นวนิยาย เรื่องสั้น บทความ |
เรื่องสั้น ถ้าจำไม่ผิดรู้สึกว่าผมจะเจอกับมันครั้งแรกก็สักเกือบ 5ปีมาแล้วที่นี่แหละครับที่มหาวิทยาลัยเล็กๆแห่งหนึ่งในประเทศไทย เพื่อนผมคนนี้ความที่มันมีหน้าตาคมเข้ม ประจวบกับผมที่ยาวสลวยของมัน เลยทำให้มันเป็นชายหนุ่มที่หน้าตาดีค่อนข้างมากคนหนึ่ง แต่เสื้อผ้าที่มันใส่กลับตรงข้ามกับหน้าตาของมันอย่างสิ้นเชิง ทุกๆวันมันมักจะใส่เสื้อกระดำกระด่าง ซึ่งเข้ากันดีกับย่ามใบเก่าๆ ที่มันสะพายอย่างภาคภูมิ บ่อยครั้งที่มันมักจะพูดแบบหยันๆ ว่า "มรดกของลุงกูโว้ย ไม่ว่าแต่อย่าลบหลู่นะมึง" มันชื่อ "อังคาร" ครับ แรกๆพวกผมมักชอบเรียกมันด้วยสรรพนามที่น่ารักว่า "แม่อัง แม่อัง" แต่มันกลับทำหน้าซีเรียส พร้อมกับพูดอย่างจริงจังว่า "อันตัวกูนี้ชื่อว่าอังคาร ลุงของกูท่านอุตส่าห์ตั้งให้ พวกมึงช่วยแถลงแลวานบอกไอ้พวกเหี้ยๆ ไซร้ก่อนกูจังกระทืบมันเอย" หลังจากวันที่มันพล่ามกาพย์กลอนอันยาวเหยียดจบลงนั้น พวกเราต่างก็พร้อมใจกันเรียกมันว่า "คุณพี่อังคาร" หน้าตาของมันแสดงออกถึงความพอใจในบัดดล มันเรียนคณะจิตรกรรมครับ ที่สิงสถิตย์ของมันมักอยู่ที่บันไดตามตึกต่างๆ ดวงตาของมันที่มีองค์ประกอบสวยงามคือ ตาโตใสและมีขนตาที่งอนและยาว แต่มันกลับชอบใช้เหม่อลอยเสมอๆ ในมือของมันมักจะถือดินสอสีไม้เอาไว้สำหรับปากที่บางเฉียบของมันกัด แทะ เล็ด ตามอารมณ์ แต่แปลกมากที่ว่าถึงแม้ว่าลมปากของมันจะขี้เหล่ไปสักนิด แต่บรรดาสาวๆ กลับชอบมันมาก มีอยู่วันหนึ่งมันวิ่งหน้าเริดมาถามผมว่า "เฮ้ยเสือทำไงดีวะ (อี)เป้เขาตามกูทุกฝีก้าวเลยว่ะ" เสียงของมันร้อนรนไม่แพ้หน้าตาของมันสักนิด และ(อี)เป้ที่มันพูดถึงก็เป็นถึงดาวอย่างไม่เป็นทางการของมหาวิทยาลัยเรา "มึงก็บอกกับเขาซิว่าเลิกจองเวรจองกรรมไปผุดไปเกิดได้แล้ว" ผมออกความเห็น มันดีดนิ้วทีนึง ผมถอนหายใจ มันหันขวับมามองหน้าผม แววตาของมันทำเอาผมอึ้ง "แต่ลุงกูเคยสอนว่าอย่าทำร้ายจิตใจผู้หญิงว่ะ" มันพูดขึ้นเรียบ ๆ "อ้าวอังคารอยู่นี่เอง เป้ตามหาตั้งนาน" เป้โผล่มาจากไหนไม่มีใครรู้ ผมหันไปมองไอ้อังคารมันกำลังทำท่าครุ่นคิด ก่อนจะหันมาทางหญิงสาวตรงหน้า "เป้เลิกตามผมสักทีได้ไหมบอกตรงๆ รำคาญว่ะ" มันพูดเสียงเข้ม เป้เริ่มหน้าเสีย "เฮ้ยอังคารมึงพูดอะไรวะ" ผมหันไปด่ามันตามมารยาท มันยิ้มหยันๆ ก่อนที่จะบอกเป้เสียงเข้มกว่าเดิมว่า "ผมมีแฟนแล้ว ตามก็เสียเวลาเปล่าๆ ปลี้ๆ" คุณพี่อังคารพูดแบบมะนาวไม่มีน้ำ เป้หน้าซีดอยิ่งกว่าไข่ที่ปลอกเปลือก แต่ผมว่าหน้าอารมณ์นี้น่ารักดีแฮะ "จริงเหรอ" เป้ถามเสียงอ่อย อังคารพยักหน้า เป้มองหน้าผมนิดนึงก่อนที่จะวิ่งจากห้องเรียนไปเหมือนกับนางเอกมิวสิควีดีโอ ผมหันไปมองไอ้หน้าหล่อ มันยิ้มที่มุมปากก่อนที่จะพูดเหมือนกับกระซิบว่า "แต่ลุงกูก็บอกไว้ว่าปากกับใจเราต้องตรงกันว่ะ ถึงจะเป็นคนจริง" มันหยุดพูดมองหน้าผมก่อนที่จะยกมือขึ้นพนมกับอก แล้วก็เปล่งเสียงยานคางว่า "อันจิตใจมนุษย์ไซร้ยากแท้หยั่งถึง" พูดจบมันก็ยักคิ้วให้ผม ผมส่ายหน้า "เฮ้ยเสือไปหาอะไรกระแทกปากที่ท่าพระจันทร์ดีกว่า" มันเปลี่ยนเรื่องพูด "เออไปชวนพวกไอ้จรที่สนามบาสด้วย" ผมสนับสนุน และนับตั้งแต่เกิดเรื่องวันนั้น รู้สึกว่าความป๊อปปูล่าของมันจะค่อยๆหมดไป แต่มันก็ยังเป็นมันแหละครับ จองหองยังไงก็ยังน่ารักอยู่อย่างนั้น จำได้ว่ามีอยู่ครั้งนึงมันหน้ามู่ทู่แต่เช้า ยายเป้คนสวยถือนิตยสารไฮโซผู้หญิงเข้ามา แม่เจ้าประคุณเอ้ยคนบนปกสวยฉิบ(hai)เลย ปากนิด จมูกหน่อย แต่ตาของเจ้าหล่อนซิสวยเหมือนตาของไอ้อังคารเพื่อนผมยังไงยังงั้นเลย "ปล่อยวางซะบ้างเถอะพวกมึง พระท่านว่าใด ๆ ในโลกล้วนอนิจจัง เดี๋ยวก็แก่ เดี๋ยวก็ยานหมดแล้ว" พี่อังคารพูดโพล่งออกมาโดยที่ไม่มีใครสักคนเชื้อเชิญ พวกผมส่ายหน้ากับอารมณ์ของมัน "จะถ่ายหาหอกหาแคร่ไปทำไมก็ไม่รู้" มันพล่ามบ่นกับตัวเอง "แล้วมึงไปเกี่ยวอะไรด้วยวะ"ไอ้จรพูดแบบกวนโอ้ย ไอ้อังคารลุกขึ้นเดินมาหาคนพูด "มึงว่าเขาสวยมากไหม" มันถามความเห็นไอ้จรไอ้จรพยักหน้าอย่างงง ไอ้อังคารยิ้มที่มุมปาก "เขาเป็นแฟนกู" มันพูดเสียงราบเรียบ ซึ่งขัดกับเสียงโห่ฮาของพวกเราในห้อง แต่มันกลับเดินอย่างไม่แยแสไปที่โต๊ะเรียนหยิบเป้เก่าๆ ใบที่มันภูมิใจหนักหนาสะพายบ่า แล้วก็เดินออกจากห้องเรียนไปอย่างไม่สะทกสะท้าน สักพักมันก็โผล่หัวออกมาพูเสียงเย้ยหยันตรงประตูว่า "ก็โบราณเขาว่าไว้ว่าคนที่หน้าตาคล้ายกันมักเป็นเนื้อคู่กันไม่ใช่เหรอวะ แปลว่าอีนี่ก็เป็นแฟนกูน่ะซิ" พูดจบมันก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมา พวกผมก็เลยจัดมหกกรมวิ่งผลัดจับมันรอบมหาวิทยาลัย เวลาผ่านไปไวเหมือนปฏิทินโลกโกหก วันสุดท้ายของการสอบก็มาถึง ผมรวมทั้งไอ้อังคารไอ้จร ย้ายเป้ พร้อมกับเพื่อนคนอื่นๆ ก็จะพ้นสภาพนักศึกษาของที่นี่ไปความรู้สึกเหงาๆ เริ่มก่อตัวขึ้นในหัวใจดวงน้อยๆของผม ผมเห็นไอ้อังคารนอนอยู่ตรงสนามบาสกลางแดดเปรี้ยง ผมเลยเดินไปนอนข้างๆมัน แหมพื้นมันช่างร้อนดีแท้แฮะ "มึงจะทำอะไรต่อไปวะเสือ" มันถามผมเสียงเรียบ "กูก็ยังไม่รู้เหมือนกัน" ผมตอบกลับไป แต่ตาของผมจับจ้องอยู่ที่แป้นบาสตรงหน้า "เฮ้ยไอ้เสือไอ้อังคาร พวกมึงทำอะไรกันอยู่วะ" เสียงโหวกเหวกของไอ้จรดังขึ้นตรงมุมตึก "มึงก็มาแหกอายดูเองซิไอ้ห่า" ไอ้อังคารตะโกนตอบ สักเสี้ยววินาทีไอ้จรก็ลงมานอนข้าง ๆ ผม "มึงจะทำอะไรต่อไปวะจร" อังคารถามคำถามเดิม "กูก็ยังไม่รู้เหมือนกัน" แหมช่างไม่มีความคิดเหมือนผมดีแท้ เราสามคนไม่ได้พูดอะไรกันอีก สักพักเหมือนพระพิรุณท่านจะกรุณา ลมโชยมาลูกใหญ่ ท้องฟ้าเริ่มมืดครึ้ม ฝนผิดฤดูตกลงมาเหมือนกับเป็นการบอกลากับพวกเรา เราสามคนลุกขึ้นไอ้จรวิ่งหน้าเริดไปหยิบลูกบาส วันนั้นผมเล่นบาสกลางสายฝน เล่นพร้อมกับเพื่อนๆ อีกมากมาย พวกเราแหกปากตะโกนร้องเพลงกันมั่วซั้ว แต่สำหรับผมแล้วนั้นเพลงที่พวกเรากำลังร้องกันอยู่ ช่างเป็นเพลงที่เพราะที่สุดในโลกเลยล่ะครับถึงแม้ว่าจะน้อยกว่าเพลงชาติไทยไปสักหน่อยก็ตาม และวันนั้นก็เป็นอีกวันที่ผมรู้สึกว่าหัวใจดวงน้อยๆของผมมันพองโตคับอกยังไงก็ไม่รู้ และวันนี้แหละครับเป็นวันที่ผมจะได้เข้ารับพระราชทานปริญญาบัตร ผมมองหาไอ้หนุ่มผมยาวสุดหล่อเพื่อนผมไปทั่วแต่ที่ผมเห็นกลับเป็นไอ้หนุ่มผมสั้นหน้าตาสะอาดสะอ้านแต่ยังไงมันก็ยังเป็นเพื่อนผมอยู่ดีแหละครับ "ไอ้อังคาร" "วันนี้ต้องลงทุนหน่อยเว้ย" มันพูดเขินๆ ผมหัวเราะแต่ไม่นานผมกับไอ้จรและเพื่อนร่วมคณะก็ต้องเกิดอาการ "ช๊อคซีนีม่า" เมื่อเห็นหญิงสาวแสนสวยที่เดินตามมันมา เธอก็คือผู้หญิงที่ขึ้นปกนิตยสารที่ยายเป้เอามาให้ดูนั่นเอง แต่รู้สึกว่าหนังสือเล่มนั้นจะโชคดีที่ได้เธอไปเป็นนางแบบขึ้นปกเพียงแค่ฉบับเดียว "พวกมึงมองอะไรกันวะ" ไอ้อังคารพูดเสียงเข้ม "เขาเป็นใครวะ คุณพี่อังคาร" ไอ้จรพูดเสียงสั่นระรัว "แฟนกู" "อะไรนะ" นี่เสียงของผมเองครับ "ก็บอกว่าแฟนกู แฟนกู พวกมึงหูมีน้ำเหลืองหรือไงวะ" ไอ้อังคารตะโกนลั่น แต่พวกผมกลับได้ยินเสียงดัง "ผลั้ก" ดังสวนกลับมา หญิงสาวนางนั้นใช้ฝ่ามือพิฆาตประทับลงที่หลังของเพื่อนผมนั่นเองมันเพียงแต่หันไปมองอย่างเกรงกลัว เธอยิ้มน้อยๆ แต่ผมรู้สึกสะหยิวยังไงก็ไม่รู้ "นี่แฟนกูชื่อพลอย" มันบอกพวกผมเสียงอ่อย "พลอยครับนี่พวกเพื่อนผมไม่บอกชื่อหรอกนะเมื้อยกรามน่ะ" มันก็ยังเป็นมันเหมือนเดิม คำพูดขี้เหล่ๆ มักชอบออกมาจากปากบางๆ ของมันเสมอๆ หลังจากเข้ารับพระราชทานปริญญาบัตรแล้ว พวกเราทุกคนต่างก็จับไม้จับมือแสดงความยินดีซึ่งกันและกัน ผมเห็นไอ้อังคารเบือนหน้าไปทางอื่น เห็นหยาดน้ำตาเล็กๆอยู่ในตาคู่สวยของมัน ผมยิ้มอย่างไม่รู้ตัว ผมรู้ดีว่าพวกเรารู้สึกดีใจกันมากแค่ไหน มหาวิทยาลัยอาจให้ปริญญาตรีกับพวกเรา แต่ผมรู้ว่ามหาวิทยาลัยให้อะไรที่มีค่ามากกว่านั้นมากนักซึ่งแล้วแต่ว่าใครจะเก็บเกี่ยวไปได้มากแค่ไหน ผมเดินออกจากมหาวิทยาลัยตอนพระอาทิตย์ใกล้จะตกแม่น้ำเจ้าพระยา ทิ้งความทรงจำดีๆไว้เบื้องหลัง ข้างหน้ายังมีหนทางที่ทอดไกลที่กำลังรอให้พวกผม พวกที่ใครๆ ต่างก็ยกย่องว่าเป็น "ปัญญาชน" เดินทางค้นหาอีกยาวไกล พวกเราทุกคนต่างก็ต้องเดินไปตามเส้นทางของตัวเองทั้งนั้น แต่ผมเชื่อว่าสำหรับพวกเราทุกคนแล้วความเป็น "เพื่อน"ไอ้คำสั้นๆคำนี้มันจะอยู่ในหัวใจของพวกเราตลอดไป แม้กระทั่งเวลาก็ไม่สามารถจะทำอะไรได้ เพราะ
"คุณค่าของความเป็นเพื่อน |
Poet 2543 |
| Home
| การแต่งร้อยแก้ว
| การแต่งร้อยกรอง
| วิธีการร่วมสนุก | About Us | Top |
Weekly Poems | วันจันทร์ | วันอังคาร | วันพุธ | วันพฤหัสบดี | วันศุกร์ | วันเสาร์ | วันอาทิตย์ |
| นวนิยาย | บทละคร | เรื่องสั้น | บทความ | เรื่องที่อยากเล่า | นิทาน | ตำนาน-ชาดก | แนะนำหนังสือ | สาระ-เกร็ดความรู้ |
7Smooth.com Group
Copy Right 1999
poet2543@hotmail.com | poet2543@7smooth.com