นวนิยายแฟนตาซีอวกาศเรื่องยาว

วีรบุรุษทางช้างเผือก เล่ม ๒ : ความทะเยอทะยาน
銀河英雄伝説 第二巻:野望篇

เรื่อง โดย ทะนะกะ โยะชิกิ (田中芳樹) แปลโดย Pae

บทที่ 3 กองยานรบหยางออกปฏิบัติการ
-4-


ณ เฟซานลันท์ (แดนปกครองตนเองเฟซาน)

รัฐของเหล่าพ่อค้าวาณิชย์ตั้งอยู่ ณ ช่องแคบ (อุโมงค์อวกาศ) เฟซานอันมีพิกัดอยู่ระหว่างกลางของจักรวรรดิทางช้างเผือกและสมาพันธ์ดาวเคราะห์เสรี รวมประชากรของดาวเคราะห์ทั้งจริงและเทียมที่มนุษย์ก่อสร้างขึ้นแล้วนับได้ 2 พันล้านคน ความมั่งคั่งของประเทศนี้ยิ่งใหญ่ขนาดที่ทั้งจักรวรรดิและสมาพันธ์ก็ไม่อาจจะปฏิเสธความสำคัญของมันไปได้

บัดนี้ ระบบประมวลข่าวกรองของเฟซานกำลังทำงานอย่างเต็มที่ ข่าวกรองที่ได้ถูกบรรดาเจ้าหน้าที่ส่งผ่านต่อไปยังประมุขของดินแดนปกครองตนเอง- ลูวินสกี้ ด้วยเหตุนี้เอง บุรุษเจ้าของฉายา “จิ้งจอกดำแห่งเฟซาน” จึงสามารถรับทราบความเป็นไปในเหตุการณ์ก่อรัฐประหารได้ โดยไม่ต้องออกจากแดนของตนแม้แต่ก้าวเดียว





วันนั้น วันที่ 13 เมษายน

ผู้บัญชาการกองยานรบอวกาศ พลเอกบิวค็อกซึ่งอยู่ที่ออฟฟิศของตน ได้รับการติดต่อจากเจ้ากรมกิจการภายในแห่งกระทรวงกลาโหม พลเอกกรีนฮิลล์ว่า

“ในวันนี้ จะมีการฝึกซ้อมทหารประจำปีของกองกำลังทหารนาวิกโยธิน นี่เป็นการฝึกตามกำหนดการที่ได้ตั้งไว้ตั้งแต่ต้นปีแล้ว เพราะฉะนั้น ขอให้ทหารหน่วยอื่นไม่ต้องสนใจกิจกรรมนี้และกรุณาปฏิบัติหน้าที่ของตนเองไปตามปกติ นอกจากนี้แล้ว ในสถานการณ์ที่เกิดเหตุไม่สงบตามดวงดาวชายแดนขึ้นเช่นปัจจุบัน การซ้อมรบนี้ย่อมทวีความสำคัญขึ้นอีกในอีกความหมายหนึ่งด้วย...”

การแจ้งประกาศนี้ ได้ถูกส่งไปยังบรรดานายทหารชั้นผู้ใหญ่ในกองทัพเกือบทุกนาย และยังมีการออกประกาศกระจายเสียงให้ประชาชนทั่วไปได้รับทราบอีกด้วย

ด้วยเหตุนี้เอง เมื่อผู้คนพบเห็นกองกำลังทหารติดอาวุธ กำลังเคลื่อนขบวนกันเป็นหมู่คณะใหญ่ ๆ ตามท้องถนนอย่างคึกคัก จึงมีคนสงสัยหรือรู้สึกผิดสังเกตน้อยมาก และต่อให้ผู้ที่รู้สึกไม่ชอบมาพากลแจ้งไปยังนายทหารพระธรรมนูญก็ตาม คำตอบที่ได้รับก็คือ “อ๋อ เป็นการซ้อมรบประจำปีครับ” แล้วก็จบ

กล่าวคือ การติดต่อประสานงานล่วงหน้าที่กระทำในนามของเจ้ากรมกิจการภายใน อันเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงของกองทัพนั้น ทำให้ผู้คนพากันเชื่อถืออย่างสนิทใจ ยิ่งเป็นผู้ที่ทำงานในวงการเดียวกันด้วยแล้ว ยิ่งเชื่อใจมากขึ้น

บิวค็อกเองก็เช่นกัน ผู้การแห่งกองยานรบอวกาศผู้นี้ กำลังอยู่ในสภาพที่ยุ่งสุดขีด อันเนื่องจากต้องเตรียมกองยานรบอวกาศของตนให้พร้อมรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉินในยามที่เกิดเหตุก่อความไม่สงบอย่างต่อเนื่องขึ้นในดาวไกลโพ้นต่าง ๆ เช่นนี้ เขาจึงไม่มีเวลาจะมาคิดมากในสิ่งที่ตนได้รับแจ้ง อีกทั้ง เขายังคิดอุ่นใจว่า ตราบใดที่กำลังหลักของกองยานรบอวกาศยังคงอยู่กับเมืองหลวงเช่นนี้ ไม่น่าจะเกิดรัฐประหารขึ้นได้นั่นเอง

แต่... ความจริงเป็นเช่นไรเล่า? ตอนเที่ยงวันนั้นเอง ผู้การเฒ่าก็ถูกจี้ด้วยปืน และถูกพาตัวไปพบกับบรรดาแกนนำของคณะรัฐประหาร

เจ้ากรมกิจการภายใน พลเอกกรีนฮิลล์ เจ้ากรมข่าวกรอง พลโทบรอนซ์- เพียงแค่สองคนนี้ ก็ทำให้ผู้การเฒ่าต้องประหลาดใจอย่างสูงสุด เขานึกไม่ถึงเลยจริง ๆ ว่า นายทหารระดับสูงถึงเพียงนี้จะ “เอากับเขาด้วย”

“อย่างนี้นี่เอง ฮึ ทั้งกรมกิจการภายใน และกรมข่าวกรอง ในที่สุดก็ถึงยุคเสื่อมจนได้สินี่”

บิวค็อกแค่นเสียงฮึดฮัดในจมูก ภารกิจของกรมกิจการภายในก็คือ กิจการของทหารทุกอย่างภายในประเทศที่ไม่เกี่ยวกับการทำสงคราม ได้แก่ การฝึกซ้อมรบ, การกู้ภัย, การขนส่งกำลังทหาร ดังนั้น การที่เจ้ากรมกิจการภายในซึ่งมีหน้าที่จัดการกำลังพล กลายมาเป็นผู้ก่อรัฐประหารเสียเองก็ย่อมที่จะวางแผนเคลื่อนย้ายกำลังทหารเพื่อการนี้ได้โดยง่าย

จังหวะนั้นเอง จมูกของเขาก็ได้กลิ่นอัลกอฮอล์โชยมาจากภายในกลุ่มบุรุษที่ห้อมล้อมตนเองอยู่

“โอะโอะ หน้าคุ้น ๆ นะ แกนะ”

ผู้บัญชาการกองยานรบอวกาศเจ้าของผมขาวโพลนทั้งศีรษะ ส่งสายตาอันขึ้งเคียดไปยังที่มาของกลิ่นเหล้านั้นทันที

“พลตรีรินซ์ ที่ถูกจับเป็นเชลยไปเมื่อหลายปีก่อน ในศึกที่หมู่ดาวเอล ฟาซิลนี่”

เสียงหัวเราะแหบ ๆ ดังตอบคำพูดนี้ว่า

“ขอบคุณครับผม ที่ยังกรุณาจำได้”

“ไม่อยากจะจำหรอก แต่ก็อดไม่ได้ แกนะมันไอ้คนขี้ขลาดที่ทิ้งหน้าที่ในการปกป้องพลเรือน แล้วยังทิ้งลูกน้องของตน เพียงเพื่อหวังจะเอาตัวรอดเพียงคนเดียวอย่างนี้ ใคร ๆ ก็รู้จักดี ดังระเบิดตายล่ะ”

รินซ์ไม่มีทีท่ายินดียินร้ายกับคำบริภาษเสียดสีนั้นแม้แต่น้อย เขายิ้มอย่างเหยียดหยันแล้วก็ล้วงเอาขวดวิสกี้ขวดเล็กออกมา เปิดฝาแล้วยกดื่มสองสามอึก ประดุจจะเย้ยอีกฝ่ายกระนั้น นายทหารที่มีสีหน้าเคร่งเครียดหลายนายที่อยู่รอบข้าง พากันขมวดคิ้วไปตาม ๆ กัน นี่ย่อมแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า รินซ์เองไม่ได้เป็นที่ชอบพอของบรรดาผู้ก่อการครั้งนี้แต่อย่างไร และนั่นยิ่งทำให้ผู้การเฒ่าไม่เข้าใจว่า ทำไมพวกคณะรัฐประหารจึงให้รินซ์เข้าร่วมอยู่ในขบวนการด้วย อย่างไรก็ตาม เขาหันหน้าไปทางกรีนฮิลล์อีกครั้งหนึ่ง

“ผมเคยคิดว่า คุณน่ะ มีความรู้สึกผิดชอบชั่วดีและความยั้งคิดมากที่สุดในบรรดานายทหารทั้งกองทัพแล้วนา”

“ขอบคุณครับผม”

“แต่ก็รู้สึกว่า ผมมองคุณผิดไปเสียแล้ว การที่คุณมาร่วมขบวนการทำสิ่งไร้สาระเช่นนี้ แสดงให้เห็นว่า ทั้งจิตสำนึกและความรู้สึกชั่วดีของคุณมันคงกำลังหลับใหลอยู่กระมัง”

“นี่เป็นสิ่งที่ผมคิดแล้วคิดอีกว่าดีที่สุดแล้วถึงได้กระทำลงไปครับ ผู้การลองคิดดูว่า ตอนนี้ การเมืองของบ้านเรามันเน่าเฟะแค่ไหน และประเทศของเราก็กำลังอ่อนแอถึงเพียงไหนแล้ว? ภายใต้ฉากหน้าอันสวยหรูว่าประชาธิปไตย แต่กลับเต็มไปด้วยนักการเมืองที่อาศัยอำนาจกอบโกยผลประโยชน์จากประชาชน และก็ไม่มีทีท่าว่ากลไกในการกำจัดไอ้พวกนักการเมืองเลว ๆ พวกนี้ออกจากระบบจะทำงานได้ผลเลยแม้แต่น้อย แล้วคุณจะให้พวกเราทำอย่างไร ในการที่จะกำจัดสิ่งสกปรกเหล่านี้ออกไปจากบ้านเราละครับ?”

“อ้อ คุณกำลังจะบอกว่า เพราะระบบของบ้านเราตอนนี้มันเน่าเฟะแล้ว ถึงต้องใช้กำลังเข้าจัดการเปลี่ยนแปลงมันให้ดีขึ้นอย่างนั้นหรือครับ ถ้าอย่างนั้น ผมถามสักคำ ถ้าหากพวกคุณซึ่งมีกำลังอาวุธในมือ เกิดเน่าขึ้นมาเองบ้างล่ะ ใครนี้จะให้ใครจะเป็นคนทำความสะอาดบ้านเราล่ะ?”

น้ำเสียงของบิวค็อกแฝงด้วยความกดดัน จนอีกฝ่ายมีท่าทีอึกอักอย่างเห็นได้ชัด

“พวกเราจะไม่มีทางเป็นอย่างนั้นเด็ดขาด!”

มีเสียงอีกเสียงหนึ่งตอบขึ้นแทน

“พวกเรามีอุดมการณ์ และพวกเราก็มีความสำนึกชั่วดีด้วย พวกนักการเมืองนั้นอาศัยช่องว่างในระบอบประชาธิปไตยในการหาประโยชน์เข้ากระเป๋าตัวเอง หลอกลวงประชาชนให้เลือกตัวเอง และก็หาผลประโยชน์โดยการรับสินบนจากพวกพ่อค้า สุดท้าย ก็เอาแต่ป่าวประกาศปาว ๆ ว่าจะล้มล้างจักรวรรดิไปวัน ๆ อย่างไร้แก่นสาร แต่ พวกเราจะไม่มีทางทำแบบพวกนักการเมืองอย่างเด็ดขาด ที่พวกเราทำเช่นนี้ก็เพราะความมุ่งมั่นสูงสุดในการที่จะกอบกู้วิกฤติของบ้านเมืองเป็นแรงผลักดันให้พวกเราทำเช่นนี้ ที่ท่านบอกว่าพวกเราจะเสียอุดมการณ์เสียเองนั้น เป็นไปไม่ได้ เพราะนั่นเป็นสิ่งที่จะเกิดกับคนที่เข้ามาหาอำนาจการเมืองด้วยเหตุผลส่วนตัวเท่านั้น แต่เราไม่ได้เป็นเช่นนั้น”

“จริงหรือครับ? สำหรับผมแล้ว ผมไม่สามารถมองการกระทำของพวกคุณเป็นอื่นได้เลย นอกจากการอ้างความมุ่งมั่นที่จะกอบกู้วิกฤติของชาติ มาบิดเบือนความจริงและสร้างความชอบธรรมให้พวกคุณเอง ในการที่พวกคุณใช้กำลังอาวุธเข้ายึดอำนาจเช่นนี้”

คำพูดอันแสบร้อนของผู้การเฒ่า กลายเป็นใบมีดโกนที่บาดลึกเข้าไปในจิตใจอันมุ่งมั่นของพวกเขาอย่างแรง หลายเสียงโต้ตอบกลับมาอย่างกระด้างทันที

“ผู้การบิวค็อก พวกเราพยายามที่สุดในการที่จะปฏิบัติต่อคุณอย่างสุภาพแล้วนะครับ ถ้าคุณยังไม่เลิกพูดพล่อย ๆ อีกละก็ พวกเราก็คงจะต้องทำอะไรสักอย่างกับคุณบ้างเหมือนกัน...”

“ปฏิบัติอย่างสุภาพหรือ?”

เสียงหัวเราะประชดประชันดังก้องไปทั้งห้อง

“นับตั้งแต่มีมนุษย์กำเนิดขึ้นบนผิวโลก ตราบจนถึงทุกวันนี้ ผมไม่เคยเห็นใครที่ไหนเรียกผู้ที่ใช้กำลังอาวุธในการแหกกฎเกณฑ์ของสังคมว่าเป็นสุภาพชนแม้แต่คนเดียวเลย ถ้าคุณอยากให้มีคนเรียกคุณอย่างนั้นละก็... ไหน ๆ ก็มีอำนาจอยู่ในมือแล้วนี่ พวกคุณรีบจัดทำพจนานุกรมเล่มใหม่ขึ้นมาเองเถอะ”

บรรยากาศทวีความตึงเครียดรุนแรงขึ้นอย่างฉับพลัน ประดุจมีไฟพวยพุ่งออกจากสายตาของบรรดานายทหารเหล่านั้นเข้าเผาผลาญร่างของผู้การบิวค็อกให้มอดไหม้เป็นจุลไป กรีนฮิลล์ต้องใช้สายตาปรามบรรดาเพื่อนร่วมขบวนการ

“รู้สึกว่า ต่อให้เจรจากันเท่าไร เราก็คงหาจุดร่วมกันไม่ได้นะครับ ดูท่าพวกเราคงได้แต่รอคำตอบจากประวัติศาสตร์เสียแล้วกระมัง”

“ประวัติศาสตร์อาจจะไม่ตอบอะไรคุณก็ได้ พลเอกกรีนฮิลล์”

หัวหน้ากองกำลังกอบกู้วิกฤติแห่งชาติได้แต่หันสายตาหลบเลี่ยงไปจากคำพูดนั้น

“พาท่านไปพักที่ห้องอื่นได้ ห้ามเสียมารยาทต่อท่านนะพวกเรา”





ในเวลาเดียวกันนั้นเอง สถานที่สำคัญต่าง ๆ ภายในเมืองหลวงไฮเนสเซนล้วนถูกยึดครองโดยกองกำลังของพวกรัฐประหารเป็นที่เรียบร้อยแล้วเช่นกัน

กองบัญชาการทหารสูงสุด, กรมวิทยาศาสตร์การทหาร, กองบัญชาการต่อต้านอากาศยาน ฯลฯ สถานที่สำคัญต่าง ๆ ทางทหารนั้นไม่ต้องพูดถึง รวมทั้งอาคารที่ประชุมคณะกรรมาธิการสูงสุด (อันเปรียบได้กับทำเนียบรัฐบาลของสมาพันธ์), ศูนย์ติดต่อสื่อสารระหว่างหมู่ดาวฤกษ์ต่างก็ตกอยู่ใต้การควบคุมของกองกำลังฝ่ายรัฐประหาร โดยไม่มีการนองเลือดเกิดขึ้นเลย รักษาการผู้บัญชาการทหารสูงสุด พลเอกดอร์สันก็เช่นกัน ถูกจับกุมตัวไว้เรียบร้อย

แต่เป้าหมายสำคัญที่สุดของพวกคณะรัฐประหาร อันได้แก่ ประธานคณะกรรมาธิการสูงสุด ฯพณฯ ทริวนิชท์นั้นกลับหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยจากคฤหาสน์ของเขา เป็นที่คาดการณ์ว่า เขาไหวตัวทันและใช้เส้นทางลับฉุกเฉินใต้ดินหนีออกไปก่อนแล้วนั่นเอง...

(อ่านตอนต่อไป)


กลับไปอ่านตอนที่แล้ว +++ กลับไปหน้าสารบัญ +++ ไปอ่านตอนต่อไป 1