นวนิยาย เรื่องสั้น บทความ |
เรื่องสั้น
เรื่อง ตาของหมอ
ตาคลี่ลูกระนาดไม้ที่ม้วนอยู่
ขึ้นคล้องสองหัวท้าย ขึงบนราง
ก่อนหยิบไม้นวมคู่
ขึ้นวางบนระนาด
ยกมือสองข้างขึ้นพนมระหว่างคิ้ว
หลับตาลง
ตาทำฝีปากขมุบขมิบครู่หนึ่ง
ก่อนเริ่มบรรเลงเพลงสาธุการเป็นเพลงโหมโรงเพื่อ
ไหว้ ครู ผี สาง เทวดา
เสียงของระนาดจากข้อลำที่แข็งแกร่งของตา
ผ่านเครื่องกระจายเสียงดังไปทั่ววัด
สอนกระพริบตาถี่ สูดหายใจลึก
รู้สึกขนลุกขนชันทั่วกาย
ได้ยินเพลงสาธุการทีไร
เธอเกิดอาการเช่นนี้ทุกที
เด็กหญิงวัยเก้าขวบ
ผิวขาวเหลืองเหมือนลูกของคนเหนือทั่วไป
หน้าที่เรียวยาว
ร่างที่ผอมบางกว่าอายุทำให้มองดูราวกับเด็กห้า-หกขวบ
สอนนั่งอยู่ด้านหลังของตา
มือขยับฉิ่ง
ให้เข้าจังหวะกับเสียงระนาด
ฟ้าสลัวลง มองออกนอกศาลาวัด
ความมืดเริ่มเข้ามาปกคลุมโบสถ์วิหาร
เสาระฆัง
ต้นโพธิ์ใหญ่ที่อยู่ไกลออกไปมองเห็นตะคุ่มๆ
ตาเปลี่ยนเป็นเพลงพญาโศกแล้ว
เสียงระนาดแล่นเข้าไปรัวเต็มทรวง
เศร้าสร้อยเสียดหัวใจ
ตาตีได้คล่องแคล่วแม้มองเห็นระนาดได้ไม่ชัดนัก
ด้วยไฟฟ้าที่ศาลาวัดยังไม่ทันเปิด
สอนว่าตาหลับตาตีก็ยังได้
ตั้งแต่สอนลืมตามาดูโลก
ก็เห็นตามัดระนาดรางนี้เข้าซ้อนท้ายมอเตอร์ไซด์เก่า
"อีแก่" ที่ตาชอบเรียก
ไปช่วยงานศพทั่วอำเภอไม่มีขาด
เมื่อสอนจำความได้
ก็ได้นั่งที่นั่งไม้สำหรับเด็ก
ที่ตาต่อจากเบาะของอีแก่มาด้านหน้าหลังจากนั้นสอนก็ได้เป็นลูกมือของตามาตลอด
ตาตีระนาดตั้งแต่หัวค่ำจนพระเริ่มมา
เมื่อพระเริ่มสวดตาก็หมดหน้าที่ตารอจนพระกลับหมดจึงเริ่มเก็บข้าวของกลับ
"พ่อหนานคำ
ขอบใจแก่มากนะที่มาช่วยงาน"
ยายสายเมียตาแม้นคนตาย
เอามือเท้าเข่าค่อยๆลุกเพื่อมาส่งตา
"แก่แล้ว ก็ไม่มีอะไรดี
แม้แต่หัวเข่าก็ยังเอาตัวไม่ไหว"
แกชอบบ่นเช่นนี้เป็นประจำ
แกเรียกตาว่าหนานเหมือนใครๆ
ในหมู่บ้านเพราะตาเคยบวชเป็นพระมาก่อน
พอลุกขึ้นได้ยายสายแกะห่อผ้าที่เหน็บไว้ข้างสะเอว
เอามือแตะน้ำลายคลี่แบงก์นับอย่างระมัดระวัง
หยิบเงินส่งให้ตาที่กำลังเคียนสายมัดระนาดติดท้ายรถ
ตาหันมามองเป๊บเดียว
สั่นหน้าบอกว่า
"อีสาย มึงเก็บสตังค์ไว้เถอะ
กูมาช่วยไอ้แม้นมัน
มันกับกูเป็นเพื่อนกัน
ไม่ให้งานศพมันเงียบมันเหงากูก็ดีใจแล้ว
มึงเก็บตังค์มึงไว้
มึงยังต้องใช้จ่ายอีกมาก"
ยายสายได้ยินดังนั้น
ก็ไม่เซ้าซี้
แกเก็บห่อผ้าคืนไว้ในพก
ยกชายเสื้อขึ้นซับน้ำตา
ตาหันมาหาสอน
อุ้มสอนเหมือนอุ้มเด็กเล็กขึ้นที่นั่งประจำหน้าเบาะ
"ขึ้นรถกลับบ้านเหอะอีสอน
พรุ่งนี้เอ็งต้องไปโรงเรียนแต่เช้า"
ต้นละมุดนี้กิ่งมันเหนียวนักกิ่งเล็กๆ
เท่าแขนสอนก็ยังทนน้ำหนักสอนได้ดี
เด็กหญิงไต่กิ่งละมุดอย่างชำนาญแกมระมัดระวัง
มือคว้ากิ่งใบพยุงตัว
ตาสอดส่ายมองหาลูกละมุดที่ดูนวลใสใบโต
แสดงว่าแก่จัดแล้ว
ถ้ายังอ่อนอยู่จะดูสีหม่นๆ
มีเกสรสีดำแหลมติดอยู่ที่ก้น
เบื่อยางละมุดนัก
เวลาเด็ดลูกยางสีขาวจากขั้วของมันมักจะย้อนหยดใส่มือแขนขา
ล้างออกยากทุกครั้ง
เด็กหญิงเก็บละมุดใส่ย่ามที่สะพายบ่าจนตุง
"อีสอนเอ๊ยอีสอน"
เสียงตาเรียก
เด็กหญิงแลผ่านช่องโปร่งของกิ่งใบลงมา
เห็นตายืนอยู่กับครูเอมอรคนใจดีของสอน
เด็กหญิงรีบไต่ลงมาจากต้นละมุดไม่ทันถึงพื้นเธอชิงกระโดดลงตุ้บก้นเกือบกระแทกดิน
เสื้อผ้ากางเกงขาสั้น หัวหู
มือไม้เต็มไปด้วยคราบสีดำเหนียวของยางละมุด
"สวัสดีค่าคุณครู"
สอนยกมือไหว้ครูเอมอร
ปีนี้สอนอยู่
ป.๖แล้วครูเอมอรเป็นครูประจำชั้นที่เอาใจใส่นักเรียนมาก
ครูมาหาสอนที่บ้านบ่อยบางครั้งก็มาคุยกับตาเรื่องต่างๆ
แต่ก็มักจะลงเอยด้วยเรื่องอนาคตของสอน
สอนไม่สงสัยเลยว่าครูมาหาตาทำไม
มือหนึ่งของเด็กหญิงรีบเทลูกละมุดใส่กะละมังไว้ให้ตาล้างก่อนเก็บใส่โอ่งเพื่อรอให้มันสุกจะได้นำไปขายที่ตลาด
มือหนึ่งคว้าเศษผ้าจุ่มน้ำมันหมูในถ้วยในตู้กับข้าว
เช็ดผมที่ตัดจนสั้นคล้ายเด็กชาย
เนื้อตัวให้ดูเอี่ยมขึ้นจากยางละมุด
แล้วเดินมานั่งข้างๆ
ตาที่แคร่ไม้ไผ่ใต้ถุนบ้าน
ฟังตากับครูคุยกัน
ทั้งๆที่ตัวหึ่งน้ามันหมูอย่างนั้น
"ว่าไงสอน อยากเรียนต่อไหม"
ครูเอมอรหันมาขยิบตาให้เด็กหญิงทำท่าจะลูบหัวแล้วกลับเปลี่ยนใจ
ครูคงเห็นน้ำมันหมูมันเยิ้มบนหัวสอน
สอนพยักหน้าอย่างกระตือรือร้น
ก่อนตอบรับเบาๆ
สอนรู้แล้วว่าครูจะถามอย่างนั้น
"ครูขอลุงหนานคำ ตาสอนแล้วนะ
ตาก็อนุญาติให้เรียนต่อแล้ว
ไม่มีเงินเรียนไม่เป็นไร
คุณนายลัดดา
แม่เลี้ยงเจ้าของลัดดาแลนด์ท่านใจบุญให้ทุนเด็กที่เรียนดีแต่ยากจนครูไปเล่าเรื่องสอนให้ท่านฟัง
ท่านยินดีจะส่งสอนเรียนจนจบ ม. ๖
แต่สอนต้องเรียนให้ดีตลอดไป
สอนสัญญากับครูไว้แล้วนะ"
ครูหันมาทวงสัญญา
สายตาของตามองดูสอนอย่างปราณี
ดวงตาขุ่นมัวของตามีประกายขบขันขึ้นมาแวบหนึ่งก่อนแกล้งส่งเสียงดัง
"อ้อ...อีสอน
นี่เอ็งแกล้งให้ครูมาขอตาเหรอ
เอ็งแอบเตี๊ยมกับครูไว้ก่อนแล้วใช่ไหม"
ตาท้วงขึ้นแล้วหัวเราะชอบใจ
เสียงวิทยุดังงุ้งงิ้ง งุ้งงุ้ง
ตาตื่นเมื่อไหรวิทยุก็ตื่นเมื่อนั้น
ตาฟังวิทยุทั้งวัน
ตาว่าคนไม่รับรู้ข่าวสารบ้านเมืองจะทำให้ประเทศชาติไม่เจริญ
สอนเพิ่งกลับจากโรงเรียน
เธอรีบคว้าขวานมาช่วยตา
"อีสอนเอ็งไม่ต้องทำแล้ว
ให้ตาทำคนเดียวก็พอ"
ตาดึงขวานจากมือสอน
วางลงกับพื้น
ยกมือปาดเหงื่อบนหน้าผาก
ปีนี้ตาแก่ไปมาก ผมขาวทั้งหัว
ร่างที่เคยสูงใหญ่
บัดนี้หลังไหลลู่ลง
หน้าอกที่เคยมีกล้าม
ดูหย่อนยานตาไม่สวมเสื้อ
นุ่งกางเกงสะดอเก่าๆ ตัวเดียว
ตากลับไปนั่งประจำที่
ที่ม้านั่งตัวยาว
หน้าม้านั่งมีขาหยั่งสามขาสองอัน
ยึดต่อกับด้านบนล่างด้วยไม้ยาว
ตาทำไว้ใช้เป็นที่วางไม้ฟืนให้เลื่อยเป็นท่อนๆ
ได้สะดวก
ฟืนท่อนไหนขนาดใหญ่เกิน
ตาจะแยกไว้
เพื่อใช้ขวานผ่าสับให้เห็นดุ้นเล็กลง
หน้าที่หลังนี้เคยเป็นของ
สอนมาก่อน
แต่ระยะหลังนี้ตาแย่งทำหมด
ตาว่าสอนจะได้มีเวลาเรียนสูงๆ
เป็นเจ้าคนนายคน
ไม่ให้ลำบากเหมือนตา
ให้คนอื่นมันรู้ว่าไอ้ลูกไม่มีพ่อแม่อย่างสอน
มันก็เรียนได้เหมือนกัน
ตาคงคิดถึงพ่อสอนด้วยความเคืองแค้น
พ่อทิ้งแม่ไปตั้งแต่สอนอยู่ในท้องแม่
แม่คงคิดมากเมื่อคลอดสอนได้ไม่นานแม่ก็ฆ่าตัวตาย
ยายเสียใจมากและตายจากไปไม่นานจากนั้น
"นิยายน้ำเน่า"
สอนชอบพูดแซงเมื่อตาเอ่ยถึงพ่อแม่และยาย
สอนไม่ชอบให้ตารื้อฟื้นอดีต
สอนไม่อยากเห็นดวงตาแดงก่ำของตาทุกครั้งที่เอ่ยถึง
ตาเลี้ยงสอนมาด้วยลำแข้งของตา
นอกจากงานอดิเรกคือเล่นระนาดหน้าศพซึ่งได้เงินมากไม่ได้เงินบ้าง
งานประจำของตาคือขายลูกละมุด
ขายฟืน ฟืนของตาขายดี
แม้ปัจจุบันคนใช้เตาแก็สกันมาก
แต่ฟืนก็ยังเป็นของจำเป็นในหมู่บ้าน
โดยเฉพาะการหุงต้มที่ใช้ไฟแรง
ตามีเจ้าประจำมาซื้อฟืน
เป็นแม่ค้าขนมจีน
แม่ตชค้ากล้วยทอด ไก่ทอด หมูทอด
หลายราย
"ถ้าสอนเป็นหมอ
ตาไม่ต้องตัดฟืนผ่าฟืนขายแล้วนะตา
งานมันหนักเกินแรงตาจะสู้ไหว"
สอนมองตาหอบเหนื่อยเมื่อเลื่อยฟืนท่อนใหญ่อย่างไม่สบายใจ
ระยะหลังๆ ตาดูเหนื่อยง่าย
กลางคืนก็นอนหมอนสูง
ตาว่านอนหัวต่ำ
ตาหายใจไม่ค่อยออก
สอนดูเรื่อยลงมาเห็นมือที่หยาบกร้าน
ปูดโปนด้วย
เส้นเอ็นของตาไม่น่าเชื่อว่าเป็นมือเดียวที่จับไม้นวมระนาดขึ้นมาบรรเลงเพลง
ได้อย่างไพเราะเพราะพริ้ง
สอนหวังจะเป็นหมอตั้งแต่ขึ้น ม.๓
ครูเอมอรบอกว่าถ้าสอนเรียนได้ระดับนี้
พอสอนอยู่ชั้น ม.๖
สอนน่าจะสอนโควต้าแพทย์ของภาคเหนือติด
เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ได้
ถ้าเข้าแพทย์ได้สอนก็จะไม่ลำบากเพราะหาทุนเรียนต่อได้ไม่ยาก
มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ก็ไกลจากบ้านแค่สามสิบกิโลอยู่จังหวัดเดียวกัน
เดินทางมาหาตาก็ไม่ลำบากมากนัก
ครูเอมอรช่วยวางแผนชีวิตให้สอนเรื่อยมา
สอนขึ้น ม.๖ ปีนี้
เมื่อตาไล่ไม่ให้ช่วยงาน
เธอรีบขึ้นบ้านไปอ่านหนังสือ
จวนค่ำแล้ว
เสียงเลื่อยฟืนเงียบลง
เสียงจักจั่นร้องระงมที่ต้นฉำฉาใหญ่ข้างๆรั้วนอกบ้าน
บ้านของตากับสอนเป็นบ้านชั้นเดียวยกพื้นสูงมุงสังกะสีมีห้องเดียวที่กั้นเป็นห้องนอน
มุมห้องนอนเป็นที่ว่างโต๊ะหนังสือที่อยู่ประจำของสอน
ที่เหลือเป็นชานเรือนสารพัดประโยชน์ตั้งแต่ที่กินข้าว
ที่รับแขก
ที่นั่งเล่นเนื้อที่รอบๆ
บ้านเท่ากระแบะมือแต่มีต้นละมุดลูกดกถึงสามต้น
เป็นทั้งแหล่งทำรายได้และเป็นที่ปีนป่ายห้อยโหนเล่นของสอนครั้งยังเป็นเด็กๆ
เวลาล่วงสู่วันใหม่
เสียงไก่ขันเอ๊ก อี๊ เอ๊กเอ๊ก
มาแต่ไกล สอนเริ่มโงกง่วง
สอนรู้ตัวดีว่าสอนไม่ได้เก่งกาจและฉลาดอะไรนัก
โรงเรียนที่ตนเรียนก็เป็นโรงเรียนที่ไม่มีชื่อเสียงอะไร
ครูเอมอรบอกสูตรการเรียนให้สอนว่า
"ถึงคนเราเกิดมาไม่เท่าเทียมกัน
รวย จน ต่างกัน
แต่สิ่งที่ธรรมชาติให้ความยุติธรรมแก่ทุกคนให้มีเท่าเทียมกันคือเวลา
เราต้องเพิ่มเวลาให้มากกว่าคนอื่น
โดยการขยันเข้าสู้...เมื่อรู้สึกว่าตนง่วง
สอนลุกไปหยิบกะละมังใบเล็กที่ชานเรือน
เทน้ำเย็นจากโอ่งใส่
นั่งแช่เท้าตนเองตามสูตรของครูเอมอร...เวลาตื่นของเราคือเวลานอนของคนอื่นเขา
เราจะไม่ง่วงตราบใดที่เท้าเราเปียกและเย็น"
สอนรู้ว่าตาแอบมองสอนทุกครั้งที่สอนนั่งอ่านหนังสือ
ไม่ว่าดึกดื่นเพียงใด
ตาแกล้งนอนหลับตา
หนุนหมอนสูงหันหลังให้ก็จริง
แต่เมื่อไหรสอนฟุบลงกับโต๊ะที่ตาทำให้สอนไว้อ่านหนังสือ
ตาจะลุกมาดู
มาลูบหัวสอนทุกครั้งสอนก็จะบอกตาว่า
"พักสายตานิดหน่อย ตา"
สอนจะหลับลงได้อย่างไรในเมื่อสูตรของครูเอมอรยังอยู่ในกะละมังใต้ฝ่าเท้าของสอน
ปลายปี ม.๖ ปีนั้นเป็นปีที่สอนโชคดีมาก ทุกอย่างเข้าตามแผนครูเอมอร สอนสอบติดโควต้าของภาคเหนือเข้าคณะแพทย์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ได้ ครูเอมอรช่วยติดต่อขอทุนผ่านมูลนิธิช่วยเหลือนักเรียนที่ขาดแคลนให้ ตาดีใจมาก น้ำตาคลอตาเมื่อจุดธูปบอกแม่และยายของสอนให้รับทราบ ตายกมือไหว้ท่วมหัวเมื่อพูดถึงเจ้าของทุนที่ครูเอมอรมาเล่าให้ฟัง น้ำตาหยดลงพื้นเมื่อกระชับสอนว่า "เอ็งอย่าทำให้ท่านเจ้าของทุนผิดหวังนะอีสอน"
เสียงหัวเราะต่อกระซิก
เสียงทักทายกันด้วยความดีใจคังขึ้นตรงโน้นตรงนี้
สอนยืนเก้ๆ กังๆ
เนื่องจากไม่รู้จักใครเลย
เพื่อนร่วมชั้นของสอนแต่ละคนดูสดใส
เสื้อผ้าใหม่เอี่ยม
พากันเตรียมตัวยืนรับคำปฏิญาณก่อนเข้าศีกษาเป็นนักศึกษาแพทย์ที่หน้าลานพระรูปสมเด็จพระราชบิดา
มือ นุ่มๆ เย็นๆ
มาแตะที่แขนของสอน
สอนสะดุ้งเฮือกก่อนหันมามอง
ตาเผอิญสบตากัน
อีกฝ่ายเป็นสาวผมยาวตาแป๋วหน้าใส
เธอดูกล้าไม่กลัวใครเมื่อยิ้มแก้มบุ๋มแนะนำตนเองอย่างเป็นมิตรว่า
"ฉันชื่อกิตติกา ชื่อเล่นดาว
เป็นคู่ทำแล็บกับพาสอน
ตามรายชื่อที่เขาประกาศ
ดาวมองหาพาสอนตั้งนานกว่าจะเจอ
ไปเหอะ พาสอนไปที่ลานพระรูปเถอะ
เพื่อนๆกำลังรอเธออยู่"
สอนเดินตามการจูงของดาว
เธอพูดเบาๆ ว่า
"เรียกฉันว่า
สอนเฉยๆก็ได้จ้ะ"
ลานพระรูปสมเด็จพระราชบิดานั้นเป็นลานกว้าง
พระรูปตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่กลางลานหินอ่อน
ล้อมรอบด้วยดอกไม้นานาพันธ์ดูสวยสดงดงามดังความฝัน
สอนงกเงิ่น
เคอะเขินเหมือนตนเองเป็นส่วนเกิน
แต่ก็แทรกเข้าไปอยู่ในแถวยาวจนได้
คำปฏิญาณเริ่มขึ้นพร้อมการพนมมือและกล่าวตามของนักศึกษาแพทย์ปีหนึ่ง
ทุกคนเปล่งว่าจาอย่างพร้อมเพียง
เสียงกระหึมก้องทั่วลาน
...ข้าพเจ้าจะเห็นประโยชน์ของคนไข้เป็นที่หนึ่ง
ประโยชน์ส่วนตนเป็นที่สอง
สอนขนลุกซู่ ตาร้อนผ่าว คัดจมูก
แก้มสองข้างร้อน ริมฝีปากชา
ปากสั่น
ความปีติวิ่งท้วมท้นร่าง
ปากเปล่งเต็มเสียงกล่าวปฏิญาณตนตามผู้กล่าวนำใจตะโกนเต็มแรง
"แม่ ตา ยาย
สอนกำลังจะได้เป็นหมอแล้ว"
บ้านของตาและสอนดูทรุดโทรมเมื่อสอนไม่อยู่
ต้นละมุดดูหงอยเหงาไปถนัดตา
ลูกละมุดสุก มีรอยนกจิกกิน
ตกลงมาเต็มโคนต้น
คงไม่มีคนขึ้นละมุดเก็บผลมันให้ตาเอาไปขายตลาดอีกแล้ว
สอนไปอยู่ที่หอพักในมหาวิทยาลัยตั้งแต่เริ่มเรียนแพทย์
ตอนเป็นนักศึกษาแพทย์ปีหนึ่ง
สอนก็กลับบ้านได้เดือนละครั้งเท่านั้น
กิจกรรมปีหนึ่งมากมาย
ตั้งแต่การซ้อมเชียร์
จนถึงการเรียน
เสาร์อาทิตย์และปิดเทอมสอนเรียนพิเศษต่อทางด้านภาษาเพราะรู้ตนเองดีว่าอ่อนกว่าเพื่อนๆ
ที่จบ ม.๖ จากโรงเรียนใหญ่ๆ
มีชื่อเสียง
สอนกลับบ้านทีไรก็เจอตากำลังมัดระนาดติดกับ
"อีแก่"
เตรียมไปช่วยงานศพชาวบ้าน ตาบอก
"เดี๋ยวนี้มีคนตายไม่เว้นแต่ละวัน
ก็โรคเอดส์ นั่นแหละสอน
เอ็งได้เรียนเกี่ยวกับโรคนี้บ้างไหม"
ดูตาไม่กล้าเรียกคำนำหน้าสอนว่าอีเหมือนที่ตาเคยเรียกตาประสาชาวบ้านดังแต่ก่อน
สอนกลับบ้านทีไรตาจะเก็บลูกละมุดเป็นถุงไว้ให้
ตาใช้ตะกร้าสอยเอา
"เอาไปแจกคุณๆนะสอน
คุณหมอเขากินละมุดกันหรือเปล่า"
ตาเรียกเพื่อนของสอนว่า "คุณ
ๆ"
สอนไม่เคยเล่าให้ตาฟังถึงความลำบากในการใช้ชีวิตร่วมกับคนรวย
เพื่อนๆนักศึกษาแพทย์ของสอนรวยๆ
กันทั้งนั้น
เขามีกินมีใช้มีรถเก๋งขับมีทุกอย่างเหลือเฟือ
ชอบคุยกันถึงข้าวของราคาแพง
ขนมปังปอนด์เป็นก้อนๆ นุ่มๆ
ที่สอนเพิ่งเคยลิ้มชิมรสเมื่อมาเป็นนักศึกษาแพทย์
เขาจะเก็บไว้ในตู้เย็นเพียงสองวันแล้วโยนทิ้ง
เมื่อเขาทิ้ง
สอนไปเก็บมันจากถังขยะมาตรวจดู
เมื่อไม่มีเชื้อรา
สอนเก็บมันไว้เป็นอาหารอิ่มท้องได้หลายมื้อ
เงินทุกบาททุกสตางค์ที่เจ้าของทุนส่งมาให้
สอนใช้อย่างกระเหม็ดกระเหม่
ส่วนมากเก็บไว้ใช้เรียนพิเศษเพิ่มเติมในวิชาที่ตนอยากรู้นอกเหนือจากทางการแพทย์
ถ้าไม่พูดถึงการใช้ชีวิตอย่างกระเบียดกระเสียร
เรื่องอื่นๆสอนก็เข้ากับเพื่อนได้ดี
ปีสองปีสามของการเป็นนักศึกษาแพทย์พรีคลินิกผ่านไป
หลายเดือนสอนไปหาตาทีหนึ่ง
ตาแก่ลงมากหลังค้อมลงอีก
ใบหน้ามีรอยย่นลึก
ตายิ้มอย่างดีใจทุกครั้งที่เจอสอน
ตาลูบหัว
ถามความทุกข์สุขด้วยความห่วงใย
สอนก็ตอบเหมือนทุกครั้งว่าสบายดี
เจ้าของทุนส่งเงินมาให้ก็พอใช้
สอนเล่าให้ตาฟังว่า "ตา
สอนได้เรียนวิชากายภาคศาสตร์ด้วยล่ะ
คนที่อุทิศร่างเป็นอาจารย์ใหญ่ให้นักศึกษาแพทย์เรียนร่างกายของเขา
จากร่างอาบน้ำยาฟอร์มาลินนั้นเมื่ออ่านจากชื่อแล้วส่วนมากเป็นคนชาวบ้านเรานี้เอง
พอเรียนจบสอนก็ได้ทำบุญร่วมกับอาจารย์แพทย์และเพื่อนๆ
เพื่ออุทิศส่วนกุศลให้อาจารย์ไปแล้ว"
พลางคุยอวดว่า
"ปีหน้าสอนขึ้นปีสี่
สอนจะได้ขึ้นวอร์ดแล้วนะตา"
"ขึ้นวอร์ด" ตาทวนคำ
สอนจึงอธิบายว่า
"ได้ขึ้นไปตรวจรักษาคนไข้ที่ตึกผู้ป่วยไงตา"
เมื่อตายกระนาดเตรียมใส่ท้าย
"อีแก่" ดังเคย
สอนสังเกตเห็นตาเดินกระโผลกกระเผลก
เพียงเห็นสายตาหลาน
ตาก็บอกให้สอนคลายใจ
ไม่ต้องห่วงว่า "ปวดขา ปวดเข่า
ธรรมดานั่นแหละ
คงเป็นโรคเดียวกับยายสาย
เมียตาแม้นนั่นแหละสอน"
ตาบอกอาการและวินิจฉัยเองเสร็จ
ชีวิตช่างยาวนานเหลือเกินสำหรับผู้รอคอย สอนรอคอยวันที่จะเรียนจบและได้รับเงินเดือน สอนฝันว่าเงินเดือนเดือนแรกในชีวิตหมอนั้นจะยกให้ตาเกือบหมด สอนจะเก็บไว้ใช้ส่วนตัวเพียงเล็กน้อย เพียงคิดถึงภาพตายิ้มอย่างดีใจภูมิใจในตัวหลานที่เรียนจบหมอ สอนก็เผลอยิ้มด้วยความสุข สอนคอยอยู่นานชีวิตของนักศึกษาแพทย์ปีห้าจึงได้เริ่มขึ้น วอร์ดแรกที่สอบผ่านคือวิชาเวชศาสตร์ชุมชน สอนต้องออกไปอยู่ชุมชนนานสองเดือน ไปเรียนรู้ชีวิตชาวบ้านที่ยากจน ซึ่งก็คล้ายคลึงกับชีวิตของสอนอยู่แล้ว การออกชุมชนนี้เองสอนจึงรู้ว่าเพื่อนบางคนไม่รู้จักควาย ไม่เคยเห็นควายมากก่อน หลายคนไม่รู้จักไข่มดแดงที่แสนจะอร่อยเมื่อเอามายำพล่า หลายคนจะอาเจียนเมื่อเห็นสอนกินแมลงมันคั่วกับชาวบ้าน เขาถามว่าเธอกินมดลงได้อย่างไร สอนได้แต่หัวเราะ
เสียงไถ่ถามดังเซ็งแซ่
เพื่อนคนไหนที่ยังไม่ได้ออกชุมชนก็อยากรู้ว่าออกไปจะลำบากมากเท่าใด
จึงรุมกันเข้ามาถามกลุ่มเพื่อนๆ
และสอนที่เพิ่งกลับจากออกเวชศาสตร์ชุมชน
เสียงอุทาน "จ้าบ ๆ"
เสียงหัวเราะ
เสียงเฮฮาดังขึ้นหน้าห้องประชุมที่ใช้เป็นห้องเรียนของนักศึกษาแพทย์ด้วยนั้น
เสียงจุปากของอาจารย์แพทย์ดังขึ้น
อาจารย์แง้มประตูห้องประชุมออกมาดูนักศึกษาแพทย์ว่าทำไมไม่เข้าห้องเรียนเสียที
เมื่อเห็นหน้าอาจารย์ทุกคนเงียบกริบ
เพราะอาจารย์เป็นหมอผ่าตัดที่เฮี้ยบและตรงต่อเวลาคนหนึ่งต่างรีบทยอยเข้าห้องเรียน
สอนค้อมหัวหลบสายตาอาจารย์ที่กวาดมองนักศึกษาและรีบเร่งเข้าไปตาหลังเพื่อนๆ
ห้องประชุมนั้นเป็นห้องประชุมขนาดใหญ่
เก้าอี้เรียนวางไล่ลำดับขึ้นไปเป็นชั้นๆ
เพื่อให้คนหลังๆ
เห็นหน้าห้องประชุม
สอนขึ้นไปนั้งหลังสุด บนสุด
อาจารย์สวมเสื้อกาวน์สีขาวแขนยาว
นักศีกษาแพทย์ก็สวมเสื้อกาวน์เช่นกัน
เพียงแต่แขนสั้น
เพื่อจะได้ทำงานตรวจชันสูตรของเหม็นอะไรต่อมิอะไรได้สะดวก
"คุณหมอที่รัก"
อาจารย์บอกให้นักศึกษาแพทย์ทุกคนแทนตนเองว่า
หมอ เพื่อให้ติดปากไว้
เวลาซักประวิติคนไข้
อาจารย์ก็ไม่เรียกนักศึกษาแพทย์ว่าเป็นนักศึกษาอีกเลย
เมื่อเริ่มขึ้นวอร์ดตั้งแต่ปีสี่
"วันนี้เป็นโอกาสอันดี
ที่พวกเราจะได้เห็นตัวอย่างจากของจริงเรื่องการอักเสบ
คุณหมอทั้งหลายคงไม่ลืมว่าอาการของการอักเสบคือ
ปวด บวม แดง ร้อน หย่อนหน้าที่
จี้เจ็บ"
อาจารย์พูดถึงอาการอักเสบให้คล้องจองกัน
มือทำสัญญาณให้ผู้ช่วยเข็นคนไข้ตัวอย่างการศึกษาเข้ามาในห้องประชุม
สอนเห็นคนไข้ไม่ชัด
รู้ว่าคนแก่คงแก่มากเห็นแต่หัวขาวโพลน
แวบหนึ่งเธอคิดถึงตา
"สอนไม่ได้ไปหาตาตั้งหลายเดือนมาแล้ว
ป่านนี้ตาจะบ่นถึงสอนแล้วกระมัง"
รู้ตัวอีกทีก็เมื่อเพื่อนๆเฮโลเข้าไปใกล้คนที่เป็นตัวอย่างให้ศึกษา
อาจารย์แหวกเข้าไปอยู่กลางวงล้อมในขณะที่ผู้ช่วยพยุงคนไข้ให้ขึ้นไปนอนคว่ำบนเตียง
อาจารย์พลางบีบแขนคนไข้อย่างอ่อนโยนพลางบอกว่า
"ขอคุณหมอเขาดูการอักเสบที่ก้นคุณตาหน่อยนะครับ
ถือว่าคุณตาเป็นครูให้หมอๆ
เขาศึกษานะคุณตา"
คนไข้พยักหน้าอย่างเต็มใจ
ขยับหน้าตะแคงเพื่อหันมาดึงกางเกงสีขาวชุดคนไข้โรงพยาบาลลงจากก้น
สอนกำลังกระเย้อกระแหย่งดูคนไข้
"ตัวอย่าง" ให้เห็นบ้าง
สายตาเผอิญแผล็บผ่านเสี้ยวคุ้นหน้าแวบเดียว
เธอรู้สึกแปลบปลาบในอก ในใจ
ร้องดัง "ตา ตา ของสอนนี่"
ใจเธอเต้นโครมครามราวจะทะลุออกมานอกซี่โครง
มือไม้เย็นเฉียบ
น้ำตาเอ่อเต็มตาทันที
ยืนขึงด้วยความตื่นตะลึง
"ลักษณะที่คุณหมอทุกท่านเห็นนี้
เป็นอาการชัดเจน
ครบชุดของอาการอักเสบดังที่ได้กล่าวมาแล้ว
ซึ่งเกิด ออนท็อพ ของทูมเมอร์"
อาจารย์พูดศัพท์ทางการเแพทย์เพื่อไม่ให้คนไข้เข้าใจ
มือเอื้อมดึงผ้าลงต่ำกว่าเดิม
เห็นก้อนปูด ขนาดใหญ่
สีแดงคล้ำดูหน้ากลัว
ที่ก้นของตา
เพื่อนร่วมชั้นคนหนึ่งซึ่งเป็นคนเรียนเก่งมาก
รีบเอามือเข้าไปจับบีบกดดูเพื่อให้รู้แน่ชัดว่ามีอาการ
กดเจ็บดังคำนิยามหนือเปล่า
เพื่อนในกลุ่มเรียนเก่งด้วยกัน
สอง สาม
สี่คนก็รีบทำอากัปกิริยาเดียวกันต่อๆกัน
สอนตาพร่างพราย ใจหายวาบ
รู้สึกเจ็บแทนตา
เธอกัดริมฝีปากล่างจนซีดขาว
กำลังกายราวกับเหือดแห้งลง
ขาอ่อนแทบทรุดลงกับพื้น
ยิ่งเห็นตาทำหน้าเหยเก
กัดกรามด้วยความเจ็บปวด
น้ำตาเธอไหลพราก
ความรู้สึกโกรธเคืองเพื่อนที่กำลังทดสอบอาการอักเสบบนความเจ็บปวดของตาแล่นขึ้นมาเป็นริ้วๆ
เธอรวบรวมพลังตะโกนสุดแรงด้วยเสียงแหบพร่าราวไม่ใช่เสียงตน
"อย่า...อย่า...อย่าทำตา...อย่าทำตาของฉัน"
สอนโจนลงมาถึงหน้าห้องได้อย่างไรเธอแทบไม่รู้สึกตัว
แหวก ผลักเพื่อนด้วยแรงโกรธ
จนถึงตัวของตา
สอนเอามือปัดมือเพื่อนที่กำลังทดสอบอาการ
"กดเจ็บ" อย่างแรง
ซบหน้าลงกับแขนตาสะอื้นไห้เสียงดัง
"ตา...ทำไม...ทำไม...ตาเจ็บไหม"
สอนสะอึกสะอื้น
สองไหล่ไหวสะเทือน
หนานคำค่อยๆ
เขยิบตัวลุกขึ้นนั่งด้วยความงุนงง
เมื่อเห็นหน้าสอนตาอุทานด้วยความแปลกใจ
"คุณหมอสอน"
สอนไม่ได้อธิบายให้ใครเข้าใจ
คงมีดาวเพื่อนรัก
ที่เข้าใจเรื่องได้ทันทีดาวช่วยสอนเข็นตาออกไปจากห้องเรียนเมื่อเกิดอาการวงแตกขึ้นด้วยความไม่เข้าใจว่าสอนเป็นอะไรไป
เสียงต่อว่าเสียงคำถามยังคงดังเอ็ดอึงในห้อง
บางเสียงลอดออกมานอกห้องว่า
"ยายสอนใจอ่อนไม่เข้าเรื่อง
พวกเราจะเป็นหมอถ้าไม่ศึกษาคนไข้
จากของจริงแล้วเราจะเป็นหมอได้อย่างไร"
ครูเอมอร ยายสาย
รอสอนอยู่หน้าห้องเรียนแล้ว
สอนยกมือไหว้สวัสดี
และไหว้ขอบคุณบุคคลทั้งสองอีกครั้งเมื่อครูเอมอรเล่าให้ฟังว่า
"ตาของสอนมีไข้สูง
ครูกับป้าสายไปเยี่ยมเพราะไม่เห็นออกจากบ้านสอง-สามวัน
ชวนมาโรงพยาบาลก็ไม่ยอม
จะรอสอนกลับบ้านท่าเดียว
จนต้องหลอกว่าสอนให้พามาหาที่โรงพยาบาลจึงยอมมา
มาที่นี่ก็ไม่เจอสอน
เขาว่าสอนออกชุมชน
ตามาอยู่ได้สี่-ห้าวันแล้ว
วันนี้เขาพามาตรวจ
"ห้องตรวจใหญ่"
แม้การแพทย์จะเจริญมากขึ้นเท่าใด ธรรมชาติก็ยังยิ่งใหญ่กว่า ไม่มีใครหลุดพ้นวัฎฎะอันแน่นอนของชีวิตของชีวิตไปได้แม้สักคนเดียว ตาล้มป่วยเพียงสามเดือนก็จากสอนไป ตาเป็นมะเร็งของกล้ามเนื้อ ที่ศัพท์ทางการแพทย์เรียกว่า ซาร์โคม่า ลุกลามไปปอด และมีอาการหัวใจโต
สอนคลี่ลูกระนาดไม้ที่ม้วนอยู่
ขึ้นคล้องสองหัวท้าย ขึงบนราง
มือพนมมือไหว้
หลับตานึกถึงบุญคุณของตาที่เลี้ยงดูสอนมาตั้งแต่เด็ก
สองมือเรือนกาย สั่นสะท้าน
หน้าเธอซีดเผือก
หนังตาบวมแดงช้ำใจคร่ำครวญ
"ตา...ตา...ทำไมตาไมรอสอนเลย
ทำไมตาไม่ให้โอกาสสอนเลย
เหลืออีกเพียงปีเดียวเท่านั้นสอนก็จะได้ตอบแทนบุญคุณตาบ้าง"
ผู้คนมากมายมาช่วยงานศพตาโดยไม่ได้ร้องขอหรือออกบัตรเชิญ
ใครๆ ก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า
เมื่อมีญาติพี่น้องของตนตายก็มีพ่อหนานคำนี้แหละไปช่วยงานศพไม่ขาด
ชาวบ้านเรี่ยไรข้าวของเงินทองจัดงานศพให้ตาอย่าง
ยิ่งใหญ่
ยิ่งกว่าชาวบ้านธรรมดาๆคนหนึ่ง
วันนี้เป็นวันที่สามของงานศพเป็นวันเผา
ผู้คนแน่นเต็มศาลา
บ้างจัดดอกไม้
บ้างยกน้ำรับแขกเหรื่อ
ที่อยู่หลังศาลากำลังทำกับข้าวก็มาก
แต่ละคนทำหน้าที่ของตนเองให้ดีที่สุดเพื่อส่งศพตา
เสียงรถบัสแล่นเข้ามาในวัด
เสียงจอดข้างศาลา
เสียงผีเท้าของคนหมู่มากเดินเข้ามา
สอนลืมตามอง
รีบลุกขึ้นยืนต้อนรับเมื่อเห็นอาจารย์แพทย์
ดาวและเพื่อนๆ คนอื่นๆ
อาจารย์ยื่นซองขาวให้สอน
แตะไหล่สอนเบาๆ
"เสียใจด้วยนะหมอ"
ดาวและเพื่อนๆ
ถือพวกหรีดผ้ามาสมทบ
ก่อนนำพวงหรีดไปวางและเคารพศพ
ดาวกล่าวในนามนักศึกษาแพทย์ชั้นปีห้าว่า
"สอน
พวกเราขอเแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้ง
ขอให้ตาของสอนซึ่งก็คือครูคนหนึ่งของพวกเรา
ไปสู่สุคติ"
เสียงเพลงพญาโศกดังขึ้นต่อจากเพลงสาธุการได้ไม่นาน เสียงเพลงก็สะดุดลง ไม้นวมคู่หล่นกลิ้งลงพื้น หลายคนที่มาร่วมงานอดก้มหน้าซ่อนน้ำตาไม่ไหว เมื่อเห็นผู้บรรเลงทรุดฮวบลง ซบร่ำไห้โหยหาตา กับระนาดหน้าศพในวันนั้น
พญ.ชัญวลี
ศรีสุโข
เรื่องสั้นชนะการประกวดรางวัล
"สุภาว์ เทวกุลฯ" ประจำปี
๒๕๔๑
You are Poet 2543 |
| Home
| การแต่งร้อยแก้ว
| การแต่งร้อยกรอง
| วิธีการร่วมสนุก | About Us | Top |
Weekly Poems | วันจันทร์ | วันอังคาร | วันพุธ | วันพฤหัสบดี | วันศุกร์ | วันเสาร์ | วันอาทิตย์ |
| นวนิยาย | บทละคร | เรื่องสั้น | บทความ | เรื่องที่อยากเล่า | นิทาน | ตำนาน-ชาดก | แนะนำหนังสือ | สาระ-เกร็ดความรู้ |
7Smooth.com Group
Copy Right 1999
poet2543@hotmail.com | poet2543@7smooth.com