นวนิยายแฟนตาซีอวกาศเรื่องยาว

วีรบุรุษทางช้างเผือก เล่ม ๒ : ความทะเยอทะยาน
銀河英雄伝説 第二巻:野望篇

เรื่อง โดย ทะนะกะ โยะชิกิ (田中芳樹) แปลโดย Pae

บทที่ 5 การศึก ณ หมู่ดาวโดเรีย
-1-


ในตอนแรกนั้น หยางคิดว่าจะไม่สนใจการก่อความไม่สงบในหมู่ดาวแชมพูลเสีย แล้วรีบยกทัพบุกแบบสายฟ้าแลบไปยังดาวเมืองหลวงไฮเนสเซนเลยในทันที เพื่อปราบปรามกำลังหลักของกองกำลังกอบกู้วิกฤติแห่งชาติให้ราบคาบ ทั้งนี้เนื่องเพราะเขาคิดว่า หากขุดรากให้สิ้นซากแล้ว ใบเล็ก ๆ ที่ยอดก็คงจะเหี่ยวแห้งไปเองอย่างไม่ต้องสงสัย

แต่แล้วเขาก็กลับเปลี่ยนแผน ตัดสินใจบุกไปปราบปรามฝ่ายตรงข้ามที่หมู่ดาวแชมพูลให้เรียบร้อยเสียก่อน ทั้งนี้ก็เนื่องเพราะ เขาเกรงขึ้นมาว่า หากปล่อยพวกนี้ทิ้งไว้ ข้าศึกอาจจะใช้วิธีการรบแบบกองโจร คอยก่อกวนการติดต่อสื่อสารระหว่างป้อมปราการอิเซลโลนกับกองยานรบหยาง อีกทั้งคอยขัดขวางการลำเลียงยุทโธปกรณ์ระหว่างทั้งสองส่วนด้วยนั่นเอง หากเขาเป็นผู้บัญชาการของกองกำลังสังกัดคณะนายทหารกอบกู้ชาติที่หมู่ดาวแชมพูลแล้วละก็ เขาจะต้องทำเช่นที่ว่าโดยไม่ต้องสงสัย กล่าวคือ หากกองยานรบจากอิเซลโลนเข้าใกล้ ก็จะรีบหนี แต่เมื่อกองยานรบเดินทางต่อไปแล้วก็จะคอยตามติดด้านหลัง เพื่อหาโอกาสจู่โจมด้านหลังหรือจู่โจมทำลายกองเสบียงเสีย ทำเช่นนี้ซ้ำ ๆ กันหลาย ๆ ครั้งเพื่อตัดกำลังข้าศึกให้อ่อนลงไปเรื่อย ๆ ในฐานะที่หยางเป็นผู้รับผิดชอบกองยานรบประจำอิเซลโลน เขาจะยอมให้เกิดเหตุการณ์เช่นนั้นมิได้เป็นอันขาด

“แต่ หัวหน้าฝ่ายข้าศึกไม่ใช่หยางเหวินหลี่นะครับ”

จูเลียนแย้งขึ้นเช่นนั้น และเสริมด้วยว่า หยางคิดมากไปหรือเปล่า แม่ทัพผมดำยิ้มกว้างแล้วตอบเพียงว่า

“ใช่ แต่เขาอาจจะเป็นหยางเหวินหลี่ในอนาคตก็ได้นี่”

ไม่ว่าใครก็ตาม ล้วนแต่ต้องเป็นบุคคลไร้ชื่อเสียง (โนเนม) มาก่อนทั้งสิ้น ถามสักหน่อยเถิดว่า ก่อนหน้ายุทธการลี้ภัยที่เอลฟาซิลแล้ว มีใครรู้จักชื่อของหยางเหวินหลี่บ้างไหมล่ะ?- หยางว่านั้น

“หากตอนนี้เป็นยุคแห่งสันติภาพละก็ ฉันคงยังเป็นแค่ไข่ของนักประวัติศาสตร์ที่ไร้ชื่อเสียงคนหนึ่งเท่านั้นเอง ยังไม่ฟักเป็นตัวอ่อนเสียด้วยซ้ำ”

นี่คือความปรารถนาอย่างแท้จริงของหยาง ถึงแม้ว่าในปัจจุบัน ชื่อเสียงของเขานั้นโด่งดังในหมู่มวลมนุษย์ถึงขั้นที่ว่า มีส่วนน้อยที่จะไม่รู้จักชื่อนี้ก็ตาม แต่หยางก็ยังคงไม่สามารถละทิ้งความปรารถนาที่อยากจะเป็นเพียงแค่นักวิชาการธรรมดา ๆ คนหนึ่งไปได้เลย คำยกย่องที่ว่าเป็นนายทหารผู้ไม่เคยปราชัยนั้น สำหรับหยางแล้ว เป็นเพียงแค่ภาพลวงตาไร้แก่นสารเท่านั้นเอง

เพราะเหตุที่เขาสนใจเกี่ยวกับบุคคลและเหตุการณ์ที่ผ่านมาในประวัติศาสตร์มนุษยชาตินั่นเอง หยางถึงอยากเป็นนักประวัติศาสตร์นักหนา แต่สิ่งที่น่าขันสำหรับเขาก็คือ ถึงตอนนี้ ตัวเขาเองนั่นแหละที่กำลังกลายเป็นบุคคลที่คนอื่นมาสนใจและค้นคว้า ทั้งจักรวรรดิทางช้างเผือกก็ดี เฟซานก็ดี รวมทั้งข้าศึกเฉพาะหน้าตอนนี้ ได้แก่ กองกำลังกอบกู้วิกฤติแห่งชาติก็ดี ล้วนแล้วแต่พากันศึกษาแนวทางการเดินทหารของหยางทั้งสิ้น ยิ่งไปกว่านั้น ที่น่าหัวเราะคือ ในดาวไฮเนสเซน และดาวอื่น ๆ อีกจำนวนมาก มีหนังสือ/สิ่งพิมพ์/วีดีโอที่มีหัวข้อทำนองว่า “ความเป็นผู้นำที่พบในตัวหยางเหวินหลี่” เอย “แนวคิดด้านยุทธศาสตร์ และแนวคิดด้านยุทธวิธี- การศึกทั้งสี่ครั้งของหยางเหวินหลี่” เอย “บุคคลสำคัญในปัจจุบัน เล่ม 3- หยางเหวินหลี่” เอย ออกจำหน่ายให้เห็นกันกลาดเกลื่อน ล้วนแล้วแต่เป็นผลผลิตชุ่ย ๆ ของคนเขียน/คนสร้างที่ไร้ความรับผิดชอบ และเต็มไปด้วยเนื้อหาแบบยกเมฆทั้งสิ้น

ช่างเป็นวีรบุรุษจรัสแสงเสียจริง ๆ

“เฮ้อ รู้สึกว่าคนที่ชื่อหยางเหวินหลี่นี่จะเป็นคนที่สุดยอดเหนือคนจริง ๆ นา แตกต่างกับเอ็งลิบลับเลย ฮึ”

ทุกครั้งที่หยางส่องกระจก เขาเป็นต้องพูดประชดเงาของตัวเองที่ดูยังไงก็ไม่เห็นแววของยอดคนทุกคราไป

“แต่ ยังไงผมก็ว่าคุณหยางนี่สุดยอดแล้วนะครับ”

จูเลียนแย้งด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“ตรงไหนเหรอ?”

“ก็... ถ้าไม่สุดยอดจริง ป่านนี้คงเดินตัวลอย เหลิงในคำชม จนกระทั่งมองไม่เห็นตัวเอง ตัดสินใจอะไรผิด ๆ ไปตั้งนานแล้วนะครับ ผมว่า”

หยางเอียงคอนิ่งฟังคำของเด็กชายอยู่เงียบ ๆ แต่แล้วจู่ ๆ ก็แค่นยิ้มออกมา

“เล่นชมกันซึ่ง ๆ หน้าก็แย่สิ หือ ทีหลังอย่าทำอย่างนี้นะ ไม่งั้นฉันเป็นได้หลงตัวเองเข้าจริง ๆ จนได้ ว่า เออ จริงเนอะ ฉันนี่สุดยอดจริง ๆ ทำนองนั้นน่ะ”

ว่าแล้วเขาก็ปั้นหน้าเคร่งเครียด อบรมจูเลียนต่ออีกเป็นการใหญ่ว่า ห้ามชมผู้อาวุโสกว่าซึ่ง ๆ หน้าอีก เป็นการไม่สมควร เพราะถ้าคนคนนั้นเป็นคนที่จิตใจอ่อนแออยู่แล้ว ก็จะหลงไปกับคำชมนั้นและจะเสียคนได้ หรือถ้าคนคนนั้นเป็นคนที่หวาดระแวงหน่อย ก็อาจจะมองว่า ไอ้นี่ประจบ เลียแข้งเลียขา สรุปแล้วก็ไม่เป็นผลดีเช่นกัน ให้จูเลียนระวังคำพูดตนไว้ด้วย... ฯลฯ

“ครับ เข้าใจแล้วครับผม”

จูเลียนตอบรับคำเช่นนั้นจริง แต่ในใจกลับนึกขำท่าทางของหยาง อีกทั้งเนื้อหาการอบรมที่จู่ ๆ หยางก็ทำตัวเป็นผู้ใหญ่มาเลคเชอร์ให้ฟังอย่างนี้

ใช่แล้ว หยางซึ่งย่างเข้าวัยสามสิบปี แต่ยังไม่แต่งงานมีครอบครัวนั้น กลับกำลังทำตัวเป็นบิดาของเด็กชายผู้นี้นั่นเอง

... พันโทแบกดัช จากฝ่ายประมวลข้อมูลของกองทัพสมาพันธ์ หนีออกจากไฮเนสเซนด้วยยานชัทเทิลเล็ก แล้วดั้นด้นมาจนพบกับหยางในวันที่ทัพของหยางตีแชมพูลแตกนั่นเอง

หยางได้เปิดฉากโจมตีแชมพูลเมื่อวันที่ 26 เมษายน หลังจากรบกันอยู่เพียง 3 วัน เขาก็ปลดปล่อยหมู่ดาวแชมพูลจากเงื้อมมือการครอบครองของกองกำลังผู้ก่อความไม่สงบได้สำเร็จ

ทั้งนี้ เนื้อหาการสู้รบนั้นไม่มีอะไรเด่นชัดหรือตื่นเต้นนัก หากไม่ใช่ดาวเคราะห์ใหญ่ ๆ ที่มีคนอยู่อย่างหนาแน่น ดั่งเช่น ไฮเนสเซน และมีอาวุธหนักคอยป้องกันตัวเองแล้ว รูปแบบของปฏิบัติการยกพล “ลงบก” (ไม่ใช่ “ขึ้นบก”) นั้นมีรูปแบบที่ตายตัวอยู่ในระดับหนึ่ง และไม่มีโอกาสให้ผู้บัญชาการรบได้แสดงฝีมือหรือความสามารถเฉพาะตัวเท่าไรนัก เริ่มจาก การยึดครองน่านฟ้า- ห้วงอวกาศในระดับวงโคจรของดาวเทียมรอบดาวเคราะห์นั้นให้ได้ก่อน จากนั้นใช้ชีปนาวุธระยะไกลโจมตีลงมาจากห้วงอวกาศ สาดลงเข้าทำลายบรรดาฐานเรดาร์ และอาวุธต่อสู้อากาศยานบนดาวเคราะห์ให้ราบคาบ สุดท้ายก็แค่ส่งกระสวยอวกาศที่เป็นยานลำเลียงพล “ลงบก” เข้าไปในบรรยากาศของดาวนั้น โดยมียานคุ้มกันและเครื่องบินรบภายใต้บรรยากาศดวงดาวติดตามไปด้วย ที่เหลือก็แค่เดินทัพคืบหน้า ภายใต้การประสานงานอย่างใกล้ชิดจากทั้งบนฟ้า (อวกาศ) และบนพื้นดิน รุกคืบหน้าเข้าไปยึดฐานที่มั่นฝ่ายตรงข้ามให้ได้ ก็เท่านั้นเอง

แต่ถึงกระนั้นก็ตาม การที่สามารถเผด็จศึกได้ในเวลาเพียง 3 วันนั้น ย่อมเป็นผลงานความสามารถของผู้บัญชาการรบภาคพื้นดิน ซึ่งคือ เชนค็อปนั่นเอง หากเป็นนายทหารธรรมดา ๆ ผู้อื่นแล้วละก็ อาจจะต้องใช้เวลามากกว่า 1 สัปดาห์ก็เป็นได้ แผนการรบของเขาคือ เริ่มจากบุกยึดจุดสำคัญทางยุทธศาสตร์ต่าง ๆ ด้วยการระดมอาวุธโจมตีอย่างหนัก จากนั้นเชื่อมจุดเหล่านั้นเป็นเส้น ด้วยรถถังยานเกราะ แล้วเลื่อนเส้นนั้นไปข้างหน้า เพื่อสร้างเป็นพื้นที่ภายใต้การยึดครองของตนให้ขยายออกไปเรื่อย ๆ เข้าสู่เป้าหมายสุดท้าย

หลังจากใช้แผนนี้ไปได้ 1 วัน ทางข้าศึกก็เริ่มจับทางได้ และเริ่มต้านรับได้บ้างแล้ว จู่ ๆ เขาก็เปลี่ยนยุทธวิธีในฉับพลัน กล่าวคือ ทุ่มกำลังบุกทะลวงเข้าสู่เป้าหมายสุดท้ายในทันที จากจุด ๆ หนึ่งที่อยู่ในพื้นที่ฝ่ายตน

การเปลี่ยนจากการบุกในแนวราบ เป็นแนวดิ่งอย่างกระทันหันนี้เอง ทำให้ฝ่ายก่อการไม่สงบไม่สามารถตอบโต้ต่อสถานการณ์ได้ทันท่วงที พวกเขาถูกปิดล้อมอยู่ในฐานที่มั่นหลัก ซึ่งได้แก่ ตึกบัญชาการท้องถิ่นของทัพสมาพันธ์ และถูกตัดขาดจากกำลังส่วนใหญ่ฝ่ายตนที่อยู่ที่อื่นโดยสิ้นเชิง เพียงเท่านี้ก็เห็นผลแพ้ชนะกันชัดเจนแล้ว หลังจากยิงต่อสู้ และรบตะลุมบอนแบบประชิดตัวกันอยู่ 2 ชั่วโมง ผู้นำฝ่ายก่อความไม่สงบอันได้แก่ พันเอกมารอนก็ใช้ปืนบลัสเตอร์ยิงกรอกปากตัวเองตาย ส่วนพรรคพวกที่เหลือก็ยอมจำนนแต่โดยดี

“ทำได้ดีมาก”

หยางเอ่ยปากชมเชนค็อป หลังจากที่ฝ่ายหลังกลับขึ้นไปยังเรือธง แต่แล้วเขาก็ต้องทำสีหน้าอิดหนาระอาใจ เมื่อเห็นรอยลิปสติกจำนวนนับไม่ถ้วน ที่ใบหน้า แขน และเสื้อของผู้บัญชาการรบภาคพื้นดินผู้นี้ แต่นี่ก็ทำให้สามารถจินตนาการได้ถึงความปิติยินดีของบรรดาพลเรือนในท้องที่ ที่ถูกปลดปล่อยจากความหวาดกลัวที่เกาะกุมพวกเขาอยู่ถึงครึ่งเดือนกว่าได้เป็นอย่างดี

“เอาน่า แหม ให้กระผมได้รางวัลแถมแบบนี้ก็ดีแล้วนี่ครับผม คุ้มกับที่เหนื่อยหน่อย”

เชนค็อปพูดพึมพำเหมือนจะแก้ตัว- และในจังหวะนั้นเองที่พันโทแบกดัชก็เดินทางมาถึง

หลังจากผ่านกระบวนการตรวจสอบแล้ว แบกดัชก็ถูกพาตัวมายังสะพานเรือของเรือธงฮิวเบริออนทันที ไม่ว่าใครล้วนแต่กระหายที่จะได้รับรู้ข่าวคราวทางไฮเนสเซนด้วยกันทั้งนั้น แต่อย่างไรก็ตาม พวกเขาก็ต้องให้สิทธินี้แก่หยางซึ่งมีอำนาจสูงสุดในที่นั้นก่อน

ท่ามกลางสายตาทุกคู่ที่จ้องมองมาเขม็ง คำถามแรกที่หยางถามคือ มีใครถูก “เชือด” ไปบ้างแล้วหรือยัง

“ณ ขณะนี้ มีหลายคนที่ถูกกักบริเวณอยู่ครับ แต่ยังไม่มีใครถูกประหารชีวิต ในอนาคตนี่ไม่แน่นะครับ...”

“งั้นหรือ...”

“แต่มีเรื่องอื่นที่สำคัญกว่าครับ คือ กองยานรบที่ 11 เข้าร่วมกับพวกรัฐประหารแล้ว และกำลังมุ่งหน้าตรงมาทางนี้ครับ”

ทุกคนลอบกลั้นหายใจ หยางเองก็ไม่พูดอะไรเช่นกัน หากแต่ใช้สายตาบอกให้อีกฝ่ายพูดต่อ

“ได้ยินมาว่าผู้บัญชาการกองยานรบฝ่ายนั้น คือ พลโทรุกรันจ์ ตั้งใจจะท้ารบกับท่านซึ่ง ๆ หน้า โดยไม่ได้คิดจะวางกลอุบายใด ๆ ทั้งสิ้นครับ”

“น่าขอบคุณจริง ๆ”

หยางพึมพำเหมือนจะประชด แต่ใจจริงเขาไม่ได้คิดเช่นนั้นหรอก แล้วเขาก็ปล่อยให้ลูกน้องของตนได้ซักถามบ้าง

ขณะที่แบกดัชต้องผจญกับคำถามที่ประดังออกจากปากของฟิชเชอร์และมุระอิประดุจห่าฝนห่าใหญ่อยู่นั้น เขาก็สอดส่ายสายตาไปทั่วห้องเหมือนจะหาใครสักคน จนในที่สุดเขาก็ต้องเลียบเคียงถามหยางขึ้นว่า

“เอ่อ... นายทหารผู้ช่วยของท่าน- ร้อยเอกกรีนฮิลล์ไปไหนหรือครับ”

“อ๋อ คนนั้นนะเหรอ ก็รู้ ๆ อยู่น่ะนะ ว่าเธอเป็นลูกใคร ก็เลยให้อยู่ที่อิเซลโลนน่ะ”

หยางตอบ และก็มีเสียงร้องดัง “อุ๊บ” ดังแทรกมาจากอีกทางหนึ่ง ทุกคนหันหน้าไปมองทางต้นเสียงเป็นจุดเดียวกันทันที ปรากฏว่า เชนค็อปทำกาแฟหกรดเสื้อตัวเองบริเวณหน้าอก

“ว้า ให้ตายเหอะ อุตส่าห์ได้รับรอยจูบมาแท้ ๆ ... กระผมขอตัวสักประเดี๋ยวนะครับผม”

เขาสบสายตากับหยาง แล้วก็พาตัวเองออกนอกห้องประชุมนั้นไป

ที่ทางเดินหน้าห้องนั้น เขาพบจูเลียนยืนอยู่ เด็กชายยังไม่มีสิทธิที่จะเข้าห้องประชุมนั้นก็จริง แต่ก็ต้องอยู่ในตำแหน่งที่จะได้ยินเสียงเรียกใช้ของหยางเสมอ

“ร้อยเอกกรีนฮิลล์อยู่ไหน รู้รึเปล่า?”

“อยู่ที่ห้องพยาบาลครับ เห็นบ่นว่าปวดศีรษะตั้งแต่เช้าแล้ว... น่าสงสารนะครับ”

กล่าวคือ น่าจะเป็นอาการปวดศีรษะเนื่องจากความเครียดทางจิตใจมากกว่า เชนค็อปพยักหน้ารับรู้แล้วเดินไปทางห้องพยาบาล

นางพยาบาลร่างเล็กกระทัดรัดมองชุดพรางของเชนค็อปซึ่งประดับประดาด้วยรอยจุมพิตและคราบกาแฟแล้วก็ทำสีหน้ารังเกียจ ปฏิเสธไม่ให้เข้าห้องพยาบาล

“ร้อยเอกกรีนฮิลล์อยู่ที่นี่ไม่ใช่หรือ ขอพบหน่อย”

“ใช่ค่ะ เธออยู่ในนี้ แต่ดิฉันคงไม่สามารถอนุญาตให้ท่านเข้าห้องพยาบาลในสภาพที่สกปรกเช่นนั้นได้นะคะ”

นางพยาบาลซึ่งสูงไม่ถึงไหล่ของเชนค็อปเสียด้วยซ้ำ ยืนจังก้าอยู่หน้าห้องอย่างเด็ดเดี่ยว แต่แล้ว เสียง ๆ หนึ่งก็ดังจากในห้อง ช่วยกู้สถานการณ์ให้เชนค็อป

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ให้เขาเข้ามาเถอะ... เชิญค่ะ พลจัตวาเชนค็อป”

นางพยาบาลมีสีหน้าไม่เต็มใจนัก แต่ก็ยอมให้เขาผ่านเข้าไปในห้องแต่โดยดี

เฟรดเดอริก้ากำลังนอนอยู่บนเตียงพยาบาลทั้งชุดเครื่องแบบทหาร แต่แล้วก็รีบลุกขึ้นนั่งทันที เชนค็อปแอบนึกเสียดายในใจที่ไม่ได้เห็นหญิงสาวในชุดลำลอง ปากก็อธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟังคร่าว ๆ

“ผู้การหยางแกคงนึกสงสัยอยู่แล้วมั้ง มีอย่างที่ไหน หนีออกมาจากไฮเนสเซนได้ตอนนี้นี่ ไทม์มิ่งไม่ดีไปหน่อยหรือ พอแกพูดอย่างนั้นผมก็เลยแกล้งทำกาแฟหกใส่ตัวแล้วร้องเสียงหลงเลย คิดว่า เจ้าแบกดัชนั่นคงไม่ทันสังเกตเห็นสีหน้าแปลกใจของทุกคนหรอก... ว่าไง มีอะไรเกี่ยวกับชื่อนี้ที่พอจะนึกออกบ้างไหม?”

กล่าวคือ หยางสงสัยในท่าทีของแบกดัช ว่าอีกฝ่ายกำลังระแวดระวังที่จะต้องเจอเฟรดเดอริก้า จึงขุดหลุมดักไปว่าเฟรดเดอริก้าไม่อยู่ที่นี่ ซึ่งเรื่องนี้ไม่ได้นัดแนะกับคนอื่น ๆ ในห้องประชุมนั้นมาก่อนนั่นเอง มีเพียงเชนค็อปที่ตามความคิดของหยางได้ทัน

“ดิฉันเคยพบพันโทแบกดัชแค่ครั้งเดียวค่ะ เมื่อห้าปีก่อน ที่ห้องหนังสือของคุณพ่อ ตอนนั้นเขามาบ่นเกี่ยวกับความไม่พอใจในการเมืองปัจจุบันของสมาพันธ์เรา”

ความทรงจำของเฟรดเดอริก้านั้น ขึ้นชื่อว่าเป็นเลิศยิ่งนัก หากหล่อนบอกเช่นนี้ก็ย่อมไม่มีผิดแน่

“อย่างนี้นี่เอง มิน่าล่ะ ถึงได้ต้องคอยดูว่าจะจ๊ะเอ๋เข้ากับคุณเข้ารึเปล่า พวกวัวสันหลังหวะนี่เอง สรุปก็คือ หมอนี่เป็นจารชนจากฝ่ายนั้นอย่างแน่นอน ซ.ต.พ.”

ดูเหมือนว่า ผู้นำคณะรัฐประหาร- พลเอกกรีนฮิลล์เองก็มีคนสนิทที่ไว้ใจได้ไม่มากนัก จึงต้องเสี่ยงส่งคนที่เฟรดเดอริก้ารู้จักมาเช่นนี้ ท่าทางคงจะหมายลอบสังหารหยางให้เร็วที่สุด ก่อนที่จะความแตกเนื่องจากความทรงจำอันยอดเยี่ยมของเฟรดเดอริก้านี้กระมัง ถ้าโดนแบบนั้นเข้าระหว่างที่กำลังรบอยู่กับกองยานรบที่ 11 ละก็ กองยานรบหยางเห็นทีจะแตกพ่ายเป็นแน่ และรัฐประหารครั้งนี้ก็จะสำเร็จในที่สุด ต่อให้จารชนผู้นั้นจะโดนฝ่ายหยางที่เหลือฆ่าไป ก็นับเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าเหลือเกิน

ที่จริง เชนค็อปไม่ยี่หระแม้แต่นิดเดียวว่า สมาพันธ์ดาวเคราะห์เสรีจะล่มสลายหรือเป็นตายร้ายดีอย่างไร แต่สิ่งที่เขาสนใจคือ หากปล่อยให้หยางตายไปตอนนี้ ประวัติศาสตร์นับจากนี้ไปจะไม่สนุกน่ะสิ นึกอย่างนั้นแล้วเขาก็ตัดสินใจอะไรบางอย่างโดยไม่ลังเลเลย...

“พันโทแบกดัชไปไหนแล้วล่ะ?”

หยางถามขึ้น ตอนนั้นเป็นเวลาก่อนอาหารเย็น

“นอนหลับอยู่ครับผม”

“ฝีมือคุณสิท่า”

น้ำเสียงของหยางเหมือนกับคาดการณ์ไว้แล้ว

เชนค็อปหลิ่วตาให้ข้างหนึ่ง แล้วตอบว่า

“ก็แค่ให้ยานอนหลับขนานพิเศษน่ะครับผม คิดว่าคงจะหลับไปอีกสักสองสัปดาห์แหละ ไอ้พวกหน่วยจารกรรมพวกนี้นะ ต่อให้จับขังยังไงก็ตาม ตราบใดที่ยังตื่นอยู่ละก็ไว้ใจไม่ได้หรอกครับผม สรุปว่าให้เขาหลับไปจนกว่าศึกเฉพาะหน้าของเราจะจบนี่แหละ ดีที่สุด”

“แทงค์กิ้ว”

หยางกล่าวขอบคุณพลางฝืนยิ้มอย่างเหนื่อยใจ

(อ่านตอนต่อไป)


กลับไปอ่านตอนที่แล้ว +++ กลับไปหน้าสารบัญ +++ ไปอ่านตอนต่อไป 1