้กมาก่อนด้วย จึงเผลอหยุดฟังคำขอของอีกฝ่ายไปโดยไม่ทันคิดอะไรมาก

“หมอเขาว่ายังไงบ้างล่ะ?”

“แน่นอนครับ หมอบอกว่ากระผมหายดีแล้ว ไม่มีปัญหาที่จะเข้าปฏิบัติราชการอีกแต่อย่างไรครับผม”

“นั้นหรือ ถ้างั้น คุณก็ทำตามขั้นตอนของระเบียบราชการสิ ก่อนอื่นให้คุณไปยื่นใบคำร้องขอกลับเข้าราชการพร้อมแนบใบวินิจฉัยและใบรับรองแพทย์ ที่ฝ่ายบุคคลของคณะกรรมาธิการกลาโหมนะ ถ้าคำร้องของคุณได้รับการพิจารณาอนุมัติแล้ว คุณก็จะได้กลับเข้ารับราชการสมใจล่ะ”

“แต่นั่นมันกินเวลานะครับผม กระผมอยากจะรีบกลับเข้ารับราชการเพื่อรับใช้ประเทศชาติเร็ว ๆ ได้วันนี้พรุ่งนี้เลยยิ่งดีครับผม”

“การเดินเรื่องตามระเบียบราชการอย่างถูกต้อง มันก็ต้องกินเวลาบ้างแหละ พลจัตวาโฟ้ก”

“ครับผม แต่ถ้าท่านช่วยละก็...”

แววตาของชวูซลีย์ทอประกายตำหนิขึ้น

“พลจัตวาสำรองโฟ้ก! คุณกำลังเข้าใจอะไรผิดอยู่กระมัง? อำนาจหน้าที่ของผมมีไว้สำหรับใช้เพื่อรักษากฏระเบียบต่าง ๆ ไม่ใช่สำหรับละเมิดหรือใช้อภิสิทธิ์ ผมเคยได้ยินเรื่องของคุณมาพอสมควรเหมือนกัน หลายครั้งแล้วด้วย คุณน่ะ มีแนวโน้มจะพยายามทำตัวมีอภิสิทธิ์เหนือคนอื่นอยู่เสมอ ๆ นี่นะ และไอ้ที่คุณบอกว่าคุณหายดีแล้ว สำหรับผม มองยังไงก็ไม่เห็นว่าคุณจะหายดีแล้วตรงไหนเลย”

สีหน้าของโฟ้กตึงขึ้นอีกอย่างเห็นได้ชัด ผิวหนังที่เดิมก็ไม่ค่อยมีสีเลือดอยู่แล้ว เริ่มคล้ำหมอง

“ก่อนอื่น ผมขอให้คุณเริ่มต้นจากการรักษากฎระเบียบด้วย ไม่เช่นนั้น ต่อให้คุณกลับเข้ารับราชการอีก ก็มีแต่จะมาทำความวุ่นวายให้คนอื่นเขาไม่มีที่สิ้นสุด ซึ่งมันไม่เป็นการดีเลยทั้งกับตัวคุณเองและกับคนรอบข้าง เอาล่ะ วันนี้ผมจะไม่ว่าอะไรมาก คุณกลับไปก่อนเถอะ”

ชวูซลีย์นั้น ไม่เข้าใจเลยแม้แต่น้อยเกี่ยวกับความหมายของชื่ออาการ “ฮิสทีเรียเรื้อรัง” ที่โฟ้กเป็นอยู่ ว่า นั่นคืออาการที่เกิดขึ้นเนื่องจากการเรียกร้องที่จะตอบสนองความเอาแต่ใจตนเองแต่ถ่ายเดียวจนระบบประสาทผิดปกติไป คำอบรมตักเตือนของชวูซลีย์นั้น แม้จะเต็มไปด้วยความถูกต้องและความหวังดีมากเพียงใดก็ตาม แต่มันก็ไม่มีความหมายใด ๆ สำหรับโฟ้กเลยแม้แต่น้อย เพราะฝ่ายหลังนั้นต้องการจะได้แต่คำตอบรับ “เยสเซอร์” เพียงคำเดียวเท่านั้น ประดุจจอมทรราชย์หลายต่อหลายคนที่ผ่านมาในประวัติศาสตร์ที่ต้องการจะเอาทุกอย่างให้ได้ดั่งใจนั่นเอง

“ท่านครับ!”

ขณะที่พันเอกวิทตี้นายทหารผู้ช่วยชั้นสูงส่งเสียงร้องเตือนอย่างตื่นตระหนกนั่นเอง ลำแสงสีขาวก็สว่างวาบขึ้นจากปลายมือของโฟ้ก และพุ่งเข้าเจาะชายโครงขวาของผู้บัญชาการทหารสูงสุดอย่างเงียบ ๆ

สีหน้าของพลเอกชวูซลีย์กระตุกขึ้นครั้งหนึ่งแล้วก็ขาวซีด ร่างสูงสันทัดบึกบึนของเขาซวนเซแล้วล้มลง โดยมีพันเอกวิทตี้ถลาเข้าไปประคองรับไว้

ส่วนร่างของพลจัตวาโฟ้กนั้นถูกทหารองครักษ์ถลาเข้าไปล็อคตัวให้นอนคว่ำกับพื้นเรียบร้อยแล้ว ร่างของเขาถูกกดทับภายใต้ร่างใหญ่บึกบึนของทหารองครักษ์หลายนาย ปืนเล็กที่แอบซ่อนไว้ในมือของเขาถูกยึดไปเรียบร้อยแล้วด้วยเช่นกัน

“เรียกหมอมาเร็ว!”

วิทตี้ตะโกนสั่งการ แล้วพาลดุบรรดาทหารองครักษ์แถมท้ายด้วยความโกรธ

“ให้ตายเถอะ ไหวตัวช้ากันจริง ๆ พวกคุณ ถ้าจับมันไม่ได้ก่อนที่จะยิง แล้วจะมีองครักษ์ไปทำไมกัน!”

บรรดาทหารองครักษ์งก ๆ เงิ่น ๆ ไปตาม ๆ กัน แล้วเลยพลอยออกแรงจับยึดร่างของโฟ้กแรงเกินกว่าที่จำเป็น

ผมเผ้าที่ยุ่งเหยิงของโฟ้กย้อยลงมาปรกหน้าผากที่เต็มไปด้วยเหงื่อกาฬ ต่ำลงไปจากหน้าผากของเขา ดวงตาทั้งสองที่เหม่อลอยและไร้โฟกัส กำลังเพ่งมองไปกลางอากาศ... มองอนาคตของตนเองที่กำลังดับสูญลงไปแล้วอย่างสิ้นเชิง





บิวค็อกถึงกับกระเด้งขึ้นจากเก้าอี้ ทันทีที่ได้รับรายงานเรื่องข้างต้น เขาย่อมคาดไม่ถึงเลยว่า การโจมตีรอบแรกของศัตรูจะมาในรูปแบบที่นอกเหนือการคาดหมายถึงเพียงนี้ แน่นอน ผู้การเฒ่าไม่คิดว่า นี่เป็นเหตุบังเอิญหรือเป็นเรื่องเดี่ยวๆ ที่ไม่มีเบื้องหลัง แต่อย่างไร

“แล้ว อาการของท่านผู้บัญชาการสูงสุดล่ะ?”

“อาการไม่ถึงกับเสียชีวิตครับผม แต่แพทย์บอกว่าต้องรักษาอีก 3 เดือนถึงจะหาย และระหว่างนี้ต้องให้พักผ่อนอย่างสงบ ห้ามรบกวนครับผม”

“ให้ตายเถอะ... อืมห์ แต่อย่างน้อยก็...”

บิวค็อกพึมพำกับตนเอง เขารู้สึกสะทกสะท้อนอยู่ลึก ๆ ในใจขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ ทั้งนี้ เขาเองนี่แหละ คือ ผู้ที่ตำหนิติเตียนโฟ้กซึ่ง ๆ หน้า เกี่ยวกับความโง่เขลาและความมักง่ายเอาแต่ได้ของอีกฝ่าย ในตอนยุทธการอัมริทเซอร์ จนกระทั่งฝ่ายหลังเกิดอาการกำเริบขึ้นมา จะว่าไป หากโฟ้กต้องการจะแก้แค้นล่ะก็ นอกจากชวูซลีย์แล้ว บิวค็อกก็ควรจะต้องอยู่ในข่ายด้วยเช่นกัน

ข่าวเรื่องที่ พลจัตวาสำรองราชการ โฟ้ก ทำร้ายผู้บัญชาการทหารสูงสุดชวูซลีย์จนบาดเจ็บสาหัสนั้น ถูกเผยแพร่ไปทั้งดาวไฮเนสเซน และจากนั้นก็แพร่ไปทั่วดินแดนสมาพันธ์อย่างรวดเร็วด้วยระบบการสื่อสารเหนือแสง (FTL) และทำให้ผู้คนตกอยู่ในความตื่นตระหนก

นับเป็นความอัปยศอีกครั้งหนึ่งของกองทัพสมาพันธ์ ถึงกับมีนายทหารบางคนเอ่ยปากด้วยความคิดที่น่ากลัวว่า “ถ้าเป็นจักรวรรดิทางช้างเผือกละก็ กองทัพคง (มีอำนาจ) ปิดข่าวนี้ได้เงียบสนิทไปแล้ว”

แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม กองบัญชาการทหารสูงสุดก็ย่อมต้องมีผู้นำ ทางสมาพันธ์จำเป็นจะต้องแต่งตั้งใครขึ้นมาเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดคนใหม่ หรือ รักษาการไปก่อน

หากหมายเลข 1 ของคนในเครื่องแบบ (ทหาร) คือ ผู้บัญชาการทหารสูงสุดแล้วละก็ หมายเลข 2 ก็ย่อมต้องเป็นผู้บัญชาการกองยานรบอวกาศนั่นเอง

บิวค็อกได้รับการทาบทามให้รักษาการแทนผู้บัญชาการทหารสูงสุดไปก่อนเป็นกรณีฉุกเฉิน จากกระทรวงกลาโหม (คณะกรรมาธิการกลาโหม) เขาตอบปฏิเสธคำทาบทามนั้นทันที โดยอ้างว่า หากให้หมายเลข 1 และหมายเลข 2 ขององค์กรเป็นคนคนเดียวกันละก็ ย่อมเปิดโอกาสให้เกิดรวบอำนาจเป็นเผด็จการขึ้นมาได้ ซึ่งก็เป็นเหตุผลที่ฟังดูถูกต้องครรลองแล้ว แต่ในใจที่แท้จริง ผู้เฒ่าต้องการให้กระจายความเสี่ยงในการเป็นเป้าหมายของการก่อการร้ายออกไปมากกว่า

ไม่ใช่ว่าบิวค็อกกลัวที่จะต้องกลายเป็นเป้าหมายของการก่อการร้าย สิ่งที่เขากลัวคือ หากเขาดำรงสองตำแหน่งควบกัน แล้วถูกลอบสังหารบ้างล่ะ คราวนี้ ทั้งกองบัญชาการทหารสูงสุดและกองบัญชาการกองยานรบอวกาศก็จะขาดหัวหน้าทั้งสองหน่วยงานพร้อมกัน ทำให้ระบบงานของกองทัพสมาพันธ์ชะงักงันเป็นอัมพาตไปหมด เพราะฉะนั้น อย่างน้อยที่สุด ก็ขอให้- หากเกิดเหตุร้ายขึ้นมา- ก็ให้มีสักหน่วยงานหนึ่งที่ยังคงทำงานได้อยู่เถอะ นี่จริงเป็นสิ่งที่บิวค็อกคาดหวังไว้ต่างหาก

สุดท้ายแล้ว ผู้ที่ได้รับเลือกให้รักษาการผู้บัญชาการทหารสูงสุดก็คือ พลเอกดอร์สันซึ่งเป็นรองผู้บัญชาการที่อายุมากที่สุดในบรรดารอง ผบ. สส. ที่มีอยู่ 3 คน ซึ่งเมื่อบิวค็อกได้รับทราบ คราวนี้เขาต้องลอบนึกเสียใจอยู่ลึก ๆ ว่า “รู้อย่างนี้ตูเป็นเสียเองดีกว่า”

ดอร์สันนั้น เรียกได้ว่า เป็นผู้ชายที่ใจคับแคบและจุกจิกคิดเล็กคิดน้อย เกินกว่าที่จะเรียกว่าเป็นคนเข้มงวดในหน้าที่การงาน เขาเคยดำรงตำแหน่งผู้บังคับการนายทหารพระธรรมนูญ, หัวหน้าฝ่ายข่าวกรองของคณะกรรมาธิการกลาโหม ฯลฯ มาก่อน แต่เมื่อครั้งที่เขาดำรงตำแหน่งหัวหน้าเสนาธิการแนวหลัง (ส่งกำลังบำรุง) ของกองยานรบอวกาศที่ 1 นั้น เขาเคยเที่ยวสำรวจถังขยะของครัวของกองยานรบแต่ละกอง โดยอ้างว่าเป็นการสำรวจการใช้จ่ายฟุ่มเฟือยเกี่ยวกับงบประมาณด้านอาหาร แล้วเขาก็ประกาศว่า มีมันฝรั่งจำนวนหลายสิบกิโลถูกทิ้งอย่างเปล่าประโยชน์ ทำเอาทหารทั้งกองทัพระอาใจไปกับความคิดเล็กคิดน้อยของเขาไปตาม ๆ กัน นอกจากนี้ ดอร์สันยังได้ชื่อว่าเป็นคนพยาบาทลึกอีกด้วย กล่าวกันว่า ครั้งหนึ่งเคยมีนายทหารผู้หนึ่งที่ตอนสำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนเตรียมทหารมีลำดับที่สูงกว่าดอร์สันเพียงลำดับเดียว ได้ทำงานบางอย่างผิดพลาดและถูกลดยศ พร้อมถูกโอนมาอยู่ใต้สังกัดของดอร์สัน จากนั้นมาดอร์สันก็เอาแต่กลั่นแกล้งอีกฝ่ายต่างๆ นานาอย่างไม่รามือ

แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม เป็นอันว่าการจัดการบุคลากรก็ผ่านไปแล้ว





ในวันรุ่งขึ้นนั้นเอง

อุบัติเหตุสยองก็อุบัติขึ้นในฐานทัพภาคพื้นดินแห่งหนึ่งของกองบัญชาการป้องกันอากาศยานของดาวเมืองหลวงไฮเนสเซน ขณะที่เจ้าหน้าที่กำลังตรวจเช็คมิสซายล์ระหว่างดาวเคราะห์ที่เก่าเก็บอยู่ในศูนย์ซ่อมบำรุงอยู่นั้น จู่ ๆ ก็เกิดระเบิดครั้งใหญ่ขึ้นมา

สาเหตุก็คือ การประกอบฉนวนไฟฟ้าที่ไม่สมบูรณ์ทำให้มีไฟฟ้าไหลรั่วจากส่วนควบคุมมิสซายล์ไปยังส่วนจุดระเบิดของตัวมิสซายล์จนระเบิดขึ้นในที่สุด นี่เป็นผลมาจากการผลิตที่มีมาตรฐานตกต่ำอย่างเห็นได้ชัดนั่นเอง แต่สิ่งที่ทำให้สังคมช็อคมากที่สุดคือ บรรดาทหารซ่อมบำรุงจำนวน 14 นายที่ตายทันทีในเหตุระเบิดครั้งนี้ ล้วนแล้วแต่เป็นทหารวัยรุ่นทั้งสิ้น

บรรดาประชาชนล้วนต้องรู้สึกหนาวยะเยือกไปทั่วหน้ากัน พวกเขาล้วนตระหนักแก่ใจว่านี่หมายถึงอะไร จากผลของสงครามอันยาวนาน ทำให้การขาดแคลนบุคลากรวัยทำงานกำลังระบาดไปทั่วทุกส่วนของสังคม แม้แต่ในกองทัพก็ตาม นอกจากหน่วยรบที่ออกสู่แนวหน้าแล้ว ในหน่วยงานอื่น ๆ นอกจากนั้นล้วนแต่มีทหารในวัยผู้ใหญ่น้อยลง ๆ ทุกที

ผู้นำคนสำคัญของฝ่ายต่อต้านสงครามในสภาผู้แทนราษฎร- เจสสิก้า เอ็ดเวิร์ดได้ออกแถลงการณ์แสดงความเสียใจต่อผู้เสียชีวิตและญาติมิตร จากนั้นก็กล่าววิจารณ์ความด้อยสมรรถภาพในการบริหารจัดการของกองทัพ แล้วตบท้ายด้วยการตำหนิสังคมส่วนรวมที่ยังคงดื้อดึงจะทำสงครามต่อไปว่า

“สังคมที่ส่งเด็กรุ่นเยาว์ไปสังเวยชีวิตเพื่อสงคราม... ดิฉันอยากจะถามว่า เราจะคาดหวังอนาคตอันใดได้จากสังคมเช่นนี้ล่ะคะ? เราจะกล่าวได้ว่าสังคมแบบนี้เป็นสังคมที่ปกติอย่างนั้นหรือคะ? ถึงเวลาหรือยังคะ? ที่พวกเราจะได้ตื่นจากฝันอันบ้าคลั่งเสียที แล้วหันมาถามตัวเองว่า ในสภาพความจริงปัจจุบันนี้ อะไรคือสิ่งที่สำคัญที่สุด อะไรคือหนทางที่ควรเดินมากที่สุด และแน่นอนค่ะ ว่าคำตอบก็คือ สันติภาพ...”

บิวค็อกได้รับชมการถ่ายทอดการแถลงการณ์นั้นจากออฟฟิศของเขาที่ตึกกองบัญชาการกองยานรบอวกาศ นายทหารผู้ช่วยของเขาพันตรีไฟเฟอร์ทำเสียงจึกในปากอย่างไม่พอใจ แล้วแค่นเสียงว่า

“เฮ้อ สุภาพสตรีผู้นี้นี่ พูดเอา ๆ โดยไม่รับรู้ความยากลำบากของพวกเราเลยนะครับท่าน หากจักรวรรดิทางช้างเผือกยกทัพมายึดดินแดนพวกเราได้สำเร็จเมื่อไหร่ละก็ ไอ้ที่มาปาว ๆ ว่า ใฝ่สันติเอย หรือจะมาจัดแถลงการณ์แบบนี้ก็เถิด จะไม่มีได้ทำอีกต่อไปแล้ว ช่างไม่รู้เรื่องอะไรเล้ย”

“ไม่หรอก สิ่งที่หล่อนพูดนั้นถูกแล้วล่ะ คุณเอ๋ย”

ผู้การเฒ่าต้องกล่าวปรามอารมณ์เดือดของผู้ช่วยตน

“การที่ผู้คนตายไปตามลำดับของอายุต่างหากล่ะ จึงจะเรียกว่าสังคมที่ปกติ แต่ไอ้ที่เราอยู่กันนี่ ดูเถอะ คนแก่อย่างผมกลับยังมีชีวิตอยู่รอด ขณะที่พวกคนหนุ่ม ๆ ตายไปก่อน มันเป็นสังคมที่วิปริตแน่นอน ไม่อะไรก็อะไรสักอย่างแหละนะ ถ้าไม่มีใครสักคนออกมาเตือนเรื่องนี้ละก็ รังแต่จะทำให้สังคมนั้นยิ่งวิปริตมากขึ้น ๆ น่ะสิ เพราะฉะนั้น คนอย่างหล่อนเป็นสิ่งจำเป็น สำหรับสังคมเราแหละ คุณเอ๋ย ถึงแม้ว่า คงจะไม่มีใครคิดอยากจะได้สาวที่ฝีปากดีอย่างหล่อนมาเป็นคู่ก็ตามนะ ฮะ ๆ ๆ”

ตอนท้าย เขาอดหยอดด้วยโจ๊กประชดประชันตามสไตล์ของเขาไม่ได้

สำหรับบิวค็อก ตอนนี้เขาอยู่ในสภาพที่หากไม่พูดตลกอะไรสักอย่างแล้ว คงจะอึดอัดใจจนทำอะไรไม่ถูก วันนั้นเขาเพิ่งจะกลับจากไปกล่าวรายงานตัวกับรักษาการผู้บัญชาการทหารสูงสุดที่เพิ่งรับตำแหน่ง และพลเอกดอร์สันซึ่งอายุน้อยกว่าบิวค็อกถึง 14 ปีก็ยืดอกทำตัวเบ่งเต็มประดาเข้าใส่ท่านผู้การเฒ่า แล้วก็เอ่ยเสียงดังด้วยคำพูดพล่อย ๆ ที่ไม่จำเป็นต้องพูดเลยว่า ต่อให้ท่านมีอายุและประสบการณ์ในสนามรบมากกว่าผมก็ตาม แต่ขอให้ท่านรักษาระบบการบังคับบัญชาโดยเคร่งครัด กรุณาเชื่อฟังและปฏิบัติตามคำสั่งของผมด้วย ทำเอาบิวค็อกแทบอยากจะแพ่นเข้าไปเขกกบาลมันแรง ๆ สักทีให้รู้แล้วรู้รอดไป นี่ถ้าบอกให้มันรู้ถึงเรื่องของความเป็นไปได้ที่จะเกิดรัฐประหาร และเรื่องของโอกาสที่หมอนั่นจะตกเป็นเป้าหมายการก่อการร้ายละก็ ดูท่าคนใจมดอย่างมันคงได้น้ำลายฟูมปากช็อคตายอยู่ตรงนั้นเองกระมัง





ภายในห้องมืดสลัวแห่งนั้น การประชุมด้วยน้ำเสียงต่ำ ๆ กำลังดำเนินไป

“พลจัตวาโฟ้กลอบสังหารผู้บัญชาการทหารสูงสุดชวูซลีย์ไม่สำเร็จ ผู้บัญชาการยังมีชีวิตอยู่...”

“เหอะ เก่งแต่พูดอีกแล้วเจ้าหมอนั่น เมื่อคราวอัมริทเซอร์ก็ทีนึงแล้ว มันเป็นอย่างนี้ทุกที...”

น้ำเสียงนี้ระคนไปด้วยแววผิดหวังและแววสมน้ำหน้า เสียงพึมพำเห็นด้วยดังขึ้นจากตรงนั้นทีตรงนี้ทีทั่วห้อง

“ผู้บัญชาการทหารสูงสุดได้รับบาดเจ็บสาหัส ในแง่ของการทำลายสมรรถภาพของกองบัญชาการทหารสูงสุดแล้วละก็ เรียกว่าเราประสบความสำเร็จอย่างเพียงพอก็ว่าได้ ถือว่าพลจัตวาโฟ้กทำสำเร็จแล้วก็แล้วกัน เพราะจริง ๆ แล้วโอกาสที่มันจะพลาดอย่างสิ้นเชิงก็ใช่ว่าจะไม่มีเลยนะนี่”

“ใช่ ว่าแต่เรื่องของพวกเรานี่จะไม่รั่วออกจากปากของเจ้าหมอนั่นแน่นอนหรือเปล่า? เรื่องอุกอาจขนาดนี้ พวกกรมพระธรรมนูญอาจจะยอมทำผิดกฎหมาย ใช้วิธีซ้อมหรือใช้ยาหลอนประสาทเพื่อสอบสวนมันก็ได้นะ”

“ก็อาจจะใช้นะ แต่ไม่ต้องห่วง ทางนี้ได้สะกดจิตเจ้าหมอเข้าไปถึงชั้นลึกที่สุดของจิตใจมันโดยตรงแล้ว สิ่งที่โฟ้กทำไปเป็นสิ่งที่เจ้าหมอนั่นคิดเองและลงมือทำเองทั้งหมด ไม่ได้รับการแนะนำหรือคำสั่งจากใคร ๆ ทั้งสิ้น!”

นี่เป็นการอาศัยประโยชน์จากสันดานของโฟ้กเองที่เอาตัวเองเป็นใหญ่ คิดว่าตัวเองแน่และเก่งที่สุด การที่จะทำให้โฟ้ก “คิดไปเอง” ว่าตนเป็นคนคิดแผนการและลงมือทำเองทั้งหมดจึงเป็นเรื่องที่ทำได้ไม่ยากนัก อีกทั้งเมื่อโฟ้ก “อยาก” เชื่อเช่นนั้นด้วยแล้ว เขาก็เชื่ออย่างสนิทใจเสียด้วย ดังนั้น ยกเว้นแต่ว่าผู้สอบสวนจะมีเครื่องมือวิเศษที่ยังไม่มีจริงในจักรวาลนี้ จัดการตรวจสอบเข้าไปถึงในห้วงจิตสำนึกชั้นลึกที่สุด แล้ววิเคราะห์ เอาผลลัพธ์มาประกอบกันขึ้นใหม่เป็นภาพที่ฝังในใจของโฟ้ก ออกมาแล้วละก็ ไม่มีทางที่จะรู้ความจริงได้เด็ดขาดว่าโฟ้กเองก็ถูกสะกดจิตอยู่

“โฟ้กคงจะต้องถูกส่งเข้าไปในโรงพยาบาลประสาทตลอดชีวิต ในฐานะคนเสียสติเป็นแน่ น่าสงสารอยู่เหมือนกัน แต่ในโลกนี้คนที่น่าสงสารกว่าหมอนั่นยังมีอีกมากมายนัก พวกเรายังมีภารกิจที่จะต้องกอบกู้สมาพันธ์ ล้มล้างจักรวรรดิทางช้างเผือก และนำพาความยุติธรรมกลับมาสู่ห้วงอวกาศทั้งมวล เราจะมาติดอยู่กับความรู้สึกสงสารใครเป็นการส่วนตัวไม่ได้”

เสียงนั้นหนักแน่นเน้นถ้อยคำ ประดุจกำลังพยายามปลอบใจตัวเองให้ทำใจให้ได้อยู่กระนั้น

“กลับมาเรื่องของเรากันเถอะ สรุปว่า ผู้บัญชาการทหารสูงสุดชวูซลีย์รอดชีวิตไปได้ แต่ก็ถือว่า เขาตายในฐานะของนายทหารไปสักสองสามเดือนล่ะ ส่วนดอร์สันที่รักษาการนั้น เป็นคนที่เรียกว่าแค่ได้เลื่อนเป็นพลเอกก็ถือเป็นปาฏิหารย์แล้ว เขาอาจจะทำงานธุรการได้ดีก็จริง แต่ไม่ได้มีความเป็นผู้นำเลยแม้แต่น้อย เพราะฉะนั้น สมรรถภาพของกองบัญชาการทหารสูงสุดย่อมต้องถูกบั่นทอนลงตามที่เรามุ่งหวังไว้ นั่นก็คือ เราไม่มีความจำเป็นใด ๆ ที่จะต้องเลื่อนกำหนดการออกไปอีกแม้แต่น้อย ให้ทุกคน เตรียมตัวให้พร้อมสำหรับดีเดย์ที่จะมาถึงอย่างเต็มที่!”

(อ่านตอนต่อไป)


กลับไปอ่านตอนที่แล้ว +++ กลับไปหน้าสารบัญ +++ ไปอ่านตอนต่อไป 1