นวนิยายแฟนตาซีอวกาศเรื่องยาว

วีรบุรุษทางช้างเผือก เล่ม ๒ : ความทะเยอทะยาน
銀河英雄伝説 第二巻:野望篇

เรื่อง โดย ทะนะกะ โยะชิกิ (田中芳樹) แปลโดย Pae

บทที่ 4 หลั่งเลือดท่วมผืนฟ้า
-4-


ป้อมปราการเรนเทนแบร์กซึ่งแต่เดิมดยุคฟอนเบราสไวก์เคยหมายจะให้เป็นฐานที่มั่นแห่งที่ 3 ในแผนยุทธศาสตร์เดิมของตนนั้น เป็นดาวเคราะห์เล็กดวงหนึ่งในหมู่ดาวแฟลร์ ถึงแม้นจะมิได้เป็นป้อมปราการใหญ่ดั่งเช่นป้อมปราการอิเซลโลนก็ตาม แต่ก็มีนายทหารน้อยใหญ่ประจำการอยู่นับล้านนาย และมีกองเรือรบประจำป้อมขนาดเรือนหมื่น อีกทั้งมีประสิทธิภาพพร้อมในทุกด้านไม่ว่าจะเป็นการรบ, การสื่อสาร, การส่งกำลังบำรุง, การบำรุงรักษา (ซ่อมแซม), การรักษาพยาบาล ฯลฯ นับเป็นฐานที่มั่นสำคัญของทัพพันธมิตรขุนนาง

ชุททาเดนซึ่งพ่ายศึกต่อมิตเตอร์ไมเยอร์ และถูกตามล่าจากกองกำลังของไรน์ฮาร์ดนั้น ได้รับการคุ้มครองจากบรรดาทหารแตกทัพที่หนีรอดมาด้วยกัน จนมาถึงป้อมแห่งนี้ได้ในที่สุด และเข้ารับการพยาบาลพักฟื้นบาดแผลทั้งกายใจอยู่ ณ ที่นี้เอง

หากเป็นเพียงเรื่องเท่านั้นไซร้ ไรน์ฮาร์ดอาจจะมองข้ามป้อมปราการนี้ไปอย่างไม่แยแส ประดุจเป็นก้อนหินริมทางเท่านั้นก็เป็นได้ แต่ในเมื่อป้อมปราการแห่งนี้เพียบพร้อมไปด้วยศูนย์ควบคุมการรบที่มีดาวเทียมสอดแนมและทุ่นเรดาร์อวกาศจำนวนมาก อีกทั้งยังมีเครื่องปล่อยคลื่นรบกวนสัญญาณการสื่อสารเอย โรงซ่อมแซมเรือรบอวกาศเอย และที่สำคัญจำนวนทหารประจำการในป้อมก็มีเป็นจำนวนมากและประจำการอยู่ตั้งแต่ก่อนเริ่มสงครามกลางเมืองนี้แล้ว หากเคลื่อนทัพผ่านไป อาจจะถูกก่อกวนจากเบื้องหลังก็เป็นได้ วัชพืชที่สร้างความรำคาญใจนั้น ย่อมต้องรีบถอนทิ้งตั้งแต่เนิ่น ๆ ยังไม่แพร่ขยายพันธุ์มากจึงจะดีที่สุด

“ทุ่มกำลังรบทั้งหมดเข้ายึดป้อมเรนเทนแบร์กให้จงได้!”

ไรน์ฮาร์ดตัดสินใจเช่นนั้น เขาเรียกประชุมผู้การทั้งหมดในสังกัดของตนที่สะพานเรือของเรือธงบรุนฮิลด์ จากนั้นก็ออกคำสั่งดังกล่าวโดยฉายภาพภาคตัดและภาพในมุมต่าง ๆ ของป้อมปราการให้ดูประกอบไปด้วย

เมื่อครั้งที่ยึดสถานที่สำคัญทางการทหารในโอดีน ไรน์ฮาร์ดยึดได้เอกสารและข้อมูลลับสำคัญเป็นจำนวนมาก รวมทั้งข้อมูลของป้อมเรนเทนแบร์กแห่งนี้ด้วย ข้อมูลทั้งจุดแข็งและจุดอ่อนของป้อมล้วนอยู่ในมือของไรน์ฮาร์ดจนหมดสิ้น อีกทั้งข้าศึกก็คงไม่มีเวลาเพียงพอที่จะเสริมจุดอ่อนนั้นได้ทันด้วย

ในการโจมตีเพื่อยึดป้อมปราการเรนเทนแบร์ก ประเด็นสำคัญอยู่ที่ช่องทางเดินที่ 6 ทั้งนี้ป้อมปราการอันสร้างขึ้นจากการดัดแปลงดาวเคราะห์ทั้งดวงนี้ มีเตาปฏิกรณ์ปรมาณูตั้งอยู่ที่ใจกลางดวงดาวและคอยป้อนพลังงานให้กับป้อมปราการทั้งป้อม ช่องทางเดินที่ 6 ดังกล่าวเป็นเส้นทางสั้นที่สุดจากกำแพงภายนอกของป้อมที่จะนำไปสู่ตัวเตาปฏิกรณ์นี้ได้ หากเข้ายึดเตาปฏิกรณ์ได้โดยผ่านทางเส้นทางดังกล่าว ก็ย่อมจะควบคุมป้อมทั้งป้อมไว้ในกำมือได้ ปัญหาคือ หากใช้อาวุธสาดจากภายนอกแล้วพลาดไปโดนเตาเข้า ก็จะทำให้ป้อมทั้งป้อมระเบิดเป็นจุลได้เช่นกัน

สรุปก็คือ ไม่มีวิธีอื่นนอกจากยุทธวิธียกพลขึ้นบก ส่งหน่วยจู่โจมเข้าไปยึดเตาโดยตรง

3 วันให้หลัง เมื่อทัพใหญ่ของไรน์ฮาร์ดเคลื่อนมาประชิดป้อมปราการเรนเทนแบร์กแล้ว พวกเขาก็เริ่มลงมือโจมตีป้อมปราการเต็มพิกัดรบทันที แม่ทัพผู้รับผิดชอบยุทธการตีป้อมครั้งนี้คือ รอยเอนธาลและมิตเตอร์ไมเยอร์

เริ่มต้นจากการทักทายด้วยปืนใหญ่ระยะไกล จากนั้นกองเรือรบประจำป้อมเรนเทนแบร์กก็พากันยกขบวนออกมาหมายจะทำศึกกองเรือรบกันในห้วงอวกาศ แต่ทัพของไรน์ฮาร์ดก็ต้อนรับด้วยกำแพงหนาแน่นของขบวนเรือพิฆาตซึ่งมีความทนทานสูงและมีอาวุธรุนแรง แล้วใช้กองเรือจู่โจมเร็วสาดอาวุธเข้าโจมตีข้าศึกจากปีกทั้งสองด้าน ลำแสงพลังงาน (บีม) และจรวดมิสซายล์ที่สาดประสานถักทอเป็นลวดลายแห่งความตาย ก่อให้เกิดระเบิดเพลิงจำนวนนับไม่ถ้วนประดับในห้วงอวกาศอันมืดมิดแห่งนั้น ประดุจลวดลายลูกปัดที่ตกแต่งบนผืนผ้าสีดำกระนั้น

เพียงไม่ถึงชั่วโมงที่ประทะกัน ทัพข้าศึกซึ่งสูญเสียเรือรบไปกว่าครึ่งก็พากันหนีกลับเข้าไปในป้อมปราการ บรรดาเรือรบในบัญชาการของรอยเอนธาลและมิตเตอร์ไมเยอร์รีบเร่งขบวนตามตีข้าศึกที่กำลังแตกหนีไปอย่างกระชั้นชิด จนทำให้บรรดาพลประจำปืนของป้อมปราการเรนเทนแบร์กต้องชะงักมือไปชั่วขณะ ด้วยเกรงว่าจะยิงไปโดนพวกเดียวกัน กว่าพวกเขาจะตั้งสติได้ ทัพของฝ่ายไรน์ฮาร์ดส่วนนั้นก็ล่วงล้ำเข้าไปถึงบริเวณปลอดภัยซึ่งเป็นมุมอับจากการยิงของปืนใหญ่ในป้อมเสียแล้ว ทั้งนี้ด้วยข้อมูลที่ได้จากแบบแปลนของป้อมนั่นเอง

บรรดาทหารช่างในชุดอวกาศพากันออกไปเจาะผนังป้อมด้วยเลเซอร์ไฮโดรเจน จากนั้นเรือสะเทินบกซึ่งปรับความเร็ว (ซิงโครไนซ์) ให้เข้ากับการหมุนรอบตัวเองของป้อมปราการก็แล่นเข้าไปเทียบ- ทอดสะพาน- ส่งบรรดาหน่วยจู่โจมนาวิกโยธินในชุดเสื้อเกราะออกไประลอกแล้วระลอกเล่า ทั้งมิตเตอร์ไมเยอร์และรอยเอนธาลก็ได้นั่งไปกับเรือสะเทินบกลำหนึ่งด้วย แล้วจัดตั้งกองบัญชาการจู่โจมเฉพาะกิจขึ้นในแนวหน้า ติดตามสั่งการอย่างใกล้ชิดผ่านทางกล้องโทรทัศน์วงจรปิด

แต่เดิม ใคร ๆ ก็คาดว่า การบุกยึดป้อมครั้งนี้คงสำเร็จได้ไม่เร็วก็ช้าเท่านั้นเอง แต่บัดนี้ สีหน้าของผู้บัญชาการโจมตีทั้งสองคนกลับเต็มไปด้วยความเคร่งเครียด ทั้งนี้เพราะพวกเขาได้รับข่าวว่า ผู้บัญชาการป้องกันช่องทางเดินที่ 6 ของฝ่ายตรงข้าม คือ ผู้บัญชาการสูงสุดหน่วยทหารนาวิกโยธินแห่งจักรวรรดิ-ออฟเฟรซเซอร์นั่นเอง




พลเอกพิเศษออฟเฟรซเซอร์ ผู้บัญชาการสูงสุดหน่วยทหารนาวิกโยธินนี้ เป็นชายร่างสูงใหญ่ วัยช่วงสี่สิบตอนท้าย โครงร่างที่สูงใหญ่กว่าคนธรรมดาและห่อหุ้มด้วยเนื้อหนังที่แข็งแกร่งบึกบึน เป็นบุรุษที่เต็มไปด้วยรังสีอำมหิตและความกระหายเลือดประดุจวัวกระทิงเปลี่ยวที่ถูกยั่วยุจากมาธาร์ดอร์

บนโหนกแก้มข้างซ้ายของเขายังมีรอยแผลสีม่วงคล้ำที่ถูกน่ากลัวประดับอยู่ นี่เป็นหลักฐานแห่งความเป็นนายทหารชาญศึกของเขานั่นเอง ในครั้งหนึ่งระหว่างทำศึกกับทัพของสมาพันธ์ดาวเคราะห์เสรี เขาถูกทหารข้าศึกผู้หนึ่งยิงปืนเลเซอร์เข้าใส่ในระยะประชิดตัว กรีดตัดหนัง, เนื้อ และกระดูกบางส่วนบนโหนกแก้มไป แน่นอนว่า ข้าศึกผู้นั้นย่อมได้รับการตอบแทนการกระทำของตนอย่างสาสมเช่นกัน กล่าวคือ ถูกฟาดกระโหลกจนป่นปี้ในคราวเดียว ด้วยขวานศึก (โทมาฮอร์ก) คู่มือของออฟเฟรซเซอร์นั่นเอง

ขวานศึก (โทมาฮอร์ก) ที่ใช้ในการรบตะลุมบอนนี้ โดยทั่วไปจะทำจากผลึกคาร์บอนซึ่งมีความแข็งเทียบเท่ากับเพชรเลยทีเดียว ขนาดมาตรฐานยาว 85 เซนติเมตร หนัก 6 กิโลกรัม สามารถใช้ถือและฟาดฟันด้วยมือข้างเดียวได้ แต่โทมาฮอร์กของออฟเฟรซเซอร์นั้นยาวถึง 150 เซนติเมตรและหนัก 9.5 กิโลกรัม เป็นอาวุธสำหรับถือสองมือ

ด้วยโทมาฮอร์กอันมหึมานี้ ผนวกกับความสามารถในการต่อสู้และกำลังแขนอันมหาศาลของออฟเฟรซเซอร์แล้ว พลานุภาพของมันย่อมเหลือเกินคณานับเลยทีเดียว ต่อให้ชุดเสื้อเกราะ (อาร์เมอร์สูท) จะสามารถทนทานต่อคมขวานได้บ้างก็ตาม แต่ร่างกายผู้ที่อยู่ภายในกลับต้องได้รับความเสียหายอย่างไม่ต้องสงสัย ระดับเบาะ ๆ ก็แขนหัก ถ้าโดนเข้าที่ลำตัวก็ช้ำใน อวัยวะภายในบอบช้ำ แม้ไม่ถึงที่ตายในคราวเดียว ก็หมดสมรรถภาพที่จะสู้ต่อไปได้เป็นแม่นมั่น

“ถ้าเจอกับออฟเฟรซเซอร์ตัวต่อตัวละก็ ท่านจะทำอย่างไรหรือ?”

“วิ่งหนีโดยไม่ต้องคิดมากเลยนะสิ”

“ข้าพเจ้าก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน หมอนั่นมันเป็นสัตว์ร้ายชนิดหนึ่งที่เกิดขึ้นมาเพื่อฆ่าคนโดยเฉพาะแท้ ๆ ทีเดียว”

บทสนทนาระหว่างรอยเอนธาลและมิตเตอร์ไมเยอร์มีความดังข้างต้น พวกเขาเองก็นับเป็นนายทหารที่เชี่ยวชาญด้านการต่อสู้ประชิดตัว ทั้งการยิงปืนและการสู้ด้วยขวานศึกอยู่ในระดับแนวหน้าเลยทีเดียว แต่นี่ก็ยิ่งทำให้พวกเขาต้องยอมรับว่า ออฟเฟรซเซอร์นั้นร้ายกาจเกินกว่าคนธรรมดามากนัก ศัตรูที่แข็งแกร่งจนถึงขนาดที่ว่า ถ้าเจอแล้วให้รีบหนีได้โดยไม่ต้องรู้สึกอับอายนั้น มีอยู่จริงในจักรวาลนี้ คนที่ไม่สามารถแยกแยะความสามารถของตนกับศัตรูได้นั้น เรียกว่าพวกบ้าบิ่น หรือไม่ก็พวกโง่เง่าถึงขนาดต่างหาก

หากแต่คนทั้งสองในตอนนี้ ไม่อยู่ในฐานะที่จะบอกบรรดาลูกน้องของตนได้ว่า “ถ้าสู้ไม่ได้ให้หนี” แต่อย่างไร ภารกิจของพวกเขาคือ การบุกยึดช่องทางเดินที่ 6 นี้ให้สำเร็จโดยไม่ทำลายด้วยอาวุธระเบิดใด ๆ อีกทั้งชุดเสื้อเกราะ (อาร์เมอร์สูท) นั้นก็มีระบบกรองอากาศติดอยู่ พวกเขาย่อมไม่สามารถใช้วิธีปล่อยแกสยาสลบเข้าไปจัดการกับข้าศึกได้ หนทางมีเพียงหนึ่งเดียวคือ รบตะลุมบอนซึ่ง ๆ หน้าเท่านั้น

ช่องทางเดินที่ 6 คงต้องเปลี่ยนสภาพเป็นกองเนื้อและบ่อเลือดของบรรดาทหารฝ่ายไรน์ฮาร์ดในอีกไม่ช้าเป็นแม่นมั่น ด้วยน้ำมือของออฟเฟรซเซอร์และทหารนาวิกโยธินในสังกัดของเขา แต่ไม่ว่าอย่างไร ทั้งมิตเตอร์ไมเยอร์และรอยเอนธาลก็จำต้องออกคำสั่งที่แสนลำบากใจนั้นในที่สุด

“บุกยึดช่องทางเดินที่ 6 ให้ได้ ไม่ว่าจะต้องสูญเสียเท่าไรก็ตาม!”

และสภาพการต่อสู้แบบไร้อารยธรรม ก็เปิดฉากขึ้น ณ ช่องทางเดินที่ 6 ด้วยประการฉะนี้




บุก แล้วก็ถอย

เวลาผ่านไป 8 ชั่วโมง ทหารหน่วยนาวิกโยธินของทัพไรน์ฮาร์ดบุกเข้าไปในช่องทางเดินที่ 6 ถึง 9 ครั้ง แล้วก็ถูกตีพ่ายกลับมาอย่างบอบช้ำทั้ง 9 ครั้ง

กวาดตามองไปในบรรดานายทหารของทัพจักรวรรดิโดยไม่แบ่งฝ่ายว่าเป็นฝ่ายไรน์ฮาร์ดหรือฝ่ายตรงข้าม คงไม่มีนายทหารระดับสูงคนใดที่ได้ “ลงมือ” ฆ่าทหารฝ่ายตรงข้ามด้วยมือของตนเองมากเท่าออฟเฟรซเซอร์อีกแล้ว ชายผู้ซึ่งถือกำเนิดในตระกูลขุนนางฐานันดรชั้นต่ำนี้สามารถไต่เต้าขึ้นมาจนเป็นนายทหารระดับสูงถึงเพียงนี้ได้ ย่อมมิใช่เพราะการเล่นการเมือง, หรือเพราะความสามารถในทางการทหารแต่อย่างไร หากแต่ด้วยปริมาณของเลือดข้าศึกที่หลั่งออกมาเซ่นคมขวานของเขาต่างหาก และบัดนี้ชายผู้นี้ก็ยืนจังก้าอยู่กลางช่องทางเดินที่ 6 ที่มีอนุภาคเซฟเฟิลฟุ้งกระจายอยู่เต็มปิดกั้นการใช้อาวุธระเบิดใด ๆ โดยสิ้นเชิง และกระเหี้ยนกระหือที่จะกวัดแกว่งโทมาฮอร์กคู่ใจเข้าประหัตประหารชีวิตทหารฝ่ายข้าศึกให้ได้มากที่สุด

ขวานศึกของเขาก็เสมือนจะรับทราบถึงความกระหายเลือดของเจ้าของตนและแปรเปลี่ยนตัวเองเป็นอาวุธเพชฌฆาต มันถูกกระหน่ำเข้าไปที่ใด ร่างของทหารฝ่ายไรน์ฮาร์ดก็กลายสภาพเป็นเศษเนื้อปนกระดูกที่นั่น ทุกคราไป

ทั้งมิตเตอร์ไมเยอร์และรอยเอนธาลเอง แม้จะไม่ใช่คนใจอ่อนไหวทั้งคู่ แต่กับภาพที่ปรากฏบนจอโทรทัศน์วงจรปิดที่ถ่ายทอดสภาพการสู้รบในช่องทางเดินที่ 6 ออกมานั้น เมื่อถึงฉากที่ทหารฝ่ายตนผู้หนึ่งถูกฟันขาข้างหนึ่งขาดตั้งแต่เข่าลงไป แล้วพยายามคืบคลานหนีจากความตาย โดยเบื้องหลังมีออฟเฟรซเซอร์สาวเท้าตามอย่างช้า ๆ แล้วเงื้อขวานจามลงไปบนท้ายทอยของทหารผู้เคราะห์ร้ายจนแหลกละเอียดสมองทะลักทันทีนั้น นายทหารหนุ่มทั้งสองก็ต้องเบือนหน้าหนีอย่างทนไม่ได้

ใบหน้าของออฟเฟรซเซอร์ที่มองเห็นภายใต้หมวกนิรภัยที่สวมครอบศีรษะอยู่นั้น แสดงให้เห็นชัดเจนถึงแววอำมหิตสะใจในดวงตาทั้งคู่ของเขา ทั้งมิตเตอร์ไมเยอร์และรอยเอนธาลยอมรับในความสามารถของออฟเฟรซเซอร์ก็จริงแต่ไม่สามารถเอ่ยยกย่องอีกฝ่ายได้เต็มปากนั้นก็ด้วยเหตุนี้เอง นิสัยของอีกฝ่ายนั้นโหดเหี้ยมเกินกว่าที่จะเรียกได้ว่า เหี้ยมหาญตามแบบทหารแล้ว แต่เป็นความโหดเหี้ยมอำมหิตแบบวิปริตเสียมากกว่า และนี่ย่อมไม่เป็นสิ่งที่น่ายกย่องนัก

แต่ไม่ว่าพวกเขาจะคิดอย่างไรกับออฟเฟรซเซอร์ก็ตาม ความจริงเบื้องหน้าที่ปฏิเสธไม่ได้คือ ด้วยน้ำมือของชายผู้นี้เพียงคนเดียวนั่นเองที่ทำให้ภารกิจยึดช่องทางเดินที่ 6 ยังไม่สำเร็จเสียที ส่งผลให้ปฏิบัติการโดยรวมต้องหยุดชะงักลงไปด้วยอย่างช่วยไม่ได้ เมื่อคิดถึงตรงนี้ นายทหารฝ่ายไรน์ฮาร์ดทั้งสองก็ทวีความโกรธแค้นที่มีต่ออีกฝ่ายขึ้น

“หนอย เจ้าหมอนี่ ไว้ชีวิตมันไม่ได้แล้ว...”

มิตเตอร์ไมเยอร์กัดฟันกรอด ๆ พลางกล่าวคำอาฆาต แต่ตรงกันข้ามกับสายตาอันกร้าวแข็งและน้ำเสียงอันเจ็บแค้น ท่าทีของเขากลับดูมีแววท้อแท้อยู่เล็กน้อย หากเป็นการนำทัพเรือรบรบกันในห้วงอวกาศอันไพศาลแล้วไซร้ เขาทั้งสองรับรองได้ว่าไม่เป็นรองใครเป็นแม่นมั่น แต่เมื่อสภาพการต่อสู้ถูกจำกัดเงื่อนไขถึงเพียงนี้ เขาทั้งสองก็อับจนปัญญาต่อความกระหายเลือดและพละกำลังของอีกฝ่ายเช่นกัน

แต่ถึงกระนั้นก็เถิด ขณะที่ทางฝ่ายไรน์ฮาร์ดส่งพลบุกเข้าไปเป็นระลอก ๆ นั้น หน่วยรบของออฟเฟรซเซอร์ได้แต่สู้รบอยู่ชุดเดียว โดยไม่มีการผลัดเปลี่ยนกำลัง ไม่มีเวลาพักผ่อนเลยแม้แต่น้อย แล้วพวกเขายังคงมีทั้งกำลังกายและกำลังใจมาจากไหนได้เล่า?

ในสภาวะปกติแล้ว เป็นไปไม่ได้เลยที่คนคนหนึ่งจะสามารถสวมชุดเสื้อเกราะอันมิดชิดรัดกุมนี้ แล้วทำการสู้รบต่อเนื่องกันได้นานถึง 8 ชั่วโมง!

อาร์เมอร์สูทดังกล่าว เป็นชุดฉนวนความร้อนอย่างดีเลิศ ต่อให้อุณหภูมิของห้วงอวกาศจะเป็น 0 องศาสัมบูรณ์ก็ตาม ก็ไม่มีผลต่อคนที่อยู่ข้างในชุดได้เลย แต่ในทำนองเดียวกัน มันก็ปิดกั้นความร้อนที่ถูกสร้างออกมาจากร่างกายผู้สวมใส่ไม่ให้ระบายไปสู่ภายนอกด้วย ดังนั้นผู้สวมใส่ก็จะต้องทนอยู่กับความร้อนอับภายในชุด และทำให้เหนื่อยเร็วกว่าปกติ หรือต่อให้เปิดเครื่องปรับอุณหภูมิขนาดเล็กที่ติดไว้ในชุดโดยไม่เป็นอุปสรรคต่อการสู้รบนั้นเล่า อย่างมากที่สุดก็ทำได้เพียงแค่ปรับอุณหภูมิให้ต่ำกว่าอุณหภูมิร่างกายได้สัก 7 ถึง 8 องศาเซลเซียสเท่านั้น

ต่อให้บรรดาทหารของออฟเฟรซเซอร์และรวมทั้งตัวผู้นำนั้นกำลังบ้าคลั่งด้วยความเกลียดแค้นชิงชังไรน์ฮาร์ดเป็นการส่วนตัวสักเพียงใดก็ตาม การที่จะทนใส่ชุดเสื้อเกราะอันร้อนระอุ อีกทั้งยังต้องทนต่อสิ่งที่ไม่น่าภิรมย์ต่าง ๆ เช่น เหงื่ออันเหนียวเหนอะหนะของตนเอง, อาการคันต่างๆ , การที่ไม่ได้ปลดทุกข์เบาเป็นเวลานาน, ความอึดอัดจากการใส่ชุดรัดกุม ฯลฯ เหล่านี้ได้นั้น ทั้งที่คนทั่วไปทนได้อย่างมากแค่ 2 ชั่วโมง แต่นี่พวกเขากลับอยู่ในสภาพนี้มาถึง 8 ชั่วโมงแล้วนั้น ย่อมแสดงว่า...

“ไอ้พวกนี้ ใช้ยากระตุ้นสิท่า”

นายทหารทั้งสองสรุปตรงกันเช่นนี้ มีหนทางเดียวเท่านั้นคือ ถ้าไม่ใช้ยากระตุ้นประสาท ก็ใช้ยากล่อมประสาทล่ะ จึงจะทำอะไรได้เหนือคนธรรมดาเช่นนี้ ในจังหวะนั้นเองก็มีสัญญาณติดต่อมาจากไรน์ฮาร์ด ให้ทั้งสองคนรายงานผลการปฏิบัติการในแนวหน้า นายทหารทั้งสองจึงถอนตัวจากศูนย์บัญชาการในแนวหน้าชั่วคราว

“ออฟเฟรซเซอร์ช่างเป็นยอดคนโดยแท้ แต่ของยุคหินนะ”

หลังจากฟังรายงานจบแล้ว ไรน์ฮาร์ดก็วิจารณ์ออกมาด้วยสีหน้าเยือกเย็นพร้อมรอยยิ้มเหยียด เขาหาได้กล่าวตำหนิผู้บัญชาการรบทั้งสองที่กำลังทำหน้าเจื่อน ๆ อยู่ไม่

“ต่อให้ไว้ชีวิตมันก็คงไม่เป็นประโยชน์อันใดต่อฝ่ายเรา อีกอย่างเจ้านั่นก็คงไม่คิดจะมีชีวิตอยู่ต่อไปแล้วด้วยกระมัง พวกเจ้าจัดการฆ่ามันให้สาสมเถิด”

ช้าก่อนขอรับ- เสียงใครบางคนสอดเข้ามาขัดจังหวะ หัวหน้าเสนาธิการของไรน์ฮาร์ด- โอแบร์สไตน์นั่นเอง

“ขอความกรุณาสั่งให้จับเป็นเขามาได้หรือไม่ขอรับ แล้วข้าฯน้อยจะใช้เขาทำประโยชน์แก่ใต้เท้าให้ดู”

“คนหัวดื้อพรรณนั้น ไหนเลยจะยอมทำประโยชน์แก่เราได้ เรายังไม่เห็นทางเลย”

“หัวดื้อแค่ไหน ความคิดของเจ้าตัวหาใช่ปัญหาไม่ขอรับ”

คำพูดนั้นทำให้ไรน์ฮาร์ดต้องขมวดคิ้วเข้าหากัน

“... ล้างสมองรึ?”

ไรน์ฮาร์ดไม่เคยนึกชื่นชอบวิธีการล้างสมองเลยแม้แต่น้อย ไม่ว่าจะด้วยวิธีทางวิทยาศาสตร์ หรือวิธีทางอิเลคทรอนิคส์ก็ตาม

หัวหน้าเสนาธิการของเขากลับหัวเราะอย่างไร้เสียง ตอบว่า

“ข้าฯน้อยไม่ใช้วิธีต่ำ ๆ เช่นนั้นหรอกขอรับ ข้าน้อยมีวิธีที่จะหว่านเมล็ดพันธุ์แห่งความหวาดระแวงและความแตกร้าวเข้าไปในหมู่พันธมิตรขุนนางให้จงได้ขอรับ หากใต้เท้าจะมอบหมายให้ข้าฯน้อยจัดการเรื่องนี้สักครั้ง...”

“ได้ เราตกลงตามเจ้า”

เมื่อไรน์ฮาร์ดตอบจบ ก็มีรายงานจากเจ้าหน้าที่สื่อสารเข้ามา

กล่าวคือ ออฟเฟรซเซอร์กำลังปรากฏตัวอยู่ในจอภาพสื่อสารนั่นเอง ขณะที่เจ้าหน้าที่รายงานถึงว่า เขากำลังกล่าวถ้อยคำหยิ่งผยองในชัยชนะของตนอะไรบางอย่างอยู่นั้น จอภาพก็ถูกตัดต่อเข้ากับภาพดังกล่าวพอดี

“เจ้าเด็กผมทองเมื่อวานซืนเอย เจ้ากล้าพอที่จะมองหน้าเราให้เต็มตาผ่านจอภาพนี้หรือไม่?”

ออฟเฟรซเซอร์ปรากฏร่างยักษ์ของเขาขึ้นเต็มจอภาพโดยที่ยังคงสวมหมวกนิรภัยของชุดเสื้อเกราะอยู่ อาร์เมอร์สูทของเขานั้นเต็มไปด้วยรอยเลือดของศัตรูกระดำกระด่างไปทั่ว บางแห่งถึงกับยังมีเศษเนื้อติดอยู่ให้เห็นเสียด้วยซ้ำ รอบ ๆ กายของไรน์ฮาร์ดพลันปรากฏเสียงพึมพำด้วยความโกรธแค้นระคนหวั่นกลัวจากนายทหารในสะพานเรือนั้น

บุรุษมหาภัยร่างยักษ์ยืนหยัดอยู่ในสภาพนั้นแล้วก็เริ่มด่าทอไรน์ฮาร์ดเสีย ๆ หาย ๆ ผ่านระบบสื่อสารในหมวกนิรภัยของเขา เริ่มตั้งแต่ว่า ไอ้คนสารเลวที่ทรยศต่อเจ้า, คนขี้ขลาด, คนเจ้าเล่ห์, ไอ้คนที่อาศัยแต่โชคจนกระทั่งได้ดิบได้ดีถึงปูนนี้ สุดท้ายก็มาถึงคำที่ว่า

“ไอ้ตัวสำส่อนทั้งพี่ทั้งน้อง ที่ใช้แผนชั่วพลีกายปรนเปรอสวาทจักรพรรดิ์องค์ก่อนจนลุ่มหลงมัวเมา...”

ในพริบตานั้นเอง สีหน้าอันเปี่ยมด้วยภูมิปัญญาก็หายวับไปจากใบหน้าสะสวยของไรน์ฮาร์ดและถูกแทนที่ด้วยเพลิงพิโรธในทันใด นัยน์ตาสีไอซ์บลูทอประกายอสนีบาตแปลบปลาบ ได้ยินแม้กระทั่งเสียงขบฟันดังกรอดที่ดังลอดออกมาจากริมฝีปากบางงามคู่นั้น

“รอยเอนธาล! มิตเตอร์ไมเยอร์!”

“ขอรับ!”

“ลากคอไอ้คนถ่อยนั่นมาต่อหน้าเราให้ได้ จะตัดแขนตัดขามันอย่างไรก็สุดแท้แต่เจ้า แต่ห้ามฆ่ามันเด็ดขาด เราจะฉีกปากสกปรกของมันด้วยมือของเราเอง!”

ผู้การหนุ่มทั้งสองต้องหันมาสบตากัน นี่นับเป็นภาระอันหนักอึ้งจริง ๆ พลางก็แอบคิดในใจว่า เจ้านายหนุ่มของตนก็เป็นคนที่มีเลือดเนื้อมีจิตใจมีอารมณ์อ่อนไหวเป็นกับเขาเหมือนกันด้วยหรือ

(อ่านตอนต่อไป)


กลับไปอ่านตอนที่แล้ว +++ กลับไปหน้าสารบัญ +++ ไปอ่านตอนต่อไป 1