นวนิยายแฟนตาซีอวกาศเรื่องยาว

วีรบุรุษทางช้างเผือก เล่ม ๒ : ความทะเยอทะยาน
銀河英雄伝説 第二巻:野望篇

เรื่อง โดย ทะนะกะ โยะชิกิ (田中芳樹) แปลโดย Pae

บทที่ 4 หลั่งเลือดท่วมผืนฟ้า
-1-


ขณะที่ไรน์ฮาร์ดกำลังจะก้าวขึ้นเรือรบบรุนฮิลต์อันเป็นเรือธงของตนนั่นเอง เขาก็ต้องหยุดชะงัก หันไปรับการมาเยือนของเจ้าหน้าที่ธุรการในสังกัดสำนักกลาโหมผู้หนึ่งที่วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามา

“มีธุระอะไรหรือ?”

เจ้าหน้าที่ผู้นั้นหยุดจ้องแม่ทัพหนุ่มรูปงามของตนซึ่งอยู่ในชุดพื้นสีดำประดับด้วยดิ้นและผ้าสีเงินอย่างสง่างามด้วยความชื่นชม ก่อนจะระล่ำระลักเอ่ยถึงธุระด่วนของตนที่รีบวิ่งมานี้ กล่าวคือ ยังหาได้กำหนดชื่อเรียกกองกำลังข้าศึกในครั้งนี้อย่างเป็นทางการไม่ นั่นเอง

“ชื่อเรียกอย่างเป็นทางการรึ?”

“ขะ... ขอรับใต้เท้า พวกเขาอ้างตัวเองว่าเป็นทัพขุนนางฐานันดรผู้ผดุงความชอบธรรม หรืออะไรทำนองนั้นก็จริง แต่ในเอกสารราชการของเราไม่สามารถเรียกพวกเขาตามชื่อนั้นได้อยู่แล้วขอรับ ครั้นจะให้บันทึกว่า ทัพกบฏ ก็จะไปซ้ำกับพวกที่เรียกตัวเองว่า สมาพันธ์ดาวเคราะห์เสรีเข้าขอรับ จะแยกไม่ออกว่าฝ่ายไหนเป็นฝ่ายไหน สรุปก็คือ อยากเรียนปรึกษาใต้เท้าว่าจะกำหนดชื่อสำหรับบันทึกอย่างเป็นทางการของพวกนี้ว่าอย่างไรดีขอรับ”

ไรน์ฮาร์ดทำทีรับทราบ เขายกนิ้วเรียวยาวของตนขึ้นลูบคางในทีท่าครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะ แต่เพียงไม่ถึง 5 วินาที มือนั้นก็ถอยห่างออกจากคางของตน

“เรามีชื่อที่เหมาะสมกับเจ้าพวกไม่รักดีนั้นอยู่แล้ว กองโจรเถื่อนอย่างไรเล่า เจ้าจัดการบันทึกไปตามนี้ได้เลยว่า พวกมันคือ กองโจรเถื่อน”

“ขอรับ”

“รีบจัดการถ่ายทอดเรื่องนี้ไปให้ทั่วทั้งราชอาณาจักรด้วย ว่าข้าศึกของเราในครั้งนี้คือ กองโจรเถื่อน รวมทั้งเจ้าตัวจะได้รู้สึกสำนึกตัวเสียทีว่า พวกมันเป็นแค่โจรเถื่อนเท่านั้น”

ไรน์ฮาร์ดแค่นหัวเราะเบา ๆ เป็นเสียงหัวเราะเย้ยหยันอย่างไม่ต้องสงสัย แต่กระนั้นก็ยังฟังดูไพเราะเสนาะหูอยู่ดี

“ธุระของเจ้ามีเท่านี้ใช่ไหม ถ้าเช่นนั้นเราจะไปแล้ว อย่าลืมที่สั่งไว้ล่ะ”

เขาหันกายกลับและเดินต่อไปยังทิศทางเดิมด้วยทีท่าสง่างามประดุจทั้งร่างไร้น้ำหนักกระนั้น บรรดาพวกของโอแบร์สไตน์, มิตเตอร์ไมเยอร์, รอยเอนธาล, เคมป์, บิทเทนเฟลต์ ฯลฯ ต่างพากันก้าวตามกันไป แล้วในที่สุด กองเรือรบขนาดมหึมาก็ทยอยกันทะยานขึ้นสู่ฟากนภาสีน้ำเงินเข้มอย่างน่าเกรงขาม

ผู้บัญชาการของกองทหารรักษาดาวที่เหลืออยู่ พลโทมอลโต้และบรรดานายทหารชั้นรองลงไป ยืนเรียงแถวกันยกมือทำวันยาหัตถ์ส่งกองเรือรบที่ออกเดินทางไปจนลับตา

ไรน์ฮาร์ดเหลือกำลังทหารไว้รักษาพระนครเพียงน้อยนิดเท่านั้น กล่าวคือ เฉพาะกำลังทหารสำหรับอารักขาวังหลวงที่จักรพรรดิประทับอยู่- นอย ซันซูซี, จวนจอมพลของไรน์ฮาร์ดและสำนักกลาโหม และตำหนักที่เป็นที่พำนักของเขากับพี่สาว รวมแล้วเป็นกำลังทหารเพียง 3 หมื่นนายเท่านั้น ผู้บัญชาการของกองทหารนี้ ได้แก่ พลโทมอลโต้ ผู้เริ่มเข้าสู่วัยชราแล้ว แม้เขาจะมิได้เป็นนายทหารที่ลือเลื่องในเชิงรบก็ตาม แต่ก็ไว้ใจได้ในความซื่อสัตย์จงรักภักดี

เจ้าหน้าที่ธุรการผู้นั้นเดินทางกลับไปถึงสำนักกลาโหมแล้วก็จัดแจงทำตามคำสั่งของไรน์ฮาร์ดทันที ข่าวเกี่ยวกับการออกรบถูกกระจายไปทั่วดินแดนจักรวรรดิด้วยคลื่นสื่อสารความเร็วเหนือแสง (FTL) และตอกย้ำคำว่า “กองโจรเถื่อน” “กองโจรเถื่อน” อย่างต่อเนื่อง



“กองโจรเถื่อน... มันกล้าหาว่าเราเป็นโจรเถื่อนเชียวรึ?!!!”

ไม่ต้องสงสัยเลยว่า สรรพนามนี้ได้สร้างความเจ็บแค้นอย่างลึกซึ้งเพียงใด แก่บรรดาบุคคลที่เคยชินแต่ความคิดที่ว่าพวกตนเป็นคนชนชั้นพิเศษอันผู้ใดจะมาล่วงละเมิดมิได้ พวกเขาพากันรู้สึกเกลียดชังคลั่งแค้นจนหน้าดำคร่ำเครียด เหวี่ยงแก้วลงพื้นจนแตกกระจายเป็นเกล็ดละเอียดเพื่อระบายอารมณ์ความชิงชังที่มีต่อ “ไอ้เด็กผมทอง” คนนั้น

หากไปถามนายทหารที่อยู่วงนอกออกมาสักหน่อยอย่างเช่น ชไนเดอร์นายทหารผู้ช่วยของเมลคัทซ์แล้ว ก็คงได้ความเห็นว่า มันก็พอกันทั้งสองฝ่ายนั่นแหละ เพราะพวกขุนนางชั้นสูงก็จิกหัวรุมด่าไรน์ฮาร์ดมาตลอดเวลามิใช่หรือ?

และด้วยความที่บรรดาขุนนางชั้นสูงเหล่านี้เต็มไปด้วยสันชาตญาณดิบที่เข้าข้างตัวเอง ชอบคิดเล็กคิดน้อย ทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่เยี่ยงนี้ ที่ประชุมของพันธมิตรขุนนางจึงมักถูกชักใบให้เรือเสียอยู่เนือง ๆ ตามแต่อารมณ์ของผู้เข้าประชุมจะพาไป

อันดยุค ฟอน เบราสไวก์เองนั้นก็มีแนวยุทธศาสตร์ของตนเองที่ใช้ได้พอสมควรทีเดียว กล่าวคือ ให้จัดตั้งฐานที่มั่นทางการทหารขึ้นมาจำนวน 9 แห่ง ระหว่างเส้นทางจากเมืองหลวงโอดีนมายังฐานทัพใหญ่ของกองกำลังพันธมิตรขุนนางแห่งลิปสตัต อันได้แก่ ป้อมปราการที่มีนามว่า ไกเอสบูร์ก (ปราสาทพญาอินทรี) แห่งนี้ เขาคิดจะจัดแบ่งกำลังอย่างพอเพียงไปให้ฐานที่มั่นระหว่างทางทั้ง 9 แห่งดังกล่าว เพื่อเตรียมรับมือกับไรน์ฮาร์ด หากไรน์ฮาร์ดจะบุกมาที่ไกเอสบูร์ก ก็จำต้องไล่ตีฐานที่มั่นเหล่านั้นทีละฐาน ๆ กว่าจะมาถึงก็คงจะสูญเสียทั้งไพร่พลและเรือรบไปจำนวนไม่น้อยทีเดียว ทั้งกำลังรบที่เหลืออยู่ก็คงอ่อนเปลี้ยเพลียแรงเป็นแม่นมั่น ในจังหวะนั้นเอง หากทัพใหญ่ที่ออมแรงไว้ของพวกตนยกออกจากป้อมปราการไกเอสบูร์กนี้ไปโจมตีอย่างเฉียบพลันก็ย่อมจะบดขยี้ฝ่ายตรงข้ามให้แหลกรานไปได้ในคราเดียวเป็นแน่แท้

แต่เมลคัทซ์กลับไม่รู้สึกคล้อยตามไปกับแนวคิดนี้ หากไรน์ฮาร์ดทำตามความคาดหวังของฝ่ายเขา ไล่ตีฐานที่มั่นระหว่างทางมาทีละฐาน ๆ จนครบ 9 ฐานนั้น ก็ย่อมเป็นการดี แต่ถ้าเกิดฝ่ายนั้นไม่ทำเช่นนั้นขึ้นมาเล่า? อย่างเช่น หากไรน์ฮาร์ดใช้วิธีตัดเส้นทางลำเลียงและเครือข่ายการสื่อสารระหว่างฐานทัพใหญ่กับฐานที่มั่นทั้งหมดออกจากกันแล้วไซร้ เขาก็ย่อมประสบความสำเร็จในการทำให้ฐานที่มั่นเหล่านั้นหมดความหมายไปโดยปริยาย ไม่จำเป็นต้องเสียแรงเข้าตีด้วยซ้ำ จากนั้นเมื่อยกทัพของตนบุกมาโดยตรงยังไกเอสบูร์กแล้ว ผลที่ได้ย่อมร้ายแรงเกินประมาณ เพราะทางนี้ได้แบ่งกำลังทหารไปจำนวนมากให้กับที่มั่นระหว่างทางอย่างเปล่าประโยชน์เสียแล้ว ย่อมทำให้กำลังที่จะป้องกันป้อมสุดท้ายนี้อ่อนแอลงอย่างหลีกเลี่ยงมิได้

ทันทีที่เมล์คัทซ์กล่าวเสนอความคิดเห็นของตนแย้งออกไป สีหน้าของดยุคฟอนเบราสไวก์ก็เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ประดุจภาพที่ถ่ายด้วยกล้องความเร็วสูงเลยทีเดียว

ในสถานการณ์เช่นนี้ หากเป็นบรรดาบริวารของดยุคผู้นี้แล้วไซร้ ล้วนต้องพากันหมอบกราบลงกับพื้น ร่ำร้องขออภัยโทษจากท่านเป็นแม่นมั่น

แต่แน่นอนว่า เมลคัทซ์มิได้ทำเช่นนั้น

“... ถ้าเช่นนั้น เจ้าจักให้เราทำอย่างไรจึงจะดีเล่า?”

ดยุคฟอนเบราสไวก์ข่มใจถามออกมาจนได้ในที่สุด เมลคัทซ์จึงเริ่มอธิบายต่อไปโดยทำเป็นไม่รับรู้ถึงสภาพจิตใจของฝ่ายแรก

ไม่จำเป็นต้องยกเลิกฐานที่มั่นทั้งเก้าแห่งนั้น แต่ก็ไม่จำเป็นต้องแบ่งกำลังทหารจำนวนมากไปให้เช่นกัน ให้จำกัดภารกิจของฐานที่มั่นเหล่านั้นเพียงแค่การสอดแนมและการสังเกตการณ์ความเคลื่อนไหวของข้าศึกโดยใช้ข้อมูลอิเลกทรอนิกส์ ส่วนกำลังรบทั้งหมดของฝ่ายเราให้รวมอยู่ที่ไกเอสบูร์กแห่งนี้เพียงแห่งเดียวเท่านั้น

“สรุปก็คือ เจ้าจะล่อให้ไอ้เด็กผมทองนั่นยกทัพออกมาเป็นระยะทางไกลจนกระทั่งถึงไกเอสบูร์กนี้ แล้วจึงรบขั้นเด็ดขาดที่นี่สินะ อืม หวังจะตีข้าศึกที่เดินทางมาไกลแสนไกล ในจังหวะที่พวกมันกำลังเหนื่อยถึงที่สุดละสิท่า”

ดยุค ฟอน เบราสไวก์แสดงให้เห็นว่า ตนเองหาใช่ผู้ที่ไร้ความรู้ในเชิงยุทธศาสตร์โดยสิ้นเชิงแต่อย่างไรไม่

“ใช่แล้วขอรับ”

ทันทีที่คนพูดน้อยอย่างเมลคัทซ์ตอบเช่นนั้นเอง ก็มีเสียงสอดแทรกเข้ามาว่า

“ช้าก่อนขอรับ ยังมีแผนการยุทธที่ดีกว่านั้นอีก”

เจ้าของคำพูดนี้คือ ผู้เชี่ยวชาญด้านทฤษฎีทางยุทธศาสตร์ ผู้การชุททาเดน

ครั้งหนึ่งชายผู้นี้เคยร่วมในศึกที่แอสทาเทภายใต้การนำทัพของไรน์ฮาร์ด แต่สิ่งที่เขาแตกต่างกับเมลคัทซ์คือ เขายังคงไม่ยอมรับในความสามารถเชิงรบของไรน์ฮาร์ดอยู่ดี

“แผนของท่านคือกระไรรึ? ผู้การชุททาเดน”

“เป็นแผนที่ปรับปรุงมาจากแผนของท่านแม่ทัพใหญ่เมลคัทซ์อีกเพียงเล็กน้อยเท่านั้นขอรับ”

ชุททาเดนชำเลืองมองเมลคัทซ์แวบหนึ่ง ผู้การเฒ่าเจนศึกอย่างเมลคัทซ์ได้แต่แอบทำสีหน้าปลงสังเวช เพียงเท่านี้เขาก็เดาได้แล้วว่าชุททาเดนกำลังจะพูดอะไร ซึ่งสิ่งนั้น เมลคัทซ์เองก็คิดไว้แล้ว แต่ไม่พูดออกมาด้วยเหตุผลสำคัญบางอย่างเท่านั้นเอง

“เช่นนี้ขอรับ ให้เราจัดแบ่งกองทัพแยกขนาดใหญ่ออกไปกองหนึ่ง จากนั้นล่อให้เด็กผมทองยกพลถลำลึกมาจนถึงป้อมปราการไกเอสบูร์กของเรานี้ ขณะเดียวกันกองทัพแยกนั้นก็เดินทัพสวนทางไปโจมตีดาวเมืองหลวงโอดีนอันมีกำลังเหลือเพียงน้อยนิด และเมื่อเราสามารถยึดเมืองหลวง พร้อมอัญเชิญองค์จักรพรรดิมาอยู่ในความคุ้มครองของเราได้แล้วไซร้...”

“อืมห์...”

“ทันทีที่มีพระราชโองการออกมาว่า มาร์ควิส ไรน์ฮาร์ด ฟอน โรเอนกรัมต่างหากที่เป็นโจรกบฏปล้นแผ่นดิน ฐานะของเรากับมันย่อมกลับกันเป็นหน้ามือกับหลังมือ เด็กผมทองนั่นย่อมกลายเป็นหนูอวกาศสกปรกที่ไม่มีแม้แต่รูจะซุกหัวนอนเป็นแน่แท้ขอรับ”

ว่าแล้วต้องเป็นแผนนี้... เมลคัทซ์ได้แต่เหลือบมองลงไปยังถ้วยกาแฟของตนที่ยังไม่ได้จิบเลยแม้แต่คำเดียว ชุททาเดนนั้นเป็นเจ้าทฤษฎีก็จริงแต่ความสามารถในการวิเคราะห์สถานการณ์จริงยังด้อยไปขั้นหนึ่ง จริงอยู่ที่มาร์ควิส ไรน์ฮาร์ด ฟอน โรเอนกรัมทิ้งเมืองหลวงไว้ว่าง ๆ แต่นั่นเพราะอะไรเล่า? ก็เพราะเขามีเหตุผลที่ทำให้เขาสามารถทำเช่นนั้นได้อย่างเปิดเผยนะสิ หากชุททาเดนฉุกคิดถึงประเด็นนี้สักเล็กน้อย ย่อมตระหนักได้ว่าแผนซึ่งดูเหมือนดีนี้ ในความเป็นจริงแล้วไม่สามารถเป็นไปได้เลยแม้แต่น้อย...

“เป็นแผนที่ล้ำเลิศนัก!”

ขุนนางหนุ่มผู้หนึ่งนามว่า เคานท์ อัลเฟรด ฟอน ลันซ์แบร์กอุทานลั่นออกมาด้วยความชื่นชมเต็มเปี่ยม ดูท่าทางเขาตื่นเต้นจนใบหน้าแดงก่ำ เขาพร่ำสรรเสริญแผนการของชุททาเดนว่า ช่างดีเลิศ สวยงาม และเด็ดขาดหาที่เปรียบมิได้ จากนั้น ก็ถามอย่างไร้เดียงสาว่า

“ว่าแต่ ใครจะเป็นผู้นำทัพแยกนั้นเล่า นี่เป็นตำแหน่งอันเต็มไปด้วยเกียรติยศและความรับผิดชอบสูงสุดเลยทีเดียวเชียวนะนี่”




ห้องประชุมนั้นเงียบกริบไปทันที

คำพูดของเคานท์ อัลเฟรด ฟอน ลันซ์แบร์กเปรียบดั่งท่อนไม้ที่กระแทกลงไปกวนเอาโคลนตมแห่งความมักใหญ่ใฝ่สูงที่จมอยู่ก้นหนองบึงให้ลอยขุ่นคลักขึ้นมาอย่างน่าสะพรึงกลัว

ภารกิจบุกยึดเมืองหลวงโอดีน และแย่งชิงตัวองค์จักรพรรดิมาไว้ในความดูแล ผู้ที่ปฏิบัติภารกิจนี้สำเร็จต่างหากเล่า จึงจักได้ชื่อว่าเป็นเจ้าของความดีความชอบใหญ่หลวงที่สุดในสงครามกลางเมืองครานี้ เปรียบเทียบกับวีรกรรมนี้แล้ว ภารกิจอยู่เฝ้าไกเอสบูร์กเพื่อรบหน่วงเวลาไรน์ฮาร์ดเอาไว้นั้น ย่อมมีความชอบเทียบกันมิได้เลย แสงดาวเคราะห์น้อยไหนเลยจักส่องสว่างเท่าแสงดาวฤกษ์ได้ ฉันใดก็ฉันนั้น

แน่นอนว่า หลังเสร็จสิ้นสงครามแล้ว ผู้ที่มีความดีความชอบสูงสุดย่อมมีอำนาจในการออกเสียงมากที่สุด อีกทั้งหากได้ชื่อว่าเป็นผู้อารักขาองค์จักรพรรดิแล้วไซร้-ต่อให้เป็นเพียงเปลือกนอกก็ตาม ในความจริงแล้วเขาผู้นั้นย่อมได้เปรียบที่มีอำนาจสูงสุดเป็นฝ่ายตนอย่างไม่ต้องสงสัย เพียงอ้างว่าเป็น “พระราชโองการ” แล้ว ย่อมได้มาซึ่งทั้งลาภยศและอำนาจเป็นของตนเพียงผู้เดียวอย่างง่ายดาย

แม่ทัพของกองทัพแยก

เส้นทางที่สั้นที่สุดเพื่อที่จะไปถึงอำนาจสูงสุด

ไหนเลยจะยอมให้คนอื่นได้ภารกิจนี้ไปได้เล่า?

ทั้งดยุค ฟอน เบราสไวก์ก็ดี มาร์ควิส ฟอน ลิตเทนไฮม์ก็ดี ล้วนทำตาเป็นมันเมื่อคิดถึงตรงนี้

ดูเหมือนว่าบัดนี้ประเด็นที่ทุกคนสนใจ หาได้เป็นเรื่องของแนวยุทธศาสตร์ หรือยุทธวิธีไม่ หากแต่พากันคิดเลยเถิดไปถึงการชิงอำนาจการเมืองไปเสียแล้ว เปรียบได้กับเพียงเพิ่งเห็นแนวชายป่า ก็ชิงตีราคาหนังเสือดำอันมีค่า

เพราะคาดการณ์อยู่แล้วว่าจะต้องออกมาเป็นเช่นนี้นั่นเอง เมลคัทซ์จึงได้ยอมทิ้งแผนการนี้ไปในใจตน ทั้งที่หากมองในแง่ของการทหารเพียงด้านเดียวแล้วเป็นแผนที่มีประสิทธิภาพสูงที่สุดเลยทีเดียว แต่สุดท้าย มันก็เป็นเพียงแผนที่จักสำเร็จได้ก็ต่อเมื่อถูกนำไปปฏิบัติด้วยองค์กรที่เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันอย่างเหนียวแน่นภายใต้เจตนารมณ์อันแน่วแน่ที่จะไปสู่เป้าหมายเดียวกัน อีกทั้งระหว่างแม่ทัพของทัพหลักและแม่ทัพของทัพแยกนั้นต้องผูกพันกันไว้ด้วยความไว้เนื้อเชื่อใจอย่างลึกซึ้งยากที่จะสั่นคลอนได้

แต่เงื่อนไขที่กล่าวมาทั้งหมด ไม่เป็นจริงเลยแม้แต่ข้อเดียวสำหรับกองกำลังพันธมิตรขุนนางนี้ เพราะเช่นนี้นี่เล่า มาร์ควิส ไรน์ฮาร์ด ฟอน โรเอนกรัมจึงสามารถทิ้งเมืองหลวงให้เปิดโล่งได้อย่างไม่อาทร

เดิมที พื้นฐานของพันธมิตรขุนนางชั้นสูงนั้น อยู่บนความเกลียดชังและริษยาต่อการได้ดิบได้ดีของไรน์ฮาร์ดเท่านั้นเอง ไม่ได้คิดไกล หรือมีความเห็นตรงกันไปถึงประเด็นที่ว่า เมื่อล้มล้างไรน์ฮาร์ดได้แล้ว จะแบ่งปันผลประโยชน์และอำนาจที่แย่งชิงมาได้กันอย่างไร ดังนั้น การที่จะสร้าง “รอยร้าว” ขึ้นมาในความสมานฉันท์ของพวกเขาย่อมเป็นเรื่องที่ง่ายดายนัก

และชุททาเดนก็ได้สร้าง “รอยร้าว” นั้นขึ้นมาเสียแล้ว ตั้งแต่ยังไม่ทันจะเริ่มสงครามด้วยซ้ำ การกระทำของเขากล่าวได้ว่า เอื้อประโยชน์ต่อศัตรู บั่นทอนพวกเดียวกันนั่นเอง อย่าว่าแต่ความสามัคคีปลอม ๆ เลย นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป จะมีแต่ความมักใหญ่ใฝ่สูงส่วนตัวเท่านั้น เมลคัทซ์รับรู้ได้ถึง ควันแห่งความเห็นแก่ตัว (อีโก้อิสซึ่ม) ที่ถูกปลดปล่อยออกมาจากบรรดาขุนนางทั้งหลาย นำโดยดยุค ฟอน เบราสไวก์, มาร์ควิส ฟอน ลิตเทนไฮม์ และขุนนางรอง ๆ ลงไป จนทำให้เขารู้สึกเหมือนจะสำลักตายเสียให้ได้ ณ ที่นั้น

แล้วเช่นนี้ จะชนะไรน์ฮาร์ดได้หรือ?

ต่อให้จับพลัดจับผลูชนะขึ้นมา...

จะชนะไปเพื่อใครกันเล่า?

(อ่านตอนต่อไป)


กลับไปอ่านตอนที่แล้ว +++ กลับไปหน้าสารบัญ +++ ไปอ่านตอนต่อไป 1