นวนิยายแฟนตาซีอวกาศเรื่องยาว

วีรบุรุษทางช้างเผือก เล่ม ๒ : ความทะเยอทะยาน
銀河英雄伝説 第二巻:野望篇

เรื่อง โดย ทะนะกะ โยะชิกิ (田中芳樹) แปลโดย Pae

บทที่ 3 กองยานรบหยางออกปฏิบัติการ
-5-


หยางเคยคิดว่า เขาตระหนักดีถึงความใจร้ายของโชคชะตาที่ประดุจดังแม่มดเฒ่าที่ชอบกลั่นแกล้งผู้คน

แต่คราวนี้ หยางต้องตระหนักอย่างสุดซึ้งอีกครั้งหนึ่งว่า เขาแค่ “เคยคิดว่า” เขาตระหนักในเรื่องดังกล่าว

ไม่นึกเลยว่า โชคชะตาจะเล่นตลกโหดร้ายรุนแรงได้ปานนี้ หากโชคชะตามีตัวตนละก็ เขาก็อยากจะต่อว่ามันให้จั๋งหนับสักยกใหญ่ ๆ ให้หายคับแค้นใจ แต่แน่นอน นั่นคงเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ โชคชะตาก็เป็นเพียงแค่ ความบังเอิญของการซ้อนทับกันของเจตนาของผู้คนจำนวนมหาศาลนั่นเอง หาใช่เป็นพระเจ้าเหนือธรรมชาติที่เที่ยวกำหนดโชคชะตาใคร ๆ ไม่

ดูเอาเถิด ในคราวนี้ เพื่อที่จะต้องปกป้องอำนาจการเมืองของนายทริวนิชท์ผู้นั้น เขาจะต้องเป็นศัตรูกับบิดาของนายทหารผู้ช่วยของเขา- เฟรดเดอริก้า กรีนฮิลล์!!!

หยางจำไม่ได้เลยแม้แต่น้อยว่า ตนเองเอาแต่เดินวนเป็นวงกลมอยู่ในห้องส่วนตัวมากี่สิบรอบแล้ว รู้สึกตัวอีกที ก็ตอนที่รับรู้ได้ถึงสายตาของเด็กชายจูเลียน มินท์ ที่ยืนอยู่ริมผนังห้องพลางส่งสายตามาทางนี้แน่วนิ่ง หยางรู้สึกได้ถึงแววห่วงใยในดวงตาสีน้ำตาลเข้มคู่นั้นทันที ดูเหมือนเด็กชายคงกำลังจะเจ็บใจตัวเองที่ไม่สามารถช่วยอะไรหยางได้เลย ใช่ การตัดสินใจและความรับผิดชอบที่จะตามมา ล้วนเป็นของหยางแต่เพียงผู้เดียว อย่างที่ไม่สามารถจะมีมนุษย์หน้าไหนบนพิภพนี้จะสามารถมาช่วยแบ่งเบาภาระนั้นไปได้เลย

หยางถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง ก่อนจะปั้นรอยยิ้มขึ้นมาเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“จูเลียน ขอบรั่นดีแก้วนึงสิ แล้วก็... ช่วยเชิญนายทหารประจำกองบัญชาการมารวมกันที่ห้องประชุมในอีก 15 นาทีให้หลังด้วยได้ไหมเอ่ย?”

“ได้ครับผม จะจัดการให้เดี๋ยวนี้ครับ”

“แล้วก็... ช่วยเรียกร้อยเอกกรีนฮิลล์มาพบด่วนด้วย”

เด็กชายวิ่งปรื๋อออกไปทันที

หากมนุษยชาติสามารถที่จะหลีกเลี่ยงการตัดสินใจ ในยามที่เขาไม่อยากตัดสินใจได้ละก็... คงเป็นชีวิตที่ถูกห้อมล้อมด้วยแสงสีกุหลาบสวยสะพรั่งเลยทีเดียว แต่การที่มันไม่สามารถเป็นเช่นนั้นได้ไม่ใช่หรือ ที่คนโบราณเขาเรียกว่า รสชาติของชีวิต แต่อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนคราวนี้ เจ้ารสชาติของชีวิตนี่ ดูมันจะมีเครื่องปรุงรสจัดมากไปหน่อยกระมัง

อีก 2 นาทีถัดมา เฟรดเดอริก้า กรีนฮิลล์ก็มาปรากฏตัวขึ้นต่อหน้า ท่าทางของเจ้าหล่อนจะสงบจิตสงบใจได้แล้ว แต่สีหน้ายังคงซีดเซียวอย่างไม่สามารถกลบเกลื่อนได้

หากเป็นเรื่องของตัวหยางเองแล้ว เขายังพอจะทำใจได้บ้าง เนื่องด้วยชินชากับการเล่นตลกของโชคชะตาเสียแล้ว เริ่มจากที่ต้องสูญเสียบิดาบังเกิดเกล้าไปเมื่อเขาอายุได้ 16 ปี จากนั้นก็สอบเข้าไปเรียนในภาควิชาประวัติศาสตร์สงคราม เพียงด้วยเหตุผล เพื่อที่จะเรียนวิชาประวัติศาสตร์ฟรี ๆ เท่านั้น ไม่เคยมีความอยากเป็นทหารอยู่เลยในความคิดของเขาแม้แต่น้อย แต่แล้วเป็นไงเล่า เรียกว่า เพราะการเลือกทางชีวิตที่เขาถูกมัดมือชกในตอนนั้นแท้ ๆ ทำให้เขาต้องตามชดใช้หนี้อยู่จนถึงทุกวันนี้

แต่สำหรับกรณีของเฟดเดอริด้าล่ะ เรียกได้ว่าเป็นตัวอย่างอันชัดเจนการชอบเล่นตลกของพระเจ้าแท้ ๆ หล่อนต้องตกอยู่ในสถานะเป็นฝ่ายตรงข้ามกับบิดาบังเกิดเกล้าของตน นี่ช่างเป็นชะตากรรมที่โหดร้ายเกินไปสำหรับหญิงสาวอายุเพียง 23 ปีเช่นหล่อน

“ร้อยเอกกรีนฮิลล์ รายงานตัวค่ะ”

“... อืม ท่าทางสบายดีนี่”

หยางพูดอะไรพล่อย ๆ ออกไป เล่นเอาเฟรดเดอริก้าถึงกับอึ้งไม่รู้จะตอบอย่างไร

“มีธุระอะไรหรือคะ?”

“... ครับ เดี๋ยวผมจะต้องเรียกประชุมกองบัญชาการอีกแล้ว คุณช่วยเตรียมการประชุมและก็ช่วยโอเปอเรตพวกเครื่องไฟฟ้า (ที่ผมใช้ไม่เป็น) หน่อยนะครับ”

เฟรดเดอริก้าถึงกับมีสีหน้าประหลาดใจ

“ดิฉัน... เอ่อ ผู้น้อยคิดว่า ผู้น้อยถูกปลดออกจากตำแหน่งแล้วเสียอีกค่ะ ที่มานี่ก็ได้ทำใจมาไว้เช่นนั้นแล้วด้วย...”

“อยากถูกปลดมากนักหรือ?”

น้ำเสียงของหยางในตอนนั้น จะว่าไปออกจะเย็นชาไปสักหน่อย

“ไม่ค่ะ แต่...”

“ถ้าไม่มีคุณอยู่ด้วย ผมก็แย่สิครับ ผมน่ะ ขี้หลงขี้ลืมก็ชั้นหนึ่ง ใช้เครื่องไม้เครื่องมือไฮเทคก็ไม่เป็นอีก ผมขาดผู้ช่วยเก่ง ๆ ไม่ได้หรอกครับ ”

“... ค่ะ ดิฉันยินดีรับใช้ท่านค่ะ!”

แวบหนึ่งที่หยางสามารถสังเกตเห็นถึงสีหน้ากึ่งหัวเราะกึ่งร้องไห้ภายใต้สีหน้าเป็นงานเป็นการของหล่อน แต่ก็เพียงแวบเดียวเท่านั้น

“ขอบคุณ เอาล่ะ คุณล่วงหน้าไปที่ห้องประชุมก่อนนะครับ เดี๋ยวผมตามไป”

ที่จริง จะพูดหรือทำอะไรเพื่อหล่อนให้มากกว่านี้ก็ย่อมได้ แต่สำหรับหยางแล้ว นี่เป็นขอบเขตสูงสุดเท่าที่เขาจะรวบรวมความกล้าได้แล้ว

ทันทีที่เขาก้าวออกไปสู่ทางเดินหน้าห้อง ก็พบว่าเชนค็อปมาดักรออยู่ก่อนแล้ว ชายหนุ่มอดีตชาวจักรวรรดิยกมือทำวันยาหัตถ์ให้เขา พลางส่งรอยยิ้มกว้างมาให้

“รู้สึกว่า ท่านจะไม่ได้ปลดมิสกรีนฮิลล์ออกนะครับผม”

“แหงล่ะ ตราบใดที่ผมยังหาผู้ช่วยเก่ง ๆ เหมือนหล่อนไม่ได้อะนะ”

“ปากแข็งจริงนะท่าน หุหุหุ”

ลูกน้องแกล้งพูดถ้อยคำที่ถือได้ว่าละลาบละล้วง

“หมายความว่าไง?”

“ก็ อ้า... มีหลาย ๆ ความหมายน่ะครับ คือกระผมแค่คิดว่า หล่อนคิดยังไงกับท่านเท่านั้นเอง... ในฐานะผู้ใต้บังคับบัญชานะครับผม”

“ว่าแต่คุณเถอะ คิดยังไงกับผมล่ะ?”

หยางรีบเบนหัวเรื่องสนทนาไปน้ำขุ่น ๆ

“กระผมหรือครับ? อืมมมม นั่นนะสิครับ จะว่าไป กระผมก็ไม่ค่อยเข้าใจท่านเลยครับเนี่ย ท่านช่างเต็มไปด้วยความขัดแย้งกันในตัวเองอย่างนี้”

เชนค็อปตอบ แล้วก็มองทีท่าประหลาดใจของเจ้านายอย่างสบอารมณ์

“ที่ผมพูดนี่หมายความว่าอย่างนี้ครับ อันดับแรก ผมเชื่อว่าคงไม่มีมนุษย์คนไหนที่รู้ซึ้งถึงความงี่เง่าและความไร้สาระของการทำสงครามได้ดีกว่าท่านอีกแล้ว แต่ในเวลาเดียวกัน ท่านก็เป็นอัจฉริยะในทางทำสงครามด้วย จริงไหมครับผม?”

“อย่าเพิ่งเอามาร์ควิสไรน์ฮาร์ด ฟอน โรเอนกรัมไปเก็บไว้ที่ไหนสิคุณ”

“นั่นสิครับ จับสองคนนี้มาสู้กันสักตั้งท่าทางจะสนุกนะครับผม”

อดีตชาวจักรวรรดิพูดเรื่องสมมตินั้นได้หน้าตาเฉยตามสไตล์ของตน

“กระผมเชื่อว่า หากให้นำทัพมาสู้กันภายใต้เงื่อนไขที่เท่าเทียมกันทั้งสองฝ่ายแล้ว ท่านน่าจะเป็นฝ่ายชนะนะครับผม”

“หึ เงื่อนไขที่ว่านั่นจะไม่มีทางเป็นจริงเลยนะ เสียเวลาคิดเปล่า ๆ”

“ครับ กระผมทราบดี”

อันว่า ยุทธวิธี นั้นคือ ศาสตร์และกลยุทธในการเคลื่อนทัพและดำเนินการรบภายในสนามรบ เพื่อนำมาซึ่งชัยชนะ ส่วนคำว่า ยุทธศาสตร์ นั้น คือศาสตร์และเทคนิคในการเตรียมความพร้อมเพื่อที่จะทำให้สามารถใช้ยุทธวิธีได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ดังนั้น สิ่งที่เชนค็อปสมมติ จึงเป็นการมองข้ามความสำคัญของยุทธศาสตร์ไป เน้นแต่เรื่องของยุทธวิธีเท่านั้น อันเป็นการสมมติที่ไร้ความหมาย

“ถ้างั้น ลองดูประเด็นถัดไปไหมครับผม? คนเช่นท่านก็คงตระหนักดีแก่ใจนะครับ ว่าในปัจจุบัน ระบบการปกครองของสมาพันธ์ดาวเคราะห์เสรีนั้น มันกำลังเสื่อมทรามเพียงใด ไม่ว่าจะแง่ของประสิทธิภาพและความถูกต้องตามทำนองคลองธรรมก็ตาม แต่ทั้งที่รู้แก่ใจว่ามันแย่ ท่านก็กำลังจะทุ่มเทความพยายามเข้าไปช่วยเหลือมัน (ให้พ้นจากมือของกองกำลังกอบกู้วิกฤติแห่งชาติ) อีก นี่ไม่เรียกว่าเป็นการกระทำที่ขัดแย้งกับสิ่งที่ควรเป็นอย่างเห็นได้ชัดหรอกหรือครับผม?”

“ผมเป็นคนที่ชอบเลือกเดอะเบตเตอร์มากกว่าเลือกเดอะเบสต์น่ะครับ จริงอยู่ ผมรู้ดีว่าการปกครองของบ้านเราตอนนี้มันเข้าขั้นระยำแล้ว แต่ว่านะ คุณเองก็เห็นแล้วไม่ใช่เหรอ ว่าแนวนโยบายของกองกำลังกอบกู้วิกฤติแห่งชาตินั่นเป็นยังไง มิแย่กว่าพวกที่มันกินเมืองอยู่ตอนนี้หรอกรึ?”

“พูดก็พูดเถอะนะครับผม...”

แววตาของเชนค็อปฉายประกายประหลาดแวบหนึ่ง

“เราน่าจะปล่อยให้ไอ้พวกตัวตลกที่ใช้ชื่อว่ากองกำลังกอบกู้วิกฤติอะไรเนี่ย จัดการกวาดล้างพวกนักการเมืองสกปรกที่มีอยู่ตอนนี้ให้หมดสิ้นไป... อย่างถอนรากถอนโคนเลยนะครับผม แล้วจากนั้น เชื่อเถอะครับว่า พวกเขาก็หนีไม่พ้นจะเข้าทำนองเดียวกันกับนักการเมืองที่พวกตนเพิ่งจะกวาดล้างไปเข้าจนได้ พอพวกนี้แสดงธาตุแท้ออกมา ท่านก็เข้าไปกวาดล้างไอ้พวกนี้อีกที แล้วยึดอำนาจการปกครองมาเป็นของท่านเสีย ในนามของผู้กอบกู้ประชาธิปไตยกลับคืนสู่แดนสมาพันธ์อย่างแท้จริง นี่สิครับ ถึงจะเรียกว่า เดอะเบตเตอร์ที่ท่านว่า”

คราวนี้ ผู้บัญชาการหนุ่มแห่งป้อมอิเซลโลนถึงกับอึ้งพูดอะไรไม่ออก ได้แต่จ้องหน้าลูกน้องอยู่เช่นนั้น สีหน้าของเชนค็อปไม่มีแววขี้เล่นหรือรอยยิ้มเหลืออยู่อีกแล้ว

“เป็นไงครับ ไม่เลวใช่ไหมครับ การปกป้องลัทธิประชาธิปไตย โดยยอมเป็นผู้เผด็จการเสียเองเป็นการชั่วคราว... ถ้าท่านไม่ ยึดติดกับรูปแบบนะครับผม”

“หึ ท่านผู้นำหยางเหวินหลี่หรือ... คิดยังไงก็ไม่เข้าท่านะผมว่า”

“ก็แล้วท่านดูเข้าท่ากับไอ้ชุดทหารนี่นักหรืออย่างไรครับผม? แต่ท่านก็เป็นนายทหารที่ยอดเยี่ยมจนไม่มีใครจะเก่งเกินได้เช่นนี้แล้วไม่ใช่หรือครับ เพราะฉะนั้น กระผมว่าท่านสามารถเป็นผู้นำเผด็จการได้ดีเลยทีเดียวครับผม”

“พลจัตวาเชนค็อป!”

“ครับผม?”

“นี่คุณเล่าไอ้ความคิดนี่ของคุณให้ใครฟังอีกหรือเปล่านอกจากผมน่ะ”

“พูดได้ที่ไหนล่ะครับท่าน แหม...”

“ถ้างั้นก็แล้วไป...”

หยางพูดเพียงเท่านั้นก็หันหลังให้เชนค็อป แล้วออกเดิน

เชนค็อปสาวเท้าก้าวตามหลังอีกฝ่ายไปทิ้งระยะห่างห้าถึงหกก้าว แล้วก็ผุดรอยยิ้มขึ้นที่มุมปากของตน หยางจะรู้ตัวหรือไม่หนอว่า คงไม่มีนายทหารระดับสูงนายไหนอีกแล้วที่ปล่อยให้ลูกน้องของตนพูดอะไรก็ได้ปาว ๆ ตามใจชอบเช่นนี้ ผู้ที่จะเป็นเจ้านายของเชนค็อป ก็ต้องเหนื่อยใจเช่นนี้เอง




ในป้อมปราการอิเซลโลนนั้น ยังมีพลเรือนอีกจำนวนมากพักอาศัยอยู่ด้วย พวกเขากำลังแตกตื่นกับข่าวรัฐประหารที่เกิดขึ้นแล้ว และสงครามกลางเมืองที่กำลังจะเกิดในอนาคตอันใกล้ หนึ่งในจำนวนนั้น พอเห็นจูเลียนที่ไปทำธุระบางอย่างให้หยาง ในย่านที่พักของพลเรือน เขาก็เข้ามาถามทันทีว่า ศึกคราวนี้มีโอกาสชนะหรือไม่

เด็กชายเงยหน้าขึ้นมองสีหน้าตื่นตระหนกของผู้ถาม แล้วก็ตอบเสียงดังฟังชัด เป็นเชิงตำหนิอาการตื่นตูมของอีกฝ่ายว่า

“ผู้การหยางเหวินหลี่ จะไม่ทำศึกอย่างเด็ดขาดถ้าไม่มั่นใจในชัยชนะ!!!”

บทสนทนานี้ ถูกลือต่อ ๆ กันไปทั่วป้อมปราการอิเซลโลนอย่างรวดเร็ว ผู้การหยางไม่ทำศึกโดยไม่มั่นใจในชัยชนะ... จริงสิ หยางผู้นี้มิใช่หรือที่อยู่เคียงข้างกับคำว่าชัยชนะมาโดยตลอด และในครั้งนี้ เขาก็ต้องชนะด้วยอย่างแน่นอน ความหวาดวิตกของบรรดาพลเรือนถูกขจัดหายออกไปอย่างรวดเร็ว... อย่างน้อยก็เท่าที่มองจากภายนอกล่ะ

ตอนหลัง เมื่อหยางทราบเรื่องนี้เข้า ก็เรียกจูเลียนมาถามให้แน่ใจ แล้วก็แกล้งแหย่เด็กชายว่า

“ฉันนึกไม่ถึงเลยนะนี่ ว่าเธอจะมีความสามารถเป็นสโปคแมนที่ดีได้ด้วยแฮะ จะเก่งหลายอย่างเกินไปแล้ว (อิจฉาวุ้ย)”

“แต่ผมไม่ได้หลอกใครนะครับ มันเป็นความจริงต่างหาก ไม่ใช่หรือครับ ผู้การ”

“อืม มันก็จริงนะ อย่างน้อย ก็สำหรับในศึกครั้งนี้ล่ะ”

ฝ่ายที่เป็นผู้ปกครองขมวดคิ้วโดยไม่รู้ตัว พลางเปรยว่า

“และฉันก็หวังว่ามันจะเป็นอย่างนี้ตลอดไปเรื่อย ๆ แหละนา...”

หลังจากจูเลียนออกไปฝึกซ้อมบังคับยานรบประจันบาญสปาร์ตาเนียนแล้ว หยางก็เรียกตัวพลจัตวาเชนค็อปเข้ามาพบ

ตอนนั้น หยางได้ตัดสินใจไปแล้วว่าจะแบ่งกองยานรบของตนออกเป็น 2 ส่วน ได้แก่ กองแรกอันประกอบด้วยกำลังรบหลัก ยานรบที่มีความคล่องตัวสูง ซึ่งหยางจะเป็นผู้คุมทัพเอง กับอีกกองหนึ่งคือ กองสนับสนุนการรบ ประกอบด้วยยานลำเลียง และยานรบที่ใช้ในการป้องกันเป็นหลัก ที่เขาเรียกเชนค็อปมาก็เพื่อปรึกษาว่า จะให้เชนค็อปไปกับกองยานรบกองใดนั่นเอง และได้ข้อสรุปว่า ให้เชนค็อปไปกับหยาง และอยู่ข้างกายเขาในฐานะเสนาธิการคนหนึ่ง

ตอนท้าย หยางถือโอกาสถามไปถึงเรื่องของจูเลียนด้วย ทั้งนี้ เชนค็อปเป็นครูฝึกสอนยิงปืนและศิลปะการสู้รบประชิดตัว (ยกพลตะลุมบอนแบบหน่วยนาวิกโยธิน) ให้กับจูเลียนนั่นเอง

“ถ้าในฐานะของนักรบคนหนึ่งละก็ เด็กนั่นเป็นนักรบเต็มตัวเลยล่ะครับผม ใช้งานได้ยิ่งกว่าท่านหลายเท่านัก”

เชนค็อปตอบอย่างไม่เกรงใจ

“แต่ ท่านคงไม่ได้คาดหวังเรื่องในระดับต่ำ ๆ แบบนั้นจากจูเลียนกระมังครับผม?”

คำตอบของหยางนั้น ฟังเผิน ๆ เหมือนเขากำลังพูดรำพึงกับตัวเองอยู่

“... คนเราน่ะ มีความสามารถของตัวเองที่จำกัด แต่ถึงกระนั้นก็ตาม เราก็ยังสามารถใช้ความสามารถอันมีขอบเขตที่จำกัดนั้น จัดการกับโชคชะตาของตนเองได้ในระดับหนึ่ง แต่สำหรับจูเลียน ผมอยากเห็นแกจัดการกับโชคชะตาในระดับที่กว้างกว่านั้น... ถึงแม้ว่า เอาเข้าจริง แกอาจจะไม่มีโอกาสได้ทำเช่นนั้นก็ได้ แต่ผมก็อยากให้แกมีความพร้อมที่จะทำเช่นนั้นเอาไว้อยู่ดี...”

“แล้ว ท่านล่ะครับผม?”

“ผมนะเหรอ สายไปแล้วล่ะ ผมถลำลึกไปกับสมาพันธ์ดาวเคราะห์เสรีมากเกิดไปเสียแล้ว รับเงินเดือนเขามาก็ต้องทำงานใช้คืนให้เจ้าของเงินให้คุ้มค่าแหละครับ ยังจะมีอิสระทำอะไรได้อีก?”

รู้สึกว่า เชนค็อปจะครุ่นคิดตามคำพูดของหยางอย่างเอาจริงเอาจัง โดยไม่คิดว่ามันเป็นคำพูดเล่นแม้แต่น้อย

“อ้อ อย่างนี้นี่เอง ท่านถึงไม่ยอมให้จูเลียนเป็นทหารในประจำการอย่างเต็มตัว... เพราะ ต้องการจะให้แกไม่ต้องรู้สึกติดค้างบุญคุณกับสมาพันธ์ดาวเคราะห์เสรีเหมือนเช่นที่ท่านเป็น จะได้มีอิสระที่จะทำอะไรได้มากขึ้น...”

“ง่า... ผมยังไม่ได้คิดไกลไปถึงขนาดนั้นหรอกคุณ”

หยางสั่นศีรษะสองสามครั้ง เขาไม่เคยเป็นคนที่คิดลึกซึ้งอะไรหลาย ๆ ชั้นหรอก แต่ดูเหมือนคนอื่นจะไม่เชื่อกันเลย สิ่งนี้จะเป็นคุณหรือเป็นโทษกับเขานั้น หยางเองก็ไม่ทราบได้




ณ ตึกกองบัญชาการทหารสูงสุดที่เมืองหลวงไฮเนสเซน บัดนี้ได้กลายมาเป็นฐานบัญชาการของกองกำลังกอบกู้วิกฤติแห่งชาติไปแล้ว พวกแกนนำของกองกำลังได้ประชุมกันอยู่ ณ ห้องประชุมชั้นใต้ดิน

“หยางเหวินหลี่ตอบปฏิเสธที่จะร่วมขบวนการกับกองกำลังกอบกู้วิกฤติแห่งชาติแล้ว”

พลเอกกรีนฮิลล์แจ้งข่าวนั้นให้ทราบ มีเสียงพึมพำเบา ๆ ดังกระหึ่มจากบรรดาผู้เข้าร่วมประชุมทันที

“ถ้างั้น ก็ต้องสู้กันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้สิ”

“ขอดูฝีมือของมิราเคิลหยางหน่อยเถอะ ว่าจะเก่งจริงสมคำร่ำลือหรือไม่”

น้ำเสียงฮึกเหิมในตอนหลัง อาจจะเพื่อกลบเกลื่อนความกังวลของพวกพ้องก็เป็นได้

แต่พลเอกกรีนฮิลล์ไม่ได้อยู่ในอารมณ์เดียวกับพวกเขา

เขาไม่คิดที่จะขอโทษต่อบุตรีของตนเลย เพราะทราบดีว่า หล่อนไม่อภัยให้เขาแน่ และตัวเขาเองก็เชื่อว่า ตนเองกำลังทำสิ่งที่เชื่อมั่นว่าถูกต้องแล้ว หากไม่ใช้กำลังทหารเข้าจัดการประเทศนี้ละก็ ประเทศนี้จะมีแต่มุ่งหน้าสู่หายนะอย่างแน่นอน หากหยางไม่ยอมเข้าใจในประเด็นนี้ ก็คงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องรบกันเอง ตอนที่เขาตัดสินใจเรื่องนี้ เขาลังเลและตัดสินใจด้วยความยากลำบากพอควร แต่เมื่อการณ์มาถึงขั้นนี้แล้ว เขาไม่ยอมเปลี่ยนความตั้งใจอย่างเด็ดขาด

“ผู้การรุกรันจ์!”

ชายวัยกลางคน เจ้าของผมสั้นสีแพลทตินัมบรอนซ์และคางรูปเหลี่ยม ลุกขึ้นยืนตอบรับคำเรียกของเขาทันที

“ผมขอสั่งให้คุณนำกองยานรบอวกาศที่ 11 ของเรา มุ่งหน้าไปยังป้อมปราการอิเซลโลนเพื่อกวาดล้างกองยานรบหยางเสีย”

“รับทราบครับผม... ว่าแต่ บุตรสาวของท่าน...”

ใคร ๆ ก็ทราบดีว่า เฟรดเดอริก้า กรีนฮิลล์คือนายทหารผู้ช่วยของหยางเหวินหลี่

“นั่นไม่ใช่เรื่องที่คุณต้องใส่ใจ”

กรีนฮิลล์ตอบทันทีด้วยน้ำเสียงหนักแน่น เขานิ่งไปอึดใจหนึ่งก่อนจะกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ ที่ควบคุมอารมณ์ไว้อย่างดีว่า

“นับตั้งแต่ผมเริ่มวางแผนรัฐประหารนี้มา ผมก็ปลงเรื่องของลูกสาวไปแล้ว นอกจากนี้ หยางเองก็คงจัดการปลดลูกสาวผมและสั่งขังไว้ที่อิเซลโลนแล้วอย่างแน่นอน แกคงไม่ได้เดินทางมากับทัพยานรบหยางหรอก คุณจัดการได้เต็มที่เลย”

“ครับผม ถ้าอย่างงั้น ผมจะถล่มกองยานหยางให้เรียบ หรือไม่ก็ทำให้เขายอมจำนนต่อเราให้ได้ครับ”

ในกองทัพของสมาพันธ์ นับว่ากองยานรบที่ 11 เป็นหนึ่งในกองยานรบจำนวนน้อยที่ยังคงอยู่ในสภาพสมบูรณ์ที่สุด และกองยานรบที่สมบูรณ์เต็มอัตราศึกนี้ ก็กำลังจะออกเดินทางไปเพื่อขัดขวางปฏิบัติการของกองยานรบหยาง




วันที่ 20 เมษายน หยางแต่งตั้งให้แคสเซิร์นเป็นรักษาการแทนผู้บัญชาการป้อมปราการอิเซลโลน แล้วออกคำสั่งให้ยานรบทั้งหมดออกปฏิบัติการ เมื่อถูกถามถึงจุดหมายปลายทางของภารกิจครั้งนี้ เขาตอบเพียงว่า

“สุดท้ายคือ ไปไฮเนสเซน!”

(อ่านตอนต่อไป)


กลับไปอ่านตอนที่แล้ว +++ กลับไปหน้าสารบัญ +++ ไปอ่านตอนต่อไป 1