ในช่วงปลายเดือนมีนาคมถึงกลางเดือนเมษายนปีนั้น ประชากรทั้ง 1 หมื่น 3 พันล้านคนของสมาพันธ์ดาวเคราะห์เสรีมีเรื่องให้ต้องอกสั่นขวัญแขวนและวิตกกังวลกันอย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย วันที่ 30 มีนาคม เหตุการณ์ลอบสังหารผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ผู้ถูกลอบสังหาร รอดชีวิต) วันที่ 3 เมษายน ทหารส่วนหนึ่งในดาวเคราะห์เนปติส จับอาวุธยึดอำนาจในดาวนั้นสำเร็จ วันที่ 5 เมษายน เกิดเหตุใช้กำลังติดอาวุธก่อความไม่สงบในดาวเคราะห์คัฟเฟอร์ วันที่ 6 เมษายน วันเริ่มต้นสงครามกลางเมือง ภายในจักรวรรดิทางช้างเผือก วันที่ 8 เมษายน เกิดเหตุยึดอำนาจในดาวเคราะห์ปาล์มเมอเรนด์ โดยกองกำลังทหารติดอาวุธ วันที่ 10 เมษายน ดาวเคราะห์แชมพูลถูกยึดภายใต้กองกำลังทหารติดอาวุธเช่นกัน ... และหยางได้แต่เฝ้าสังเกตการณ์ความเป็นไปต่าง ๆ เหล่านี้ จากป้อมปราการอิเซลโลน นอกจากเหตุลอบสังหารผู้บัญชาการทหารสุงสุดชวูซลีย์ซึ่งเขาเองก็คาดการณ์ไปไม่ถึงแล้ว นอกนั้น การณ์ทั้งหมดล้วนเป็นไปตามที่เขาเคยวิเคราะห์ไว้แทบทั้งสิ้น เรียกได้ว่าในครั้งนี้ เขาอ่านเกมของมาร์ควิสไรน์ฮาร์ด ออฟ โรเอนกรัมได้อย่างค่อนข้างถูกต้องสมบูรณ์เลยทีเดียว แต่นี่ไม่ใช่เวลามานั่งคิดภูมิใจในเรื่องนี้ ที่สุดแล้ว เหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นก็เป็นเพียงแค่การ เผื่อเหนียว ของไรน์ฮาร์ดเท่านั้นเอง ต่อให้แผนการของเขาพลาดพลั้งไปก็ตาม เขาก็ไม่สะเทือนหรือเสียหายเลยแม้แต่นิดเดียว เรียกได้ว่า เป็นเรื่องที่ทำไว้ก่อนก็ไม่เสียหลาย สำหรับไรน์ฮาร์ดผู้นั้นการวางแผนยุให้เกิดรัฐประหารในสมาพันธ์ครั้งนี้ก็คงมีความหมายเพียงเท่านั้นเอง แต่ดูเถอะ ตอนนี้สมาพันธ์ดาวเคราะห์เสรีทั้งหมดกลับซวนเซเอียงไปเอนมาภายใต้เรื่องที่มีความหมายน้อยมากสำหรับไรน์ฮาร์ดนี้ ไหนใครบอกว่า มาร์ควิสออฟโรเอนกรัมเป็นอัจฉริยะในด้านการทหารอย่างไรเล่า? หยางยักไหล่เมื่อคิดถึงตรงนี้ บุรุษหนุ่มผมทองผู้นั้นไม่ได้ใช้ทหารของตนเองแม้แต่คนเดียว ก็กลับสามารถทำให้สมาพันธ์ระส่ำระสายได้ถึงเพียงนี้แล้ว... มันเกินกว่าที่จะเรียกว่าอัจฉริยะทางการทหารเสียแล้ว! และที่สุดแล้ว ต่อให้หยางอ่านเกมของไรน์ฮาร์ดออกแล้วเป็นอย่างไรล่ะ? ในมือของหยางก็มีแต่ความว่างเปล่าอยู่ดี ถามว่าสามารถป้องกันเหตุร้ายได้หรือ? ก็เปล่า แล้วเหตุที่กำลังจะเกิดต่อจากนี้ล่ะ เขาจะมีสิทธิ์ทำอะไรได้ไหม? นอกจากปฏิบัติการรัฐประหารที่กำลังจะเกิดที่เมืองหลวงแล้ว หยางก็ยังนึกไม่ออกอีกว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นได้อีก? แม้แต่ผู้เขียนบทและผู้กำกับการแสดง- ไรน์ฮาร์ดเอง ก็คงไม่ได้เขียนบทไปถึงตอนนั้นกระมัง หากเป็นเช่นนั้นละก็ จากนี้ไปก็เป็นความสามารถในการแสดงและประสานงานกันของบรรดานักแสดงทั้งหลายแล้วสินะ ไม่ว่าจะเป็นบรรดาตัวเอกหรือตัวประกอบ ว่าจะพาเรื่องไปในทางใด เอาล่ะ-- หยางอดคิดอย่างนั้นในใจไม่ได้ ดารานำแสดงเรื่องนี้เป็นใครกันหรือ? หรือพูดให้ถูกก็คือ ผู้นำการก่อรัฐประหารจะเป็นใครหรือ? อีกไม่ช้าก็เร็วเขาจะต้องแสดงตัวออกมาแน่นอน แต่หยางก็ยังคาใจอยู่ดี ล่วงเข้ามาถึงวันที่ 13 เมษายน จึงได้มีการติดต่อด้วยช่องสัญญาณเหนือแสง (FTL) เข้ามาจากเมืองหลวงไฮเนสเซน เป็นคำสั่งจากพลเอกดอร์สันนั่นเอง ให้ผู้การหยางนำกองยานรบประจำป้อมอิเซลโลน ไปปราบปรามผู้ก่อความไม่สงบที่ดาวเคราะห์เนปติส, คัฟเฟอร์, ปาล์มเมอเรนด์และแชมพูดทั้งสี่ โดยด่วนที่สุด นี่คือคำสั่งดังกล่าว ให้ปราบผู้ก่อความไม่สงบทั้งสี่แห่งเลยหรือครับ? งานนี้ แม้แต่หยางก็อดแสดงความประหลาดใจไม่ได้ เดิมทีเขาเตรียมใจไว้แล้วว่า ไม่ช้าก็เร็วคำสั่งให้ออกปฏิบัติการปราบความไม่สงบจะต้องมาถึงแน่ หากแต่คงจะเป็นเพียงที่เดียว ส่วนอีกสามที่ที่เหลือ คงจะเป็นหน้าที่ของกองยานรบอวกาศที่ประจำอยู่ที่เมืองหลวงจะออกปฏิบัติการ นั่นหมายความว่า กระผมจะต้องทิ้งอิเซลโลนให้ว่าง ๆ ไว้เป็นเวลานานพอสมควรทีเดียว จะเป็นการดีเหรอครับ? เขาลองเลียบเคียงถามดู ปัจจุบัน จักรวรรดิอยู่ในสภาพสงครามกลางเมืองครั้งใหญ่ ความเสี่ยงที่พวกเขาจะยกทัพใหญ่มาโจมตีเราผ่านทางอิเซลโลนนับว่าต่ำมาก เพราะฉะนั้นผู้บัญชาการหยางไม่ต้องเป็นกังวลเกี่ยวกับชายแดนใด ๆ ทั้งสิ้น กรุณาปฏิบัติหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายในฐานะทหารให้ดีที่สุดด้วย อย่างนี้นี่เอง หยางได้แต่แอบพยักหน้าในใจ มีวิธีคิดแบบนี้ด้วยเหมือนกัน สาเหตุและผลลัพธ์ แอคชันกับรีแอคชัน ตอนนี้มันกลับกันเสียแล้ว ถึงแม้ว่าพวกเขา (ที่ไฮเนสเซน) จะไม่รู้เบื้องหลังอะไรเลยก็ตามเถอะ... จู่ ๆ หยางก็รู้สึกขำขึ้นมา ใคร ๆ ก็รู้กันดีว่า รักษาการผู้บัญชาการทหารสูงสุด พลเอกดอร์สันนั้นไม่ได้เก่งกาจด้านยุทธศาสตร์แต่อย่างไรเลย แต่ผลก็คือ การคิดแบบดอร์สันทำให้แผนการของไรน์ฮาร์ดที่วางไว้ อาจจะเบี่ยงเบนไปก็ได้ หากกำลังทหารส่วนใหญ่ยังคงอยู่ในเมืองหลวง (ไม่ถูกสั่งออกปราบการจราจลยังต่างดาว) พวกที่คิดจะก่อการยึดอำนาจก็คงจะทำได้ลำบากขึ้นก็ได้ เหตุการณ์อาจจะไม่เป็นไปตามแผนการณ์ของพวกเขา ทำให้พวกเขาไม่สามารถเคลื่อนไหวใด ๆ ได้ และไม่มีโอกาสลงมือยึดอำนาจเลยด้วยซ้ำ หากเป็นเช่นนั้นละก็ ถ้าเรื่องจบแค่นี้ก็ดีไป แต่หากพวกเขาคิดหาวิธีอื่นขึ้นมาอีก ก็คงต้องรับมือกันใหม่ แต่อย่างน้อยที่สุด พวกเขาก็ทำตามแผนการดั้งเดิมที่ว่า จะฉวยโอกาสที่เมืองหลวงมีทหารน้อย ทำการตามอำเภอใจนั้นคงจะไม่ได้แล้ว แต่อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดนี้ก็เป็นเพียงผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นเท่านั้น เจตนาของดอร์สันที่จริงแล้ว ก็คงเพียงแค่ต้องการจะแกล้งใช้งานหยางและบรรดาลูกน้องใต้สังกัดให้หนำใจนั่นเอง เรื่องนี้หยางก็พอจะอ่านออก แต่ที่เขาไม่เข้าใจก็คือ ทำไมต้องมาทำกันอย่างนี้ด้วยต่างหาก เขาได้ยินมาเหมือนกันว่า ดอร์สันเป็นคนที่เจ้าคิดเจ้าแค้น แต่หยางเองก็ไม่เคยแม้แต่จะพบหน้ากับดอร์สันเลยแม้แต่ครั้งเดียว จะไปมีเรื่องแค้นเคืองกับฝ่ายนั้นได้อย่างไร? ผู้ที่ไขข้อข้องใจให้หยางคือ จูเลียน เนื่องจากเด็กชายคนนี้ปากหนัก (ไม่ปากโป้ง) ไว้ใจได้ ดังนั้นบางครั้งหยางก็มักจะแกล้งพูดกึ่งเปรยกับตนเองให้เด็กชายได้ยิน เกี่ยวกับสิ่งที่ตนกำลังคิดและติดขัดอยู่ เพื่อขอความเห็นจากผู้เยาว์กว่า และคราวนี้ก็เช่นกัน ทันทีที่ได้ฟังเรื่องราวจากหยาง จูเลียนก็หัวเราะก๊าก บอกว่า ง่ายนิดเดียวครับ เรื่องอย่างนี้ คนที่ชื่อดอร์สันอะไรนั่น อายุเท่าไรล่ะครับ? น่าจะสี่สิบช่วงกลาง ๆ ส่วนผู้การก็ สามสิบใช่ไหมครับ เออ สามสิบเข้าจนได้ เฮ้อ นั่นแหละครับ นั่นล่ะ อายุต่างกันตั้งเยอะ แต่ยศเท่ากันคือ พลเอกใช่ไหมล่ะครับ ยกเว้นแต่คนดี ๆ อย่างคุณตาบิวค็อกแล้วละก็ ไม่ว่าใครก็ต้องอิจฉาริษยาคุณหยางทั้งนั้นแหละครับ หยางพยักหน้าโคลงใหญ่ อืมม์ นั่นสินะ ฉันลืมเรื่องนี้ไปสนิทเลย ความสามารถในการอ่านใจศัตรูในสนามรบนั้น ไม่มีใครจะเทียบหยางได้ก็จริง แต่คราวนี้ ข้อสังเกตของจูเลียนได้ชี้จุดอ่อนของหยางเข้าอย่างจัง เพียงแค่ปีกลายปีเดียว หยางกระโดดถึงสามขั้นจากยศพลจัตวาขึ้นมาเป็นพลเอก สำหรับเจ้าตัวแล้ว นับเป็นผลลัพธ์ที่ตนเองก็ไม่ยินดียินร้ายเท่าไรนัก แต่สำหรับคนประเภทที่ยึดมั่นถือมั่นกับเกียรติยศชื่อเสียงแล้วละก็ หยางนับเป็นคนที่พวกเขาจะต้องอิจฉาตาร้อนและริษยาเลยทีเดียว และยิ่งเป็นคนประเภทนี้แล้วยิ่งไม่เชื่อว่าคนอื่นจะมีความคิดที่ไม่เหมือนตนได้ พวกเขาจะไม่มีทางเชื่ออย่างเด็ดขาดว่า ความปรารถนาที่แท้จริงของหยางคือ การที่จะได้รีบ ๆ ลาออกจากราชการทหารเสีย แล้วใช้ชีวิตที่เหลืออย่างมีความสุขด้วยเงินบำนาญ เขียนหนังสือประวัติศาสตร์ให้ได้สักเล่มเท่านั้นเอง หากแกเป็นคนที่ได้รับการยกย่องว่า มิราเคิลหยางละก็ แน่จริงก็จัดการปราบความไม่สงบในทั้งสี่แห่งให้ได้ด้วยตัวคนเดียวสิ ถ้าทำสำเร็จก็แล้วไป แต่ถ้าผิดพลาดขึ้นมาละก็ น่าดู... ดอร์สันคงคิดอย่างนี้อยู่กระมัง ขณะที่หยางคิดเรื่อยเปื่อยไปว่า หากงานนี้ทำไม่สำเร็จสงสัยจะได้ออกจากราชการสมใจกระมัง จูเลียนก็โพล่งขึ้นว่า ถ้าเราจะไล่ตีไปทีละแห่งจนครบสี่แห่งละก็ จะต้องเสียเวลาและพลังงานไปมากเลยนะครับเนี่ย แหงล่ะสิ หยางพยักหน้าหนัก ๆ อีกครั้งหนึ่ง ประการแรก ถ้าทำอย่างนั้นมันก็จะขัดกับสโลแกนของฉันสินะ ที่ว่า อยากจะชนะแบบสบาย ๆ เท่าที่จะทำได้น่ะ ถ้าเป็นเธอละก็ จะจัดการกับพวกนี้ยังไงเหรอ? จูเลียนโน้มตัวมาข้างหน้า ในระยะหลัง เด็กชายเริ่มแสดงความสนใจในศาสตร์ของการทำศึกขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด ถ้าลองวิธีนี้ล่ะครับ ล่อให้ข้าศึกจากทั้งสี่แห่งมารวมกันอยู่ที่แห่งเดียว แล้วก็จัดการซะทีเดียวเลย หยางถอดหมวกเบเลต์ของตนออกมาสวมโปะไว้บนใบหน้า ไอเดียดี แต่มีจุดอ่อนอยู่ 2 จุด ประการแรกคือ จะทำอย่างไรให้ข้าศึกมารวมตัวกันเป็นที่เดียวล่ะ มีวิธีหรือ? อย่าลืมว่า ที่พวกเขาก่อความไม่สงบในเวลาเดียวกัน ณ ดาวที่อยู่คนละทิศละทางแบบนี้ ก็เพื่อจะล่อให้กำลังทหารของรัฐบาลต้องกระจายกำลังกันออกไปนั่นเอง เพราะฉะนั้น ฝ่ายตรงข้ามคงจะไม่ทิ้งข้อได้เปรียบของตนตรงนี้ง่าย ๆ หรอก พวกเขาย่อมรู้ดีว่า ถ้าพวกเขารวมกำลังเป็นที่เดียวเมื่อไร ฝ่ายเราก็รวมกำลังไปปราบเขาได้ง่ายขึ้นด้วยเท่านั้นเอง ชายหนุ่มสบัดหมวกเบเลต์ขึ้นไปวางแปะกลับบนศีรษะของตนอีกครั้ง และอีกประการหนึ่งก็คือ การที่จะให้ฝ่ายตรงข้ามมารวมกำลังเป็นจุดเดียวนั้น มันขัดกับหลักการพื้นฐานของการรบที่ว่า อย่าให้ข้าศึกรวมกันติด ให้รีบทำลายทีละส่วนอย่างเฉียบพลัน ว้า! ใช้ไม่ได้เหรอครับ จูเลียนมีสีหน้าผิดหวังอย่างชัดเจน สำหรับเด็กชายแล้ว นี่เป็นความคิดที่เขาใช้สมองอย่างเต็มที่แล้วนั่นเอง ไอเดียใช้ได้แล้วล่ะ เพียงแต่คงต้องคิดเรื่องการประยุกต์ใช้ให้มากกว่านี้สักหน่อยนะ อืมห์ อย่างเช่น... สมมติว่าเราข้ามเรื่องที่ว่า จะล่อให้ฝ่ายตรงข้ามมารวมกำลังกันอยู่ที่จุดเดียวไปก่อนนะ... เขานิ่งคิดไปเล็กน้อย ก่อนจะพูดต่อ อืมห์ ไอเดียที่ว่า จะล่อให้ข้าศึกออกจากฐานของตัวเองนี่ โอเคแล้ว แต่เราไม่จำเป็นต้องรอให้ข้าศึกมารวมกำลังกันเป็นกองเดียวนี่นา เราสามารถคาดคำนวณเส้นทางที่พวกเขาจะใช้เดินทัพได้ แล้วก็ไปดักโจมตีทำลายทีละกอง อย่างเช่นในกรณีนี้ สมมติว่ากำลังฝ่ายเรากับข้าศึกมีพอ ๆ กัน เราก็แบ่งกำลังเราเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งให้ยกไปโจมตีข้าศึกทัพ A กับทัพ B ส่วนอีกกองหนึ่งของเราก็ยกไปดักโจมตีข้าศึกทัพ C กับทัพ D โดยคำนวณเวลาให้เหลื่อมกัน ถ้าเป็นตามนี้ ในการรบแต่ละครั้งก็เท่ากับเรามีกำลังเหนือกว่าข้าศึกเป็นสองเท่าในการรบทั้งสี่ครั้ง โอกาสชนะก็ย่อมมากด้วย จูเลียนพยักหน้าอย่างกระตือรือร้น หรือจะลองวิธีอื่นก็ได้ เช่น ทัพของเราไม่แยกละ ให้รวมกำลังไปเป็นกองเดียวเลย ดักตีทัพ A กับทัพ B ของข้าศึกเสียก่อน จากนั้นก็ไปรออยู่ที่จุดนัดพบของพวกเขา แล้วก็สู้กับทัพ C กับ D ที่เหลือ ถ้าเป็นวิธีนี้ ในสนามรบสองสนามแรก เราจะรบกับข้าศึกด้วยกำลังที่มากกว่าเป็น 4 เท่า ส่วนสนามรบสุดท้ายเราก็มีกำลังมากกว่าเป็น 2 เท่า หากตอนท้ายนี่ เราใช้กลยุทธเข้าช่วยอีก เช่น วางกับดักให้ข้าศึกหลงเข้าใจว่ามิตรเป็นศัตรู ศัตรูเป็นมิตร หรือ ใช้วิธีแยกกองทัพเราเป็นสองกองเพื่อตีขนาบจากสองข้าง ก็ยิ่งมีโอกาสชนะแบบสบาย ๆ สูงขึ้นไปอีก เด็กชายได้แต่ชื่นชมในสิ่งที่อีกฝ่ายบอกอย่างออกนอกหน้า แต่ในใจแล้ว ก็อดรู้สึกไม่ได้ว่าตัวเองยังอ่อนหัดเหลือเกิน สติปัญญาของหยางนั้นช่างดูไม่มีที่สิ้นสุดประดุจบ่อน้ำพุที่มีน้ำพุ่งออกมาไม่ขาดสายเลยทีเดียว แต่พอหันมาดูตัวเองแล้ว จูเลียนไม่อาจจะแน่ใจได้เลยว่า ตนเองในตอนนี้สามารถเทียบกับหยางเมื่อตอนเขาอายุสิบห้าปีเท่ากันได้หรือไม่ ทั้งที่ เด็กชายอยากจะรีบเก่งและรีบช่วยเหลือแบ่งเบาภาระของชายผู้นี้เหลือเกิน จูเลียนไม่เคยคิดเลยที่จะอยู่แบบสบาย ๆ ในฐานะเด็กในความดูแลของหยาง เด็กชายอยากจะเป็นบุคคลสำคัญที่หยางจะขาดไม่ได้ในด้านหน้าที่การงานต่างหาก ต่อให้เขาคงไม่สามารถจะเป็นคู่หูที่สามารถแลกเปลี่ยนความคิดกันอย่างเท่าเทียมกันได้กับอีกฝ่ายก็เถอะ แต่... ก็อย่างว่านะ ครั้งนี้นี่ ไม่อยากจะใช้เลยไม่ว่าจะเป็นกลยุทธไหนก็ตาม เพราะถึงยังไงเราก็เป็นคนของสมาพันธ์เหมือนกัน สู้ชนะไป ก็มีแต่ความเสียหายทั้งนั้น ไม่มีอะไรดีขึ้นมาเลย นั่นนะสิครับ เพราะฉะนั้น ฉันจะลองคิดวิธีที่จะไม่ต้องสู้ แต่สามารถเกลี้ยกล่อมให้ฝ่ายนั้นยอมจำนนได้ละกัน ถ้าทำได้ละก็... วิธีนี้สบายที่สุด ฮะ ๆ พวกทหารอาจจะสบายก็ได้ แต่แม่ทัพนี่ลำบากน่าดูเลยนะครับ โอ้ ดูท่าจะเข้าใจเรื่องนี้ขึ้นมาบ้างแล้วนี่เราน่ะ หยางยิ้มกว้าง แต่แล้ว ก็ต้องหุบยิ้มลงอย่างรวดเร็ว กล่าวต่อว่า แต่น่าเสียดายที่ คนส่วนใหญ่ในโลกนี้ เกินครึ่งยังคิดว่า แม่ทัพที่ทำให้ทหารตายมาก ๆ จึงเป็นแม่ทัพที่ลำบากนะสิ ใช่แล้ว เสียงนินทาที่ว่า หยางเหวินหลี่ได้ยศตำแหน่งมาอย่างง่ายดายเกินไปนั้น เข้ามาถึงหูหยางด้วยเช่นกัน และที่มาของเสียงพวกนั้นก็ไม่ใช่แหล่งเดียวเสียด้วย ไม่แน่ ดอร์สันก็อาจจะเป็นคนหนึ่งที่ช่วยกระพือคำนินทาพวกนี้ด้วยก็ได้ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม หากหยางใส่ใจกับเสียงนินทาที่มักง่ายพวกนี้เสียหน่อย เขาก็คงอ่านออกตั้งแต่แรกแล้ว ถึงเจตนาที่แท้จริงของดอร์สันในการสั่งงานเขาครั้งนี้... |