นวนิยายแฟนตาซีอวกาศเรื่องยาว

วีรบุรุษทางช้างเผือก เล่ม ๒ : ความทะเยอทะยาน
銀河英雄伝説 第二巻:野望篇

เรื่อง โดย ทะนะกะ โยะชิกิ (田中芳樹) แปลโดย Pae

บทที่ 4 หลั่งเลือดท่วมผืนฟ้า
-6-


มาดแม้นจะไม่ได้คาดหวังถึงขั้นว่า จะได้รับการต้อนรับเอิกเกริกดุจวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ก็ตาม แต่ออฟเฟรซเซอร์ซึ่งเดินทางกลับไปถึงฐานทัพใหญ่ของพันธมิตรขุนนาง- ป้อมปราการไกเอสบูร์กนั้น กลับได้รับการต้อนรับที่ผิดคาดนัก

เริ่มตั้งแต่ตอนที่กล่าวติดต่อกับเจ้าหน้าที่สื่อสารของป้อมปราการ เพื่อรายงานถึงการที่ตนมีชีวิตรอดกลับมาได้นั้น เขาก็ประหลาดใจกับปฏิกิริยาของอีกฝ่ายไปคราหนึ่งแล้ว แต่เมื่อชัทเทิล (กระสวยอวกาศ) ของเขาเข้าไปจอดเทียบในท่าอากาศยานอวกาศภายในป้อม เขากลับถูกล้อมด้วยกองกำลังทหารติดอาวุธครบมือ หาใช่เป็นคณะสาว ๆ พร้อมช่อดอกไม้แต่อย่างไรไม่

“ท่านพลเอกพิเศษออฟเฟรซเซอร์ผู้ต่อสู้อย่างห้าวหาญ ณ ป้อมปราการเรนเทนแบร์ก- ถูกต้องแล้วใช่ไหม?”

ผู้ที่เอ่ยปากถามด้วยเนื้อความที่แฝงความหมายแดกดันนี้ คือ พลจัตวาอันบาค ผู้ซึ่งทราบกันดีว่าเป็นมือขวาของดยุคฟอนเบราส์ไวก์ และเป็นผู้วางแผนหนีจากดาวโอดีนในคราวที่ผ่านมานั่นเอง

“เห็นอยู่แล้ว เจ้าไม่รู้จักเราหรืออย่างไร?”

“ข้าพเจ้าเพียงแต่ต้องการยืนยันความถูกต้องเท่านั้น ขอเรียนเชิญท่านทางนี้เถิด ท่านประมุขกำลังรออยู่”

วีรบุรุษจากเรนเทนแบร์กถูกพาไปยังห้องโถงอันกว้างใหญ่ สายตาทุกคู่ของบรรดานายทหารใหญ่น้อยที่มองมายังเขา ไม่มีคู่ใดเลยที่แฝงแววแห่งความอบอุ่นอยู่

บนพื้นยกระดับสูงซึ่งมีขั้นบันไดทอดขึ้นไปนั้น มีเก้าอี้ตัวใหญ่ประดับประดาอย่างสวยงามตั้งอยู่ และดยุคแห่งเบราสไวก์กำลังนั่งเอกเขนกอยู่บนนั้นอย่างสง่างาม ไม่ต้องบอกก็รู้ว่า นี่เป็นการเลียนแบบ ทำตัวประดุจเป็น ‘ว่าที่จักรพรรดิ’ นั่นเอง

“ยังมีหน้ารักษาชีวิตกลับมาได้อีกหรือ ออฟเฟรซเซอร์”

น้ำเสียงของเขาบ่งบอกชัดเจนถึงความดูแคลน

“บรรดาลูกน้องตัวหลัก ๆ ของเจ้าล้วนแล้วแต่ถูกประหารชีวิตไปทั้งสิ้นแล้ว เจ้าคนเดียวกลับสามารถรอดชีวิตกลับมาได้ หมายความว่ากระไร?”

“ถูกประหารชีวิตรึ?”

ออฟเฟรซเซอร์ถึงกับอ้าปากค้าง ภายในปากของเขาเต็มไปด้วยฟันเทียม- ฟันเทียมที่เป็นหลักฐานแสดงถึงความเป็นนักสู้ที่ผ่านสมรภูมิเลือดมาแล้วนับไม่ถ้วน ดั่งเช่นกับแผลเลเซอร์ที่โหนกแก้มนั่นเอง ดยุคกระแทกน้ำเสียงเย้ยหยันเข้าใส่พลเอกพิเศษผู้ยังคงงุนงงและจับต้นชนปลายไม่ถูกอีกว่า

“เอ้า ดูนี่เสียให้เต็มตา เจ้าคนกลับกลอก!”

ภาพจาก VTR ถูกฉายขึ้นบนผนังด้านหนึ่งของห้องทันที ออฟเฟรซเซอร์ได้แต่ร้องครางเสียงต่ำในลำคอ มันเป็นภาพของบรรดาบุคคลที่เขารู้จักและใกล้ชิดดีทั้งสิ้น และนี่คือ ภาพเหตุการณ์การประหารชีวิตหมู่หลังจากที่กองทัพของไรน์ฮาร์ดยึดป้อมปราการเรนเทนแบร์กได้แล้วนั่นเอง ใบหน้าอันเต็มไปด้วยความหวาดหวั่นต่อความตายและความอัปยศในความพ่ายแพ้ของลูกน้องของเขา ค่อย ๆ สลายเป็นความว่างเปล่าไปทีละคน ๆ เมื่อถูกลำแสงเลเซอร์จากปลายกระบอกปืนยิงเจาะศีรษะไปตามลำดับ

“ว่าอย่างไร ถึงกับพูดอะไรไม่ออกเลยหรือ ออฟเฟรซเซอร์”

“...”

“ถ้าเจ้าพูดไม่ออก เราจะบอกให้ก็ได้ ที่เจ้าสามารถรอดชีวิตกลับมาได้แต่ผู้เดียว ก็เพราะเจ้าทรยศไปเข้าพวกกับไอ้เด็กผมทองนั่นแล้วสิ ใช่หรือไม่ ไอ้เจ้าสุนัขรับใช้เอย ดูท่าเจ้าคงจะสัญญาว่าจะนำเอาศีรษะของเรากลับไปให้มันสิท่า ในครานี้”

สีหน้าเคร่งเครียดของออฟเฟรซเซอร์พลันกลับกลายเต็มไปด้วยแววของความโกรธแค้นและความกระจ่างแจ้ง เขาอ้าปากขึ้นอีกครั้ง

“พวกเราหลงกลมันแล้ว นี่คืออุบายสกปรกของฝ่ายตรงข้ามต่างหาก พวกเจ้าไม่เข้าใจรึอย่างไร ไร้ความคิดกันทั้งนั้น!”

น้ำเสียงของเขาดังลั่น ด้วยเจ้าตัวตะเบ็งเต็มหลอดเสียงอย่างตื่นตระหนก หากแต่สำหรับคนรอบข้างแล้วกลับฟังเหมือนเสียงคำรามของสัตว์ร้ายที่กำลังจะอาละวาด บรรดานายทหารน้อยใหญ่ที่รายล้อมอยู่รอบตัวเขาประดุจเป็นกำแพงนั้น มีอยู่ไม่น้อยที่ถึงกับก้าวถอยหลังอย่างลืมตัวเมื่อประจักษ์เข้ากับแรงกดดันไร้สภาพที่แผ่ออกจากนายพลผู้นี้ หลายคนเอื้อมมือไปแตะปืนพก (บลัสเตอร์) ที่เอวโดยสัญชาตญาณระวังภัย

“ยิง! ฆ่ามันเดี๋ยวนี้!”

ดยุคฟอนเบราสไวก์ตะโกนสั่งอย่างลนลาน หากแต่คำสั่งนั้นแทนที่จะให้ผลดีกลับกลายเป็นร้ายเมื่อก่อให้เกิดความอลหม่านขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เนื่องจากบรรดาผู้รับคำสั่งนั้น แม้นว่าจะชักปืนออกมาแล้วก็ตาม แต่ก็ไม่อาจจะตัดสินใจยิงออกไปได้ เมื่อตระหนักว่า การยิงปืนในที่ที่มีคนหมู่มากเช่นนี้ โอกาสที่จะพลาดไปทำร้ายพวกเดียวกันย่อมสูงยิ่งนักนั่นเอง

กำปั้นลุ่น ๆ ขนาดยักษ์พุ่งเข้าใส่คางของพลทหารผู้หนึ่งที่อยู่ใกล้ เสียงดังพลั่กเกิดขึ้นแล้วร่างของผู้เคราะห์ร้ายซึ่งคางแหลกละเอียดไปแล้ว ก็ปลิวกระดอนหงายหลังไปกลางอากาศ

ชายร่างยักษ์ซึ่งบัดนี้ดูจะควบคุมสติไม่อยู่แล้วเช่นกัน วิ่งตรงขึ้นบันไดไป หมายจะเข้าหาดยุคฟอนเบราสไวก์ที่นั่งเป็นสง่าอยู่ด้านบน ปากก็ร่ำร้อง (คนรอบข้างฟังแล้วเหมือนเสียงคำราม) ว่า “พวกเราหลงกลมันแล้ว ๆ” ที่จริง เจ้าตัวเองมีความมุ่งหมายเพียงแค่อยากให้อีกฝ่ายฟังคำของตนก่อนเท่านั้น หากแต่ภาพที่ปรากฏต่อสายตาคนอื่น ย่อมไม่คิดในแง่ดีเช่นนั้น ทันทีที่มีคำสั่งจากปากของพลจัตวาอันบาคสำทับอีกครั้งหนึ่ง ทหารจำนวนนับสิบนายก็วิ่งเข้าไปขวางระหว่างออฟเฟรซเซอร์และดยุคฟอนเบราสไวก์ทันที พวกเขายกปืนเลเซอร์ขึ้นยิงใส่ร่างของชายร่างยักษ์ซึ่งไม่มีอาวุธในมืออย่างไม่ลังเล เป็นการระดมยิงอย่างสะเปะสะปะโดยแท้ ร่างของเป้าปืนถูกแสงเลเซอร์กรีดผ่านเนื้อไปหลายแผลยังผลให้เลือดสด ๆ ไหลกระฉูดออกจากร่างหลายสาย อีกทั้งยังมีเสียงเหมือนกระดูกที่ถูกหัก (ยิงทะลุ) ดังผสมออกมาอีกด้วย หากเป็นคนธรรมดาแล้วไซร้ ย่อมต้องหมดแรงและล้มตายกับที่แล้วเป็นแน่แท้ แต่ออฟเฟรซเซอร์กลับยังคงวิ่งตรงไปข้างหน้าได้ด้วยความเร็วคงเดิม เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดดังระงมขึ้น ไล่เลี่ยกับที่ร่างของทหารหลายนายถูกกวาดกระเด็นตกจากบันไดนั้นลงมาตาม ๆ กัน

พลจัตวาอันบาคยันตัวลุกขึ้นจากพื้นอย่างรวดเร็ว พลางหันไปถ่มน้ำลายที่มีโลหิตของตนปนอยู่ลงกับพื้น เขาก็เป็นคนหนึ่งที่ถูกอัดกระเด็นลงมานั่นเอง เขาใช้มือข้างหนึ่งยกขึ้นเสยผมบนศีรษะที่ตกลงมาปรกหน้ายุ่งเหยิงให้กลับสู่สภาพเดิม ขณะที่มืออีกข้างชักปืนบลัสเตอร์ของตนออกมาอย่างใจเย็น

นายพลจัตวาคุมลมหายใจของตนให้กลับสู่สภาพปกติ พลางสาวเท้าเข้าใกล้ออฟเฟรซเซอร์อย่างช้า ๆ แต่มั่นคง พลเอกพิเศษซึ่งบัดนี้กลายสภาพเป็นยักษ์ร้ายที่กำลังอาบเลือดโทรมกายเบนสายตาอันกล้าแข็งของตนมายังศัตรูคนใหม่นี้ แล้วก็ส่งเสียงคำรามต่ำ ๆ พลางเหวี่ยงแขนข้างหนึ่งของตนออกมาหาทันที นายพลจัตวาสปริงตัวหลบหมัดนี้ไปด้านหลังได้อย่างไม่ยากเย็น แล้วเขาก็จ่อปากกระบอกปืนเข้ากับกกหูของอีกฝ่าย และเหนี่ยวไก

โลหิตสด ๆ และลำแสงเลเซอร์พุ่งออกจากหูอีกข้างหนึ่งของออฟเฟรซเซอร์ในเกือบจะทันที

ร่างมหึมาของออฟเฟรซเซอร์กระตุกขึ้นสองสามครั้งประดุจถูกไฟฟ้าช็อต เมื่ออาการกระตุกหายไปแล้ว คราวนี้ร่างไร้วิญญาณกลับยืนผงาดอยู่ได้ชั่วอึดใจหนึ่ง ก่อนที่จะค่อย ๆ ล้มลงไปข้างหน้า ส่วนของหน้าผากกระแทกกับขอบบันไดดังชวนสยอง เป็นบทเพลงแห่งความตายสุดท้ายที่ดังขึ้น ทุกผู้คนในที่นั้นล้วนได้แต่จ้องมองไปยังศพที่เพิ่งตายนี้เป็นจุดเดียว โดยไม่มีใครมีแก่ใจส่งเสียงใด ๆ ออกมาอยู่ชั่วขณะหนึ่ง

“ฮึ! เจ้าคนทรยศ!”

ในที่สุด ดยุคฟอนเบราสไวก์ก็แค่นบริภาษเสียงแหลม ทำลายภวังค์แห่งความเงียบนั้นทิ้งไป แต่กระนั้นสีหน้าของเขายังคงฉาบด้วยวี่แววแห่งความหวาดกลัวอยู่นั่นเอง

“หนอย สำแดงธาตุแท้ออกมาจนได้ ไอ้หมาบ้าเอย บังอาจคิดจะทำร้ายเราได้...”

พลจัตวาอันบาคกระแอมไอสองสามครา ก่อนจะค่อย ๆ เอ่ยแย้งว่า

“ว่าแต่ เขาหักหลังเราจริง ๆ หรือขอรับ?”

“เจ้ามาถามอะไรเอาป่านนี้ ถ้าเจ้าคิดเช่นนั้นไซร้ ไฉนจึงยิงมันได้ลงคอเล่า?”

อันบาคส่ายศีรษะ ผมที่อุตส่าห์ลูบเข้าทรงแล้ว กลับตกลงมาปรกหน้าอีกครั้งหนึ่ง

“นั่นก็เพราะข้าฯ น้อยย่อมต้องให้ความสำคัญกับการรักษาความปลอดภัยของใต้เท้าเป็นอันดับแรกขอรับ เพียงแต่ว่า ที่ชายผู้นี้อาละวาดออกมานั้น อาจจะเป็นเพราะเขาตกใจที่ตนเองถูกพวกเราสงสัยทั้งที่เขามิได้ทรยศ และการณ์ก็เป็นดั่งที่เขาพยายามชี้แจงกับพวกเราก็ได้นะขอรับ ว่านี่เป็นอุบายของข้าศึก อืม จะว่าไปนี่ก็อีกสาเหตุหนึ่งที่ยิ่งทำให้เขาตกใจอาละวาดนะขอรับ คือ รู้ตัวว่าถูกวางกับดักเข้าเสียแล้ว...”

“อาจจะเป็นอย่างที่เจ้าว่ามาก็ได้ แต่... ถึงตอนนี้จะมาพูดให้มันได้อะไรขึ้นมาอีกเล่า สรุปก็คือ เจ้านั่นก็ตายไปแล้ว ไม่มีวันที่จะลุกขึ้นมาถือโทมาฮอร์กได้อีกต่อไป ไม่ว่าเหตุผลที่มันต้องตาย จะเป็นเพราะมันทรยศต่อเราก็ดี หรือเพราะว่ามันอาละวาด หมายจะทำอันตรายต่อเราก็ดี ถึงตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์ที่จะมานั่งแยกแยะหาข้อเท็จจริงแล้ว”

“รับทราบขอรับ ทีนี้ เราจะจัดการเรื่องนี้ต่อไปอย่างไรดีขอรับ ข้าฯ น้อยหมายถึง สาเหตุการเสียชีวิตของพลเอกพิเศษออฟเฟรซเซอร์น่ะขอรับ...”

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น นับเป็นความอัปยศใหญ่หลวงและจะมีผลกระทบต่อความสมานฉันท์และการบริหารจัดการทัพพันธมิตรขุนนางต่อไป ดังนั้นคำถามนึ้จึงเป็นการท้วงกลาย ๆ นั่นเองว่า จะให้บิดเบือนข้อเท็จจริงว่า ออฟเฟรซเซอร์ป่วยตายหรือไม่

ดยุคฟอนเบราสไวก์ลุกขึ้นจากที่นั่งด้วยสีหน้าและท่าทางที่บ่งบอกให้เห็นอย่างชัดเจนว่า เขากำลังอารมณ์เสียสุดขีด แต่เดิมเขาก็เป็นคนที่มีความอดทนอดกลั้นต่อสิ่งที่ไม่เป็นไปตามประสงค์ของตนได้น้อยเหลือเกินอยู่แล้ว และนี่เขาก็กำลังจะฟิวส์ขาดอยู่รอมร่อ

“จะบิดเบือนความจริงอย่างไร ก็ไม่มีทางบิดเบือนไปได้ตลอดหรอก เจ้ารายงานต่อพันธมิตรขุนนางของเราก็แล้วกันว่า ออฟเฟรซเซอร์ถูกประหารชีวิต ด้วยข้อหาทรยศ เอาตามนี้แหละ”

เมื่อประมุขเดินลงส้นเท้าเสียงหนัก ๆ จนลับตาไปแล้ว อันบาคก็ยักไหล่คราหนึ่ง แล้วสั่งให้บรรดาทหารในที่นั้นจัดการเก็บศพให้เรียบร้อย- ศพของชายผู้ซึ่งเมื่อครั้งมีชีวิตอยู่ เป็นที่เกรงขามในด้านความห้าวหาญ รวมทั้งเป็นที่เกรงกลัวในความโหดร้ายอีกด้วย เมื่อปะสายตาเข้ากับนัยน์ตาที่ยังเบิ่งเหลือกกว้างอยู่ของศพ เขาก็ถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน พลางพึมพำว่า

“อย่าได้ถลึงตาอาฆาตข้าพเจ้าเช่นนั้นเลยท่าน... ข้าพเจ้าเองก็ไม่ทราบเลยว่า วันพรุ่งนี้จะมีชะตาชีวิตเช่นไรบ้าง บางที ท่านอาจจะรู้สึกขอบคุณข้าพเจ้าจากบนวาลฮารา (สรวงสวรรค์) ก็เป็นได้ ที่ช่วยให้ท่านได้ตายก่อนเช่นนี้”

นายพลจัตวารู้สึกหนาวสั่นขึ้นมาทันที ลางสังหรณ์บางอย่างบอกเขาว่า คำพูดพึมพำของตัว มันช่างน่ากลัวว่าจะเป็นจริงในวันหน้าเสียนี่กระไร

ผลสืบเนื่องจากเหตุการณ์นี้ช่างใหญ่หลวงนัก ทั้งนี้ เป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปว่า ออฟเฟรซเซอร์เป็นบุคคลในระดับต้น ๆ เลยทีเดียวที่ประกาศก้องว่าเกลียดฃังไรน์ฮาร์ดเข้ากระดูกดำ ถึงกระนั้นชายผู้นี้ก็ยังทรยศไปเข้าพวกกับไรน์ฮาร์ดเสียได้ แล้วอย่างนี้จะมีใครที่สามารถยืนหยัดเจตนารมณ์ของตนได้จนตลอดรอดฝั่งกันเล่า บรรดาขุนนางฐานันดรต่างพากันมองพวกเดียวกันด้วยสายตาที่หวาดระแวงขาดความเชื่อมั่นซึ่งกันและกันอีกต่อไป บางคนที่อาการหนัก ถึงกับขาดความมั่นใจในตนเองไปเลยก็มี...




ข่าวการเสียชีวิตอย่างอเนจอนาถของออฟเฟรซเซอร์สร้างความสาแก่ใจให้แก่ไรน์ฮาร์ดยิ่งนัก หากอีกฝ่ายเพียงก่นด่าตัวเขาเท่านั้นยังพอทน แต่นี่มันบังอาจบริภาษพี่สาวของเขาอย่างเสีย ๆ หาย ๆ เช่นนี้ ตายไปก็เป็นการสมควรแล้ว

ไรน์ฮาร์ดแต่งตั้งพลโทริกเคิลเป็นผู้บัญชาการป้อมปราการเรนเทนแบร์ก และอาศัยป้อมปราการที่ยึดได้ใหม่นี้ เป็นฐานที่มั่นฝ่ายตนในการที่จะเตรียมการเดินทัพไปตีป้อมปราการไกเอสบูร์กต่อไป

ทางฝ่ายทัพของไรน์ฮาร์ดเอง ก็มีผลสืบเนื่องจากประมวลเหตุการณ์ตีป้อมครั้งนี้เช่นกัน กล่าวคือ สองผู้การหนุ่มมิตเตอร์ไมเยอร์และรอยเอนธาลนั้น เมื่อเห็นฟริคาสเซ (เนื้อบดต้มกับมะเขือเทศ) เข้า ก็ชวนให้นึกถึงภาพกองเลือดเนื้อกองใหญ่ที่ช่องทางเดินที่ 6 ขึ้นมา ทำให้ทั้งสองคนกินอาหารชนิดนี้ไม่ลงไปอีกนานทีเดียว

(อ่านตอนต่อไป)


กลับไปอ่านตอนที่แล้ว +++ กลับไปหน้าสารบัญ +++ ไปอ่านตอนต่อไป 1