นวนิยายแฟนตาซีอวกาศเรื่องยาว

วีรบุรุษทางช้างเผือก เล่ม ๒ : ความทะเยอทะยาน
銀河英雄伝説 第二巻:野望篇

เรื่อง โดย ทะนะกะ โยะชิกิ (田中芳樹) แปลโดย Pae

บทที่ 4 หลั่งเลือดท่วมผืนฟ้า
-5-


เบื้องหน้าของหน่วยนาวิกโยธินทัพไรน์ฮาร์ดที่กำลังเตรียมการจะบุกครั้งที่ 10 นั้น ซากศพของทหารฝ่ายเดียวกันกองอยู่เป็นภูเขา ถัดออกไป ทหารในชุดเสื้อเกราะฝ่ายตรงข้ามที่นำโดยออฟเฟรซเซอร์กำลังยืนจังก้ามองถมึงทึงมาอย่างกระหายเลือด พวกเขากำลังเมาในกลิ่นเลือดและฤทธิ์ยากระตุ้นที่เสพเข้าไป

“จะมาก็มาเลย ไอ้พวกหนูสกปรกที่ขี้ขลาดตาขาวทั้งหลาย”

เสียงเย้ยหยันอย่างโอหังดังแว่วมาจากฝ่ายนั้น

“ข้าจะโยนศพของพวกแกลงหม้อ จับทำฟริคาสเซ่ให้หมด เนื้อไอ้พวกคนชั้นต่ำอย่างพวกแกน่ะคงจะรสชาติเลวน่าดูทีเดียวล่ะ แต่ในสนามรบอย่างนี้จะกินหรูหรานักก็หาได้ไม่”

“ฮึ่ม ไอ้คนเถื่อน...”

รอยเอนธาลสบถออกมา

“ท่านแม่ทัพใหญ่กล่าวถูกต้องจริง ๆ ไอ้หมอนี่มันก็แค่ยอดคนในยุคหินเท่านั้นเอง มันเกิดช้าไปสองหมื่นกว่าปีแท้ ๆ เลย”

“แล้วก็ทำให้พวกเราที่เกิดในสองหมื่นกว่าปีหลังยุคหินนี่ ต้องมาคอยลำบากไปด้วย”

มิตเตอร์ไมเยอร์ตอบรับด้วยน้ำเสียงแดกดัน แล้วเรียกหานายทหารผู้ช่วยเข้ามา สั่งให้นำชุดเสื้อเกราะมาให้อีกสองชุด

“ท่านผู้การทั้งสองจะออกไปสู้กับข้าศึกผู้นั้นด้วยตัวเองเลยหรือขอรับ?”

“พวกข้าพเจ้าเป็นแค่เหยื่อล่อเท่านั้น เหยื่อที่จะทำให้หลุมพรางนั่นสมบูรณ์ยิ่งขึ้นนั่นแหละ... ว่าแต่ จัดการไปถึงไหนแล้ว?”

“ขอรับ น่าจะได้เวลาพอเหมาะแล้วขอรับ แต่ข้าฯน้อยก็ยังเห็นว่า ไม่จำเป็นที่ใต้เท้าทั้งสองต้องออกหน้าเองเลยขอรับ”

“พวกข้าพเจ้านั้นเป็นพลเอกทั้งคู่ ส่วนเจ้าปิศาจออฟเฟรซเซอร์นั้นเล่าก็เป็นพลเอกพิเศษ มันต้องอย่างนี้แหละจึงจะสมน้ำสมเนื้อกันหน่อย จริงไหม?”

ลองคิดดูว่า หากทั้งมิตเตอร์ไมเยอร์และรอยเอนธาลปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าออฟเฟรซเซอร์พร้อมกันทั้งสองคนแล้ว เขาจะมีปฏิกิริยาเช่นไร จากสภาวะจิตใจของออฟเฟรซเซอร์แล้ว ย่อมไม่มีทางที่จะปล่อยให้เป้าหมายอันสูงค่าขนาดนี้ตกเป็นของคนอื่นเป็นอันขาด จักต้องตรงดิ่งเข้ามาท้าดวลกันตัวต่อตัว (ในกรณีนี้คือ ต่อให้สองรุมหนึ่ง) เป็นแน่แท้ ด้วยแนวคิดแบบการต่อสู้ยุคหินที่ตกทอดมาถึงยุคปัจจุบันนั่นเอง

ใช่แล้ว เพื่อที่จะให้กลลวงของพวกเขาทั้งสองสำเร็จ จะต้องมีเหยื่อล่อเสียก่อน และเหยื่อล่อนั้นก็ต้องเป็นเหยื่ออันโอชะด้วยจึงจะได้ผล

หากให้ไรน์ฮาร์ดมาเป็นเหยื่อล่อเองแล้วไซร้ ดูเผิน ๆ เหมือนจะเป็นเหยื่อชั้นดีเลิศ แต่ในทางกลับกันก็อาจจะทำให้อีกฝ่ายฉุกใจคิดถึงสิ่งผิดปกติได้ แต่ถ้าเป็นสองนายพลนี้แล้วละก็ ทุกอย่างย่อมลงตัวอย่างเหมาะเหม็ง

ทันทีที่ผู้การหนุ่มทั้งสองในชุดเสื้อเกราะเดินออกไปปรากฏตัวในแนวหน้า ก็บังเกิดเสียงฮือฮาออกจากบรรดาทหารของออฟเฟรซเซอร์ ทั้งนี้ย่อมไม่มีใครไม่รู้จักเขาทั้งสองนี้ อีกทั้งย่อมตระหนักดีว่า ราคาชีวิตของทั้งสองย่อมสูงลิบลิ่วยิ่งนัก แต่แล้ว ออฟเฟรซเซอร์ก็สั่งปรามลูกน้องตนให้อยู่ในความสงบ แล้วหันมามองหน้าผู้นำฝ่ายตรงข้ามอย่างหมิ่น ๆ

“นึกว่า แค่ให้พวกเจ้าสองคนมารุมข้าแล้ว จะเอาชนะได้อย่างนั้นหรือ? เจ้าเด็กผมทองนั่นมีปัญญาคิดได้แค่นี้เองหรือวะ?”

“ไม่ลองสู้กันก็ไม่รู้หรอก”

มิตเตอร์ไมเยอร์กระแทกเสียงตอบทันที ออฟเฟรซเซอร์กลับเข้าใจเอาเองว่า นั่นคือการท้าทายอย่างโอหังจากปากของเด็กรุ่นหลัง เขาก้าวเท้าสวบ ๆ ย่ำไปบนกองซากศพทหารข้าศึก ตรงดิ่งเข้ามาหาทันที แม้จะอยู่ในชุดเสื้อเกราะและสวมหมวกนิรภัยครอบศีรษะอยู่ แต่รังสีอำมหิตที่แผ่ออกจากร่างนั้นยังคงรุนแรงพอที่จะสงบผู้คนรอบข้างให้หยุดหายใจได้เลยทีเดียว บุรุษร่างยักษ์ส่งสายตาเป็นประกายแดงฉานมายังผู้การทั้งสอง แล้วก็วิ่งเข้ามาหาทันที

ในพริบตานั้นเอง ร่างยักษ์ของออฟเฟรซเซอร์ก็หดเล็กไปถนัดตา ศีรษะของเขาเจ้าของส่วนสูงเกือบถึง 200 เซนติเมตร ลดระดับลงไปต่ำกว่าศีรษะของรอยเอนธาลเจ้าของส่วนสูง 184 เซนติเมตร หรือต่ำกว่าแม้กระทั่งศีรษะของมิตเตอร์ไมเยอร์ซึ่งสูงเพียง 172 เซนติเมตรเสียด้วยซ้ำ ทั้งทหารฝ่ายตนและข้าศึกล้วนแต่อ้าปากหวอ มองสิ่งที่เกิดขึ้นราวกับมายากลนี้อย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง นี่เป็นไปได้หรือนี่?...

ความจริงก็คือ พื้นที่ออฟเฟรซเซอร์เหยียบอยู่ได้ยุบตัวลงไปนั่นเอง ร่างของเขาจมลงไปจนถึงระดับเอว โดยที่เขาใช้แขนทั้งสองยันพื้นส่วนที่ไม่ยุบได้ทันท่วงที ร่างจึงไม่จมหายลงไปมากกว่านั้น โทมาฮอร์กชนิดใช้สองมืออันเป็นอาวุธคู่ใจของเขาถูกเจ้าของเหวี่ยงกระเด็นอย่างลืมตัว ไปตกอยู่บนพื้นห่างไกลออกไปอีกประมาณ 1 เมตร

และนี่คือกับดัก หรือ หลุมพราง ที่ขุดไว้บนพื้นที่ทำจากวัสดุผสม (Composite Material) ของเส้นใยผลึกของช่องทางเดินที่ 6 นี้ หรือจะกล่าวให้ถูกต้องก็คือ เป็นหลุมที่เตรียมโดยใช้ปฏิกิริยาสังเคราะห์กรดฟลูออริกจากก๊าซไฮโดรเจนและก๊าซฟลูออรีน กัดกร่อนพื้นจากชั้นข้างล่างของช่องทางเดินที่ 6 มาเป็นเวลาเกือบ 3 ชั่วโมงจนทำให้ความแข็งแรงของพื้นที่ทำจากวัสดุผสมของเส้นใยผลึกนี้ลดลง จนไม่สามารถทานรับน้ำหนักตัวและแรงกระแทกจากร่างยักษ์ในชุดเสื้อเกราะของออฟเฟรซเซอร์ที่วิ่งผ่านมาได้

มิตเตอร์ไมเยอร์กระโจนตัวออกไปทันที เขาเตะขวานศึกของออฟเฟรซเซอร์ออกไปไกลเกินเจ้าของจะเอื้อมคว้าได้ถึง สีหน้าภายใต้หมวกนิรภัยของออฟเฟรซเซอร์ซึ่งตกตะลึงจับต้นชนปลายไม่ถูกไปอึดใจหนึ่ง บัดนี้เปลี่ยนเป็นสีแดงคล้ำ เมื่อเขาตระหนักถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้น

รอยเอนธาลประกาศก้องทันที

“จับตัวออฟเฟรซเซอร์ได้แล้ว ทหารข้าศึกที่เหลือก็ไม่มีความหมาย หน่วยจู่โจมทุกนาย บุก!”

เขาเดินไปหยิบโทมาฮอร์กที่เพื่อนเตะออกไปขึ้นมา แล้วหันมายิ้มหยันแก่เหยื่อของเขาว่า

“การที่จะจับสัตว์ร้ายนี่ ย่อมต้องใช้กับดัก นึกไม่ถึงเลยว่าจะสำเร็จได้อย่างงดงามขนาดนี้หนา กับดักนี่เป็นกับดักขี้เหนียวที่ใช้จับใครไม่ได้เลยนอกจากท่านแท้ ๆ ออฟเฟรซเซอร์เอ๋ย”

“ไอ้ขี้ขลาด!”

“ข้าพเจ้าจะถือว่านั่นเป็นคำชมจากท่านก็แล้วกัน”

บรรดาทหารของเขาพากันวิ่งผ่านด้านข้างของเขาไปอย่างฮึกเหิมประดุจสายน้ำเชี่ยวหลาก

บรรดาลูกน้องของออฟเฟรซเซอร์เมื่อสูญเสียผู้นำของตนไปแล้วพากันขวัญเสียและไม่สามารถต้านทานทหารฝ่ายไรน์ฮาร์ดที่ได้ขวัญกำลังใจกลับมาได้อีกต่อไป ทันทีที่สูญเสียผู้บัญชาการที่เก่งกล้าเกินมนุษย์ของพวกตนไป ขวัญของพวกเขาก็ดูจะสลายไปด้วยประดุจแอ่งน้ำที่เหือดแห้งภายใต้แสงแดดกล้ากระนั้น

ทหารฝ่ายไรน์ฮาร์ดวิ่งเข้าแก้แค้นให้กับเพื่อนร่วมทัพที่ตายไปก่อนหน้านี้อย่างสาแก่ใจ พวกเขากวัดแกว่งโทมาฮอร์กเข้าหาข้าศึกอย่างกระเหี้ยนกระหือ มีการต่อต้านจากข้าศึกเพียงสองสามอึดใจเท่านั้น

ช่องทางเดินที่ 6 ถูกยึดโดยทัพไรน์ฮาร์ดแลถูกย้อมโลหิตจนแดงฉานด้วยประการฉะนี้




ออฟเฟรซเซอร์ถูกสวมกุญแจมือแน่นหนาถึงสองชั้น และถูกสวมศีรษะด้วยหมวกประหารชีวิตแบบปล่อยกระแสไฟฟ้า จากนั้นก็ถูกควบคุมตัวภายใต้ปืนนับสิบกระบอกที่จ่ออยู่ ให้มาปรากฏตัวหน้าจอภาพสื่อสาร

เบื้องหน้าของเขาคือ ภาพของไรน์ฮาร์ดที่ปรากฏตัวขึ้นประดุจเปลวเพลิงแห่งความพิโรธและความเกลียดชัง รวมทั้งความตายที่กำลังจะกร้ำกลายมาสู่เขาอย่างไม่ต้องสงสัย แต่กระนั้นออฟเฟรซเซอร์ก็ยังคงเชิดหน้าอย่างเย่อหยิ่ง ต่อให้บุรุษผู้นี้เป็นมนุษย์ที่เต็มไปด้วยข้อบกพร่องอย่างไรก็ตาม แต่เขาย่อมหาใช่คนขี้ขลาดไม่ อย่างแน่นอนทีเดียว

แต่ภาพบนจอก็ดับลงเพียงเท่านี้ ทั้งนี้เพราะภายในสะพานเรือของเรือรบบรุนฮิลด์ หัวหน้าเสนาธิการเจ้าของนัยน์ตาเทียม กำลังกล่าวเกลี้ยกล่อมนายเหนือของเขาอยู่

“จะประหารชีวิตเขาเสียตอนนี้ก็ย่อมทำได้ง่ายดายยิ่งนัก แต่ออฟเฟรซเซอร์หาได้เกรงกลัวต่อความตายไม่ อีกทั้ง หากประหารเขาจริง ๆ ขึ้นมาเสียแล้ว กลับจะกลายเป็นช่วยส่งเสริมให้ชื่อเสียงของเขาถูกจารึกในประวัติศาสตร์ในฐานะผู้กล้าหาญที่ไม่ยอมสยบต่อขั้วอำนาจใหม่ ยอมพลีชีพเพื่อรักษาราชวงศ์โกลเดนบาวม์ไว้จนลมหายใจหยาดสุดท้าย ซึ่งใต้เท้าย่อมไม่อยากเห็นสภาพเช่นนั้นเป็นแน่แท้ จริงหรือไม่ขอรับ?”

“...”

นัยน์ตาสีไอซ์บลูของไรน์ฮาร์ด ฉายให้เห็นชัดถึงพายุอารมณ์ที่กำลังพัดกระหน่ำภายในตัวเขา แต่อย่างไรก็ตาม เขาเค้นน้ำเสียงผ่านไรฟันที่ขบกันแน่นออกมาในที่สุดว่า

“แล้วจะให้ทำอย่างไร?”

“ส่งตัวออฟเฟรซเซอร์กลับไปยังฐานที่มั่นของพวกขุนนางสิขอรับ แน่นอน ในสภาพที่สมบูรณ์ทุกประการ”

“ท่านจะบ้าหรือ?!!!”

มิตเตอร์ไมเยอร์ตะโกนขัดขึ้นทันที ใบหน้าหล่อเหลาของชายหนุ่มบัดนี้ออกสีแดงด้วยความโกรธและตระหนก

“กว่าจะจับสัตว์ร้ายตัวนี้ได้ พวกข้าพเจ้าต้องทุ่มเทความพยายามเพียงใด สูญเสียลูกน้องไปนับเท่าไร แล้วท่านยังมีหน้าเสนอให้ปล่อยตัวเขาไปอีกหรือ? ต่อให้เราปฏิบัติกับเขาอย่างดีเลิศเพียงใดก็ตาม ข้าพเจ้ารับรองได้เลยว่า ครั้งต่อไปเราก็ต้องพบเขาในสนามรบอีก และโทมาฮอร์กของเขาก็ย่อมต้องสูบเลือดของทหารฝ่ายเราอีกเป็นจำนวนมาก พนันกันก็ได้ แต่... ชนะพนันนี้แล้วจะได้อะไรขึ้นมาเล่า ข้าพเจ้ายืนยันว่า ไม่มีความจำเป็นใด ๆ ที่เราจะต้องปล่อยตัวเขาไป ให้ประหารชีวิตเดี๋ยวนี้เถิด”

“ข้าพเจ้าก็คิดเช่นนั้น”

รอยเอนธาลเสริมขึ้นมาสั้น ๆ แต่หนักแน่ แล้วเขาถามหัวหน้าเสนาธิการต่อไปอีกว่า จะให้ปล่อยสัตว์ร้ายที่เลี้ยงไม่เชื่องนี้เข้าป่าไปเฉย ๆ หรืออย่างไร แต่ฝ่ายหลังไม่มีทีท่าอ่อนข้อให้แม้แต่น้อย

“พวกท่านลองคิดดูเถิด หากออฟเฟรซเซอร์กลับไปโดยสวัสดิภาพแล้ว เจ้าพวกขุนนางเหล่านั้นจะคิดกับเขาอย่างไร คนพวกนั้นล้วนแล้วแต่เป็นคนหวาดระแวงทั้งสิ้น ยิ่งถ้าในบรรดาลูกน้องของออฟเฟรซเซอร์ที่เราจับได้นั้น แกนนำของหน่วยรบจำนวน 16 นายล้วนถูกเราจับยิงเป้าประหารชีวิตอย่างเอิกเกริกเสียหมดสิ้น และถ่ายทอดภาพนั้นทาง FTL ไปให้พวกขุนนางมันรับรู้ด้วย แล้วจู่ ๆ ออฟเฟรซเซอร์เพียงคนเดียวก็กลับไปอย่างไม่มีอะไรเกิดขึ้น...”

“... เข้าใจแล้ว”

ไรน์ฮาร์ดเอ่ยขัดขึ้นมาเป็นเชิงว่า ไม่ต้องอธิบายต่อแล้ว บัดนี้ นัยน์ตาของเขาฉาบด้วยแววของการควบคุมอารมณ์อย่างเต็มที่ เขามองไปยังเจ้าของผลงานทั้งสองคนที่ยังมีสีหน้าอิดออดอยู่

“พวกเจ้าก็คงเข้าใจแล้วเช่นกัน ในที่นี้ เรามอบหมายให้โอแบร์สไตน์จัดการตามที่เขาเห็นควรเถิด พวกเจ้ามีอะไรคัดค้านอีกหรือไม่”

“ไม่มีขอรับ สุดแล้วแต่ใต้เท้าเถิด”

มิตเตอร์ไมเยอร์และรอยเอนธาลตอบเป็นเสียงเดียว พวกเขาเองก็ตามความคิดของโอแบร์สไตน์ทันแล้วเช่นกัน แต่ที่ยังมีสีหน้าไม่เห็นด้วยนั้นก็เพราะว่า มันเป็นวิธีการที่พวกเขาไม่ชอบใจเลยแม้แต่น้อย เท่านั้นเอง

ออฟเฟรซเซอร์ถูกปล่อยตัวในที่สุด อีกทั้งยังได้รับกระสวยเดินอวกาศ (ชัตเติล) ลำเล็ก ที่สามารถวาร์ปได้อีกด้วย แม้เขาจะไม่เอ่ยปากถามอะไรออกมาก็ตาม แต่สีหน้าและท่าทางก็บอกอย่างชัดเจนว่า เจ้าตัวก็เต็มไปด้วยความประหลาดใจเป็นที่สุดเหมือนกัน แต่อย่างไรก็ดี เขายังคงพาตัวเองเข้าไปในห้องบังคับกระสวย แล้วออกเดินทางไปพ้นจากป้อมปราการทันที

แกนนำจำนวน 16 คนซึ่งเป็นคนสนิทและลูกน้องระดับสูงของออฟเฟรซเซอร์ถูกยิงเป้าประหารชีวิตกันถ้วนหน้า ส่วนชุททาเดนถูกจับเป็นเชลยศึกคาเตียงพยาบาลนั่นเอง แต่จอมพลหนุ่มไม่เห็นถึงความจำเป็นใด ๆ ที่จะต้องเรียกเขามาพบหรือสอบปากคำ

(อ่านตอนต่อไป)


กลับไปอ่านตอนที่แล้ว +++ กลับไปหน้าสารบัญ +++ ไปอ่านตอนต่อไป 1