นับจากนั้นเป็นต้นมา สำหรับเมลคัทซ์แล้วการประชุมยุทธศาสตร์ก็กลายเป็นเพียงหนึ่งในสองกรณีระหว่าง การประนีประนอม หรือไม่ก็การพยายามนำเสนอความคิดของตนโดยต้องทำใจล่วงหน้าว่าจะถูกมองข้ามไปอย่างไม่ใยดี เท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นกรณีใด ล้วนน่าสมเพชตนเองด้วยกันทั้งสิ้น ในช่วงแรกที่เขารับตำแหน่งแม่ทัพใหญ่นั้น บรรดาขุนนางฐานันดรหนุ่ม ๆ ที่เลือดร้อนทั้งหลาย ล้วนแต่ให้การยอมรับและชื่นชมเขากันถ้วนหน้า แต่สภาพนั้นก็หาได้ต่อเนื่องไปได้นานไม่ พวกเขาเหล่านั้น ล้วนแต่ไม่เคยชินกับการต้องรับคำสั่งจากผู้อื่น อีกทั้งยังมีวินัยในตนเองต่ำนัก แม้ว่าการจะควบคุมพวกเขาให้อยู่ในระเบียบนั้นจะไม่ถึงกับเป็นไปไม่ได้เลย แต่ก็เป็นสิ่งที่ยากเย็นแสนเข็ญอยู่ดี ส่วนพวกขุนนางที่อาวุโสขึ้นมาสักหน่อยเล่า พวกนี้ยังว่าง่ายกว่าพวกหนุ่ม ๆ ก็จริง แต่แท้จริงแล้ว ก็เพียงแต่จ้องจะเสี้ยมเขาให้แก่บรรดาขุนนางหนุ่ม ๆ เพื่อประโยชน์ของตนแต่ถ่ายเดียว และแล้วก็มาถึงคราที่เมลคัทซ์ต้องยอมประนีประนอมครั้งแรก นั่นคือ การต้องยอมให้ส่งทัพหน้าอันนำโดยชุททาเดนซึ่งเห็นได้ชัดว่าเต็มไปด้วยใจริษยาชิงดีชิงเด่นกับเขาออกไปรบลองเชิงกับทัพไรน์ฮาร์ด ด้วยคำชักชวน- หรือกล่าวให้ถูกคือ ยุยง- ที่ว่า ก่อนอื่น เราควรจะลองรบกับพวกมันดูสักครา เพื่อหยั่งกำลังของพวกมัน ทำให้บรรดาหนุ่ม ๆ ขุนนางฐานันดรกระหายศึกทั้งหลายพากันเฮโลไปเข้าพวกกับชุททาเดนกันเป็นแถว เมลคัทซ์เองได้แต่คิดในใจว่า เห็นทีคงต้องปล่อยให้ไปโดนสั่งสอนกลับมาสักทีกระมัง จึงจะรู้จักเจียมตัวกัน จะว่าไปเขาต้องคิดเช่นนี้เพื่อทำใจปล่อยวางเสียมากกว่า บรรดาขุนนางหนุ่มเหล่านั้น เตรียมการออกรบกันอย่างเอิกเกริก โดยไม่คิดจะอำพรางสถานการณ์ใด ๆ ทั้งสิ้น ทำให้ข่าวกรองที่ว่า กองโจรเถื่อน เตรียมจะออกรบ มาถึงหูของไรน์ฮาร์ดอย่างรวดเร็ว เรียกมิตเตอร์ไมเยอร์มา ทันทีที่ผู้การโวล์ฟกัง มิตเตอร์ไมเยอร์ เจ้าของร่างสันทัดท่าทางทะมัดทะแมงคล่องแคล่วมาปรากฏตัวต่อหน้า ไรน์ฮาร์ดก็ถามว่า ได้ยินมาว่า เจ้าเคยเรียนวิชาทฤษฎียุทธวิธีจากชุททาเดนเมื่อสมัยเรียนอยู่ในโรงเรียนนายร้อยใช่หรือไม่ ถูกต้องแล้ว มีอะไรหรือขอรับ? คลื่นลูกแรกของพวกขุนนางฐานันดร... พวกกองโจรเถื่อนนั่นแหละ นำโดยชุททาเดนที่ว่า ได้ยินว่ากะจะมาลองรบดูเชิงกับทัพเราสักครั้ง เช่นนั้นหรือขอรับ อืม ได้เวลาเริ่มแล้วสินะขอรับ ผู้การหนุ่มผู้กล้าหาญยังคงมีท่าทีไม่สะทกสะท้าน ว่าอย่างไร เจ้าพอจะเอาชนะได้หรือไม่ แววยิ้มที่ปรากฏวาบในนัยน์ตาของมิตเตอร์ไมเยอร์นั้นช่างเต็มไปด้วยความเชื่อมั่นอย่างเต็มเปี่ยม อาจารย์ชุททาเดนนั้นเป็นบุคคลที่เปี่ยมด้วยความรู้ในทางทฤษฎีก็จริง แต่ในยามที่ทฤษฎีกับความเป็นจริงกำลังจะขัดแย้งกันแล้ว เขาเป็นคนที่เลือกเชื่อทฤษฎีไว้ก่อนขอรับ สมัยเรียน พวกข้าพเจ้าแอบเรียกแกว่า ชุททาเดนจอมคร่ำครึน่ะขอรับ ดีล่ะ ถ้าเช่นนั้น เราขอสั่งเจ้า จงนำกำลังกองเรือรบมุ่งหน้าออกไปยังหมู่ดาวอาร์ธีนา และทำศึกกับอดีตอาจารย์ของเจ้า ณ ที่นั้น อีก 5 วันให้หลังเราก็คงจะตามไปถึง ระหว่างนั้น เจ้าจะสู้กับเขาดูสักตั้งหนึ่งก็ได้ หรือจะตั้งรับก็ได้ รายละเอียดในแนวหน้าให้เจ้าตัดสินใจได้เองทั้งหมด รับบัญชาขอรับ! มิตเตอร์ไมเยอร์คำนับคราหนึ่งแล้วก็หันกายกลับไป เดินสวบ ๆ ออกจากสะพานเรือ (ห้องบัญชาการ) ของเรือธงบรุนฮิลด์ในทันที นี่นับเป็นเกียรติยศอย่างสูงในฐานะนายทหาร ที่ได้รับความไว้วางใจให้นำทัพหน้าออกไปรบเป็นคนแรก ขณะนั้นเป็นวันที่ 19 เมษายน ปีจักรวรรดิที่ 488 ปีสากลอวกาศที่ 797 สงครามที่ผู้คนขนานนามว่า สงครามลิปสตัต ก็ได้เปิดฉากขึ้นดั่งนี้เอง
ทัพของทั้งสองฝ่ายเคลื่อนมาประจันหน้ากันที่บริเวณห้วงอวกาศว่างเปล่าระหว่างดาวฤกษ์ใกล้ ๆ กับระบบดาวฤกษ์อาร์ธีนา แต่ทัพของมิตเตอร์ไมเยอร์กลับจัดวางทุ่นระเบิดนิวเคลียร์จำนวน 6 ล้านทุ่นไว้ด้านหน้าทัพของตน เพื่อป้องกันการโจมตีของฝ่ายตรงข้าม จากนั้นก็จัดทัพ แปรขบวนใหม่เป็นรูปทรงกลม แล้วหยุดทัพนิ่งอยู่ด้านหลังสนามทุ่นระเบิดอยู่เช่นนั้น ไม่มีความเคลื่อนไหวใดอีก เวลาผ่านไปหนึ่งวันก็แล้ว สองวันก็แล้ว ทัพของมิตเตอร์ไมเยอร์ก็ยังคงนิ่งอยู่เช่นเดิมไม่มีทีท่าจะเคลื่อนออกจากพิกัดอวกาศ (Point) นั้นเลย ชุททาเดนถูกไม้นี้เข้าถึงกับตกอยู่ในอาการหวาดระแวงไปในทันที มิตเตอร์ไมเยอร์ผู้เลื่องชื่อในด้านการเดินทัพเร็วและห้าวหาญ จนกระทั่งได้รับสมญานาม หมาป่าเจ้าพายุ (Wolf der Schtromm) เหตุใดจึงไม่เคลื่อนทัพใด ๆ เอาแต่ตั้งรับนิ่งอยู่เช่นนี้เล่า ทั้งที่ได้รับคำสั่งมาให้เป็นทัพหน้าแท้ ๆ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็คิดได้เพียงอย่างเดียวว่า เขาจะต้องกำลังวางแผนทำอะไรอยู่เป็นแน่ แต่จะเป็นแผนอุบายใดเล่า? ด้วยเหตุนี้ ชุททาเดนก็ไม่สามารถเคลื่อนไหวใด ๆ ได้เช่นกัน แต่ก็มีบุคคลกลุ่มหนึ่งที่หงุดหงิดใจกับอาการคิดมากของชุททาเดน นั่นคือ บรรดาขุนนางหนุ่มที่ตามเขามาในทัพนี้นั่นเอง สำหรับพวกเขาแล้ว นับแต่เกิดมาก็เรียกได้ว่าเพียบพร้อมด้วยลาภยศสรรเสริญ ชีวิตไม่เคยมีอุปสรรคใด ๆ ยามจะเดินยังแทบจะไม่ต้องเดินด้วยเท้าของตนเองเสียด้วยซ้ำ จนกระทั่งพาลคิดไปว่า ความสำเร็จนั้น คือสิ่งที่เกิดขึ้นได้โดยอัตโนมัติ ไม่ต้องอาศัยความสามารถหรือความพยายามใด ๆ ทั้งสิ้น หากพวกเขาคิดอยากจะรบชนะแล้วไซร้ นั่นหมายความว่าพวกเขาต้องชนะอย่างไม่มีข้อแม้ใด ๆ ทั้งสิ้น ท่าทีระแวดระวังเกินไปของชุททาเดน จึงมีความหมายกับพวกเขาเพียงว่า แม่ทัพของตนกำลังขลาดกลัวที่จะรบ หาได้มีความหมายอื่นประการใดไม่ ในบรรดาพวกเขา มีบางคนถึงกับเอ่ยปากตำหนิเช่นนี้ออกมาตรง ๆ อย่างไม่เกรงใจ ในขณะที่พวกเขาให้ความสำคัญกับความรู้สึกของตนเองมากเท่าไร พวกเขาก็ขาดความอาทรต่อความรู้สึกของผู้อื่นมากเท่านั้น นั่นเอง ชุททาเดนเองนั้น ถึงแม้จะต้องเจ็บใจกล้ำกลืนกับน้ำคำที่พวกเขาบริภาษดูถูกมาเพียงใดก็ตาม ก็ได้แต่พยายามเกลี้ยกล่อมและควบคุมไม่ให้พวกเขาทำอะไรโดยพลการ นี่นับเป็นงานที่ต้องอาศัยความพยายามสูงสุดเลยทีเดียว น่าจะได้จังหวะเหมาะแล้วนะ ข้าพเจ้าจะขอตอบแทนพระคุณของท่านอาจารย์ชุททาเดนให้สาสม ณ บัดนี้ล่ะ มิตเตอร์ไมเยอร์ออกคำสั่งแก่บรรดาลูกน้องของเขาอีกครั้ง ขณะนั้นเป็นเวลาเกือบจะสิ้นสุดวันที่สาม นับแต่กองกำลังของทั้งสองฝ่ายตั้งประจันกันอยู่ ... สารสำคัญชิ้นหนึ่งได้ถูกนำมารายงานต่อชุททาเดนโดยนายทหารสื่อสาร กล่าวคือ จากการวิเคราะห์เสียงที่ดักฟังได้ ได้ความว่า ระหว่างที่มิตเตอร์ไมเยอร์เอาแต่ตั้งรับไม่ยอมรบอยู่เช่นนี้ ทัพใหญ่ของมาร์ควิส ไรน์ฮาร์ด ฟอน โรเอนกรัมกำลังเคลื่อนเข้ามาใกล้ทุกขณะ มิตเตอร์ไมเยอร์กำลังคาดหวังที่จะรอสมทบกับทัพใหญ่ของตน แล้วอาศัยกำลังที่เหนือกว่าอย่างทาบไม่ติดเข้าบดขยี้ทัพของชุททาเดนนั่นเอง นี่อาจจะเป็นข้อมูลปลอมที่มิตเตอร์ไมเยอร์จงใจปล่อยออกมาก็ได้ ชุททาเดนคิดไปเช่นนั้น แต่ถ้าหากมันเป็นข้อมูลจริงขึ้นมาเล่า? ก็ย่อมเป็นเหตุผลได้อย่างดีว่า เหตุใดมิตเตอร์ไมเยอร์จึงเอาแต่ตั้งรับอย่างแน่นหนาโดยไม่ยอมออกรบ แต่ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง แปลว่า มิตเตอร์ไมเยอร์จงใจปล่อยข่าวสารจริงให้รั่วออกมากระนั้นหรือ? เช่นนี้ ทำเอาชุททาเดนถึงกับสับสน เขาไม่สามารถมองหาความสมเหตุสมผลในการกระทำของมิตเตอร์ไมเยอร์ได้นั่นเอง สิ่งที่เขาตัดสินใจได้ มีเพียงสั่งให้เพิ่มความระมัดระวังในการตรวจการณ์มากกว่าเดิมอีก เพื่อป้องกันการจู่โจมฉับพลันเท่านั้นเอง และความไม่พอใจของบรรดาขุนนางหนุ่มก็มาถึงจุดที่พร้อมจะระเบิดออกได้ทุกเมื่อ คำสั่งของแม่ทัพตนช่างเป็นคำสั่งที่แสดงถึงความขลาดกลัวและไม่สบอารมณ์โก๋เสียนี่กระไร ก็ที่พวกตนอุตส่าห์ดั้นด้นเดินทัพมาจนถึงพิกัดอวกาศนี้ก็เพื่อที่จะรบกับข้าศึกสักครั้ง เพื่อหยั่งกำลังข้าศึก และสุดท้ายก็เพื่อเอาชนะประเดิมชัยเพื่อสร้างขวัญให้กับพวกตนมิใช่หรือ? ดูท่า พวกตนจะหวังพึ่งแม่ทัพคนนี้หาได้ไม่เสียแล้ว ดีล่ะ ถ้าเป็นเช่นนี้ พวกตนก็จะขออาศัยกำลังของตนเองล่ะ บรรดาขุนนางฐานันดรเหล่านี้ประชุมกันแล้วก็ได้มติเป็นเอกฉันท์ เรียกร้องให้ชุททาเดนอนุญาตให้ออกรบ หรือจะกล่าวได้ถูก เป็นการข่มขู่ฝ่ายหลังให้ทำตามความต้องการของตนเสียมากกว่า หากปฏิเสธพวกเขาแล้วไซร้ มีหวังได้จับชุททาเดนไปขังไว้ แล้วก็พาทัพของตนเข้ารบอย่างสะเปะสะปะเป็นแม่นมั่น ในที่สุดชุททาเดนก็ต้องยอมโอนอ่อนผ่อนตาม เขาสั่งให้เตรียมการรบได้ แต่อย่างไรก็ดี เขาก็ยังพยายามที่จะควบคุมบรรดาขุนนางเหล่านั้นให้อยู่ในระเบียบของกองทัพ และได้เสนอแผนยุทธวิธีขึ้นมาแผนหนึ่ง กล่าวคือ ให้แบ่งทัพของตนออกเป็นสองส่วน แล้วแยกเป็นซ้ายขวา วิ่งอ้อมสนามทุ่นระเบิดไป ทัพทางซ้ายจะพุ่งเข้ารบกับทัพมิตเตอร์ไมเยอร์ก่อนซึ่ง ๆ หน้า แล้วในจังหวะนั้น ทัพทางขวาก็จะพุ่งเข้าโจมตีทัพมิตเตอร์ไมเยอร์จากด้านข้างและด้านหลัง โอบล้อมบีบบังคับให้ฝ่ายตรงข้ามต้องถอยร่นเข้าหาสนามทุ่นระเบิดไป สำหรับชุททาเดนแล้ว นี่ย่อมเป็นแผนยุทธวิธีที่ คร่าว ๆ เหลือจะเอ่ยว่าเป็นแผนได้ แต่เขาก็ตระหนักดีว่า ต่อให้วางแผนให้ละเอียดไปก็ไร้ประโยชน์ เห็นได้ชัดเจนว่าบรรดาผู้ร่วมทัพของตนขาดความร่วมมือประสานงานที่จะทำตามแผนได้อย่างรัดกุม ชุททาเดนเริ่มรู้สึกเสียใจว่าตนไม่น่าจะเสนอตัวรับนำทัพเช่นนี้มาเลย แต่ในเมื่อการณ์มาถึงป่านนี้แล้ว ก็ได้แต่รีบเร่งทำลายทัพของมิตเตอร์ไมเยอร์เสีย แล้วรีบถอนตัวก่อนที่ทัพใหญ่ของไรน์ฮาร์ดจะเคลื่อนมาถึงให้เร็วที่สุด ยิ่งเร็วเท่าไรยิ่งดี เขาเลือกเป็นผู้นำทัพซ้าย ส่วนทัพทางขวาก็มอบหมายให้ขุนนางหนุ่มคนหนึ่งนามว่า เคานท์ ฟอน ฮิลเดสไฮม์เป็นผู้นำ แล้วเริ่มออกปฏิบัติการ เคานท์ฟอนฮิลเดสไฮม์รีบนำทัพของตนเคลื่อนออกไปอย่างรวดเร็ว เขาไม่คิดจะสะกดเก็บความตื่นเต้นที่จะได้รบและความกระหายในความสำเร็จของตนเองแม้แต่น้อย ด้วยเหตุนี้ กำลังรบ 8,000 ลำของเขานั้น มองเผิน ๆ เหมือนจะเคลื่อนทัพไปอย่างรวดเร็วก็จริง แต่หาได้มีความเป็นระเบียบและมีการจัดรูปขบวนรบแต่อย่างใดไม่ แน่นอนว่า ในเวลาเดียวกัน มิตเตอร์ไมเยอร์ก็ได้สั่งเคลื่อนทัพของตนเองเรียบร้อยแล้ว... ไปสู่ตำแหน่งที่ห่างออกไปจากสนามทุ่นระเบิดอีกไกลพอควร มองจากด้านบนแล้ว จะเห็นว่า ทัพของฮิลเดสไฮม์กำลังถูกขนาบด้วยสนามทุ่นระเบิดและทัพของมิตเตอร์ไมเยอร์นั่นเอง จากทิศสามนาฬิกา ลำแสงพลังงาน, มิสซายล์จำนวนมาก กำลังเข้ามาใกล้ขอรับ! ขณะที่บรรดาโอเปอเรเตอร์ของเรือรบแต่ละลำในทัพของฮิลเดสไฮม์กำลังระล่ำระลักรายงานด้วยความหวาดกลัวสุดขีดนั้นเอง ระเบิดอันเนื่องจากปฏิกิริยาปรมาณูก็เกิดขึ้นเป็นลูกแรก ก่อให้เกิดแสงสว่างวาบสีขาวโพลน ก่อนที่แสงจากระเบิดครั้งแรกจะทันได้จางหายไป การระเบิดครั้งที่สอง สาม สี่ ก็ตามมาติด ๆ ลำแสงพลังงานเอย จรวดมิสซายล์ปรมาณูเอย ลูกกระสุนของปืนใหญ่เรลแคนนอนเอย ถูกสาดเข้ามาด้วยความเร็วสูง ไม่เปิดโอกาสให้ฝ่ายรับได้ขยับตัวหนีใด ๆ ทั้งสิ้น แสงสีขาวและสีรุ้งสว่างวาบขึ้นรอบข้าง ดุจจะห่อหุ้มคลองจักษุไว้ทั้งหมด และเมื่อแสงเหล่านั้นหายไป สิ่งที่เหลืออยู่ ก็มีเพียงความว่างเปล่าเท่านั้น เซลล์ร่างกายของมนุษย์ที่ถูกแผดเผา ฉีกขาดเป็นจุลนั้น สลายตัวเป็นอะตอม กลายส่วนหนึ่งของฝุ่นผงอวกาศไป ไม่แน่ว่าอีกกี่ร้อยล้านปีให้หลัง มันจะได้มีโอกาสเป็นส่วนประกอบของดาวฤกษ์ดวงใหม่อีกก็ได้ ตัวของเคานท์ ฟอน ฮิลเดสไฮม์เองก็เสียชีวิตในสนามรบโดยที่ตัวเองก็ยังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าเกิดอะไรขึ้น และน่าจะเป็นขุนนางฐานันดรคนแรก ที่เสียชีวิตในสนามรบ ในสงครามกลางเมืองครั้งนี้ด้วย หลังจากบดขยี้ทัพของฮิลเดสไฮม์ที่สู้อย่างจนตรอกจนราบเป็นหน้ากลองแล้ว มิตเตอร์ไมเยอร์ก็เคลื่อนทัพเดินหน้าต่อไปในทิศตามเข็มนาฬิกา อ้อมผ่านสนามทุ่นระเบิด ไปเข้าตีด้านหลังของทัพชุททาเดนต่อทันที นับเป็นการสร้างสถานการณ์ได้เปรียบในการรบแก่ฝ่ายตนอย่างสูงสุด กล่าวคือ โจมตีข้าศึกที่มีกำลังเหลือเพียงครึ่งเดียว จากด้านหลัง หากมิใช่ หมาป่าเจ้าพายุ แล้วไซร้ จะมีใครทำเช่นนี้ได้อีกเล่า?
|