เชิญแสดงความคิดเห็นในผลงาน

ปราณีรำลึก

ของคุณ "ปราณีรำลึก"

อ่าน     ความคิดเห็น

ปราณีรำลึก
นามปากกาของนักประพันธ์ใหม่ ผลงานมีทั้งร้อยแก้วและร้อยกรอง

ปราณีรำลึก

ส่งเรื่องมาให้พิจารณาค่ะ   ยังไงช่วยวิจารณ์ให้ด้วยนะคะ ขอบคุณมากค่ะ ...พิม

Bl00690dbbalb.gif (879 bytes)   เรื่องสั้น   เรื่องของเพื่อนผม   "คุณค่าของความเป็นเพื่อนไม่มีวันลบเลือน เพราะ…เพื่อนไม่ทิ้งกัน"

 

 

ต้นตาลตอนต้นฝนนี้มีมนต์ขลัง
น้ำค้างยังคงนอนนิ่งมิติงไหว
แลลมพัดสะบัดโบกแลโยกใบ
น้ำใสใสเริ่มไหลร่วงรินริมทาง
หญ้าคาคายน้ำค้างข้างข้างหญ้า
หญ้าแข่งหญ้าคายน้ำค้างคอยฟ้าสาง
น้ำใสไหลหลั่งดั่งน้ำตานาง
พอฟ้าสางนางก็หลงลงพงพี
            ปราณีรำลึก

ขอแค่มีใครสักคนให้คิดถึง
ขอแค่มีใครสักคนให้ฝันหา
ขอแค่มีใครสักคนให้สบตา
ขอแค่ว่าขอแค่มี "ใครสักคน"
...แต่ไม่มีใครสักคนให้คิดถึง
และไม่มีใครสักคนให้ฝันหา
คงไม่มีใครสักคนให้สบตา
เป็นเพราะว่าไม่มี "ใครสักคน"

           ปราณีรำลึก

เรื่องสั้น
new002.gif (1181 bytes)          
Starting Over           new002.gif (1181 bytes)

                       ภาพตรงหน้าที่เห็นถูกกลบด้วยน้ำใสๆ  ที่เอ่อล้นอยู่ที่ดวงตาคู่นั้นแต่ก่อนที่มันจะไหลลงอาบแก้ม เจ้าของก็รีบใช้มือข้างหนึ่งปาดทิ้งอย่างรวดเร็ว ส่วนมืออีกข้างก็เกาะแขนชายหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างๆ แน่น
                        "บี" เสียงนุ่มๆ  ดังอยู่ข้างหู เจ้าของชื่อหันไปยิ้มอย่างแห้งแล้งให้คนพูด
                       "ไปกันเถอะ" เขาพูดอีกครั้ง พลางจูงมือหญิงสาวออกไป

****************************************

                       แสงสว่างจากไฟส่องทางลอดผ่านหน้าต่างเข้ามา โคมไฟรูปทรงโบราณเข้ากันได้ดีกับผนังไม้สีซีด เสียงดนตรีจากชั้นล่างดังลอดผ่านลำโพงเบาๆ  อาหารง่ายๆสองสามอย่างวางอยู่บนโต๊ะ
                       “บี” เสียงเรียกทำให้คนที่กำลังเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างหันมาสบตากับคนพูด หยาดน้ำตายังเกาะอยู่ที่ดวงตาคู่นั้น ไม่เคยเลยสักครั้งที่ผมจะเห็นเพื่อนคนนี้   “ร้องไห้” คงเพราะบีมักจะร่าเริงอยู่ตลอดเวลา ตาโตคู่นั้นมักมีประกายแจ่มใสอยู่เสมอ แต่คนทุกคนรวมทั้งตัวผมเองคงลืมไปว่าทุกคนต่างก็คงต้องมีมุมที่หม่นเศร้าด้วยกันทั้งนั้น
                       เขาว่ากันว่า  “เพื่อน” ใครๆ  ก็มีกันได้ทั้งนั้นแต่กับ “เพื่อนแท้” ล่ะจะมีสักกี่คนที่ตอบได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่า “มี” การเดินทางทำให้ผมมาเจอกับเพื่อนคนนี้ และกับเพื่อนคนนี้อีกเช่นกันที่ทำให้ผมได้รู้ว่า   “เวลา” ไม่สำคัญเลยหากเราหยิบยื่น “มิตรภาพ” ให้กับ “ใครสักคน “
                       บีมักจะเอาแต่ใจตัวเองและก็ขี้โวยวายอย่างร้ายกาจ หลายๆคนที่ไม่รู้จักมักจะมองว่าเธอ “ก้าวร้าว”
                        “ทำไมชั้นต้องใส่ใจด้วย   แค่คนรู้จักชั้นยังไม่ให้อยู่ในฐานะนั้นเลย”   บีมักจะพูดอย่างอวดดีด้วยประโยคแบบนี้หากเธอไปสร้างวีระกรรมอะไรเอาไว้ บีไม่ตอบเปล่าแต่จะปรายตามองพร้อมกับยิ้มอย่างนางมารร้ายอีกด้วย
                       แต่คนทุกคนคงต้องมีสองด้านด้วยกันทั้งนั้นกระมังเพราะบีมักจะ “อ่อนโยน” และมักจะมีคำพูด “ดีดี” ที่ฟังดูแล้ว “อบอุ่นอบอุ่น” เผื่อแผ่ให้เพื่อนเสมอ
                       “เพื่อนรัก…ชีวิตมีสิ่งน่าหรรษามากมาย ลองมองหารอบๆตัวนายซิเต็ม นายอาจพบว่า…บางครั้งความสุข ก็ตกหล่นอยู่ข้างๆตัวนั่นแหล่ะ”   บีส่งเพจมาในคืนวันอันเงียบเหงาของผม แม้ว่าหล่อนจะออกตัวว่าลอกเขามาอีกทีก็ตามแต่ถ้อยคำจากเพจในคืนวันนั้นมันก็ทำให้ผู้ชายคนหนึ่งรู้สึกว่า  “เพื่อน”  คือ “เพื่อน” จริง ๆ
                       บี  “อ่อนโยน”  ใช่… แต่น้อยคนคงรู้แม้กระทั่งในกลุ่มของพวกเราเอง
                       “แกหัดระวังคำพูดหน่อยซิวะบี ไม่รู้หรือไงว่าไอ้เล็กมันน่าสงสารไม่รู้มันน้อยใจไปถึงไหนแล้ว”
                       “แต่ชั้นก็น้อยใจเป็นเหมือนมันนะโว้ย”   น้ำเสียงกึ่งทีเล่นทีจริงจับไม่ได้เลยว่าคนพูดกำลังรู้สึกอย่างไรกันแน่ และจะเป็นเพราะอะไรก็ตามผมไม่เคยคิดว่าบีจะรู้สึก  “รัก” ใครเพราะทุกครั้งหากมีหนุ่มๆ หลวมตัวเข้ามาชอบเธอก็มักจะทำท่าทางขยะแขยงพร้อมๆ   กับมองด้วยสายตา “แกนแกน”
                       “ก็เราชอบผูกพันแล้วก็คุ้นเคยกับคนง่ายๆนี่นา เลยกลัวเสียใจอ่ะ”   บีให้เหตุผลกับการทำท่าทางประหลาดๆ นั่น
                       ก็เพราะท่าทีแบบนั้น   รวมทั้งการชอบทำอะไรเป็นเล่นไปซะหมด   ทำให้ผมนึกภาพ “คนรัก” ของบีไม่ออกเลย
                       “ไม่ใช่คนรักโว้ยเขาเรียกว่าคนดีดีของหัวใจต่างหากเล่า”   บีให้คำนิยามถึงคนพิเศษของหล่อน
                       อย่างไม่เอะใจสักนิด “คนดีดีของหัวใจ” อยู่ใกล้ตัวบีนั่นเอง “พัด” เพื่อนในกลุ่มก้าวผ่านเข้ามาในอาณาจักรความรักของบี หลังจากที่มันเพิ่งเลิกกับ “สุดที่รัก” ผมไม่รู้ว่าตอนนั้นมันกำลังคิดอะไร
                       “พัดมันเหงาน่ะไม่มีอะไรหรอก” บีพูดแก้ต่างเมื่อหลายๆคนเริ่มเห็นความสนิทสนมที่มากขึ้นของคนทั้งคู่ แม้ว่าที่ผ่านมาสองคนนั่นจะเป็นไม้เบื่อไม้เบากันเสมอแต่ถ้าหากพวกเราตาไม่บอดก็จะเห็นถึง   “ความห่วงใย” ที่เกิดขึ้นในแววตาของคนทั้งคู่
                       ผมเคยเลียบเคียงถามสองคนนั่นแต่คำตอบก็คือ “No” บางทีในที่ทางของ “ความรัก” ทุกคนคงอยากจะมี “มุมส่วนตัว” ที่ไม่อยากให้ใครมาก้าวก่ายก็ได้กระมัง
                       และการที่เรารู้สึกพิเศษกับ ‘ใครสักคน” มันก็คงเหมือนกับเราถูกใจหนังสือสักเล่มแล้วก็คิดไปเองว่า  “น่าอ่าน” ละมั้ง ทั้งๆที่พอได้อ่านจริงๆแล้ว หนังสือเล่มนั้นก็ไม่ได้ดูแปลกหรือว่าดูพิเศษเหมือนกับที่   “คนอ่าน” คาดหวังเอาไว้เลย
                       และ “พัด” คงจะคาดหวังอะไรจาก “บี”  มากเกินไป หรือไม่มันก็อาจจะลืมไปก็ได้ว่าจริงๆแล้ว “บี” มันก็ไม่ได้ดู  “แปลก” ไปกว่าผู้หญิงทั่วๆ ไปที่มันเคยรู้จักนักหรอก
                       หรือไม่  “เวลา” ก็เป็นปัจจัยที่สำคัญอย่างมากที่ทำให้เกิด “ตะกอน” บางอยางขึ้นใน “หัวใจ” แล้วมันก็ไม่ผิดสักนิดที่ “บี” จะรู้สึกอะไรกับ “พัด” มากกว่าคำว่า “เพื่อน” และก็ไม่ผิดเลยที่ “พัด” จะแค่ก้าวผ่านเข้าไปเพื่อทำความรู้จักกับ “ความรัก” ของบีเพราะจุดต่างของการเริ่มต้นกับจุดสิ้นสุดของคนสองคนต่างกัน “พัด” ก้าวเข้ามาในอาณาจักรความรักของบีแล้วเดินจากไปโดยทิ้งตะกอนความเป็น “เพื่อน” เอาไว้ แต่กับเจ้าของอาณาจักรละตะกอนที่เกิดขึ้นนั้นดันกลับกลายเป็น “ความรัก”
                       บีบอกว่าเธอจะไม่ทำให้ความเป็นเพื่อนระหว่างพัดกับเธอต้องแตกหักลงเพียงเพราะว่าถูก“ปฏิเสธ” หลายครั้งที่บีมักจะบ่นกับผมด้วยน้ำเสียงร่าเริงว่า
                       “เฮ่อ…มันก็คงเห็นชั้นเป็นแค่กระโถนล่ะมั้ง   แต่ก็ช่างเถอะไม่เป็นไร”เหมือนเคยไม่มีใครเคยจับความรู้สึกของบีได้สักที
                       เกิดเหตุการณ์ระหว่างสองคนนั่นกับบุคคลที่สาม ใครๆก็นึกว่าต้องเกิดเรื่องซะแล้วไม่ใช่เพราะบีไปหึง “เด็กของพัด” หรอกแต่เป็นเพราะหล่อนมักจะไม่ยอมรับการเปลี่ยนปลงอะไรง่ายๆมากกว่า แต่แปลกที่บีสามารถควบคุมตัวเองให้ผ่านสถานการณ์นั้นได้ เพราะอย่างที่รู้ๆกันในกลุ่มว่าหล่อนมักจะไม่มีเหตุผลเสมอกับ “คนแปลกหน้า” กับเป็นพัดซะอีกที่เป็นฝ่ายรีบเคลียร์กับบียกใหญ่   บีบอกผมในวันต่อมาว่าไม่ได้คิดอะไรทั้งนั้นถึงแม้ว่าพัดจะไม่โทรมาก็ตามเธอก็ไม่ได้รู้สึกติดใจหรือโกรธอะไร ตรงกันข้ามเธอกลับบอกผมอย่างร่าเริงว่า
                       “ไม่รู้นะเต็มชั้นรู้สึกว่าได้ก้อนอะไรบางอย่างมาจากพัดล่ะ…” หล่อนหยุดพูดก่อนทำตาเจ้าเล่ห์ใส่ผม
                       “ไม่ใช่ความรักหรอกจ้า   ก้อนอะไรก็ไม่รู้รู้แต่ว่ามันดี ดีจริง ๆ นะเต็ม”   บียืนยันความคิดของตัวเองอีกครั้ง
                       “ก้อนอะไรก็ไม่รู้” ของบี ซึ่งต่อมาเธอบอกว่ามันคือ “ความเข้าใจ”
                              คาลิล ยิบรานเคยกล่าวเอาไว้ว่า
                                      “…ความรักไม่ให้สิ่งอื่นนอกจากตัวเอง
                                        และก็ไม่รับเอาสิ่งใดนอกจากตัวเอง
                                        ความรักไม่ครอบครอง แต่ก็ไม่ยอมถูกครอบครอง
                                        เพราะความรักนั้นพอเพียงแล้วสำหรับตอบความรัก”

                       เพื่อนในกลุ่มของเราต่างทะยอยได้งานได้การทำ   ทำให้ไม่มีใครอยู่ในสภาพ “ตกงาน” แต่ “งาน” กลับเป็นตัวแยกพวกเราให้ห่างกันออกไป และก็เป็นบีที่พูดตีตนไปก่อนไข้ว่า
                       “หวังว่านิสัยของพวกเราคงไม่เปลี่ยนไปเพราะงานหรอกนะเพราะชั้นไม่เคยเปลี่ยน แล้วก็จะไม่เปลี่ยนด้วย”
                       “แต่แกจะให้ทุก ๆ คนเหมือนกับแกไม่ได้หรอกนะ”
                       “เออ…ลืมไปแต่ชั้นไม่สนหรอกว่างานจะทำให้ใครเปลี่ยนไปแค่ไหน แต่อย่าแสดงนิสัยเลวๆ ให้เห็นก็แล้วกันน่าดู” บีก็ยังเป็นบีที่ยังคงไม่ยอมรับการเปลี่ยนแปลงอะไรเลย
                       แต่ “งาน” มันก็ทำให้พวกเราห่างเหินกันจริงๆ  ซึ่งจริงๆแล้วอาจจะเป็นเพราะพวกเราต่างเติบโตขึ้นต่างหาก ต่างคนต่างก็ต้องมี “มุมส่วนตัว”  ของตัวเองและ “เพื่อน” มันจำเป็นด้วยหรือที่ต้องเจอกันบ่อยๆน่ะ พวกเราใช้ “ความรู้สึก” คบกันก็ได้นี่นา
                       แต่เพราะไอ้  “ความห่าง” นี่แหละที่มันอาจจะทำให้พวกเราหันกลับมามองกันและกันด้วยสายตาของ “คนแปลกหน้า” ก็ได้มองดูกันและรับรู้ถึงความเปลี่ยนแปลงที่เริ่มเกิดขึ้นระหว่างกัน
                       “ก็คงเหมือนกบนั่นแหละที่เคยอยู่แต่ในกะลาแต่ตอนนี้ออกจากกะลาแล้ว แล้วก็รู้แล้วว่าโลกน่ะมันกว้างมันใหญ่แค่ไหน” บีออกความเห็นก่อนจะเค้นเสียงหัวเราะออกมา มีหลายคนที่ไม่ชอบความคิดนี้ของเธอและหลายคนก็รู้ว่า “กบ” ของบีคือ “ใครบางคน”
                       ผมไม่รู้ว่า  “ความรัก”   ที่บีมีให้กับพัดมันมีปริมาณมากหรือน้อยขนาดไหนแต่กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น หลายคนบอกว่า บีแค่กำลัง  “อิจฉา” กับสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นกับพัดเพียงเพราะรู้สึกว่าตัวเองกำลังหมดความสำคัญลง
                       “แหมถ้าที่ผ่านมาชั้นรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนสำคัญของพัดตอนนี้ชั้นคงจะรู้สึกดีใจมากกว่ามั้งจริงๆแล้วมันไม่ใช่โว้ย” แม้เสียงที่เปล่งออกมาจะดูร่างเริง แต่ถ้าใครสังเกตุก็จะรู้สึกว่าแววตาของคนพูดดู “หม่น” ลงไป

*********************************************

                       วันนี้บีโทรศัพท์ชวนผมออกมากินข้าวเย็นที่ร้านประจำของพวกเรา ร้านซึ่งเธอเรียกว่า “ร้านแห่งความทรงจำ”
                       “ก็ความทรงจำดีดีของชั้นเกิดขึ้นที่นี่นา” บีให้เหตุผล ก็คงจะจริงของบีมันเพราะร้านนี้เป็นร้านที่พวกเรามักมาสุมหัวกันเกือบทุกเสาร์ มานั่งกินเหล้าย้อมใจคุยเรื่องราวสัพเพเหระปลอบใจกันยามใครตกอยู่ในสภาพอกหัก หรือแหกปากตะโกนร้องเสียงดังลั้นหากผลสอบในเทอมนั้นไม่ติดเอฟพวกเราบางคนเคยมาสร้างวีรกรรมไว้ที่นี่ เคยโวยวายเคยปาข้าวของ เคยทะเลาะเบาะแว้งกัน แต่ที่นี่ก็เป็นที่ที่ทำให้เราได้ “เรียยรู้” ได้ “รู้จัก” “เพื่อน” พร้อมกับคำว่า “มิตรภาพ”
                       แต่เพราะ “ความทรงจำ” เป็นเรื่องราวของอดีตที่บังเอิญเป็น “สิ่งดีดี” ที่เคยเกิดขึ้นแต่กับอนาคตล่ะเราคงกำหนดมันไม่ได้หรอกมั้งว่าจะให้เป็น “สิ่งดีดี” ได้เหมือนกับ “ความทรงจำ” หรือเปล่า
                       เหมือนมีปฏิหารย์เราสองคนเจอพัดโดยบังเอิญที่ร้าน รูปลักษณ์ภายนอกของชายหนุ่มเปลี่ยนแปลงไปพัดดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้นไม่ดูเป็นเด็กเมื่อวานซืนเหมือนเมื่อก่อน แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดอะไรเพราะด้วย “สถานภาพ” ที่เปลี่ยนไป “การแต่งกาย” ก็คงเป็นสิ่งแรกที่จะต้องเปลี่ยนแปลงตามไปด้วย บีแทบจะกระโจนเข้าใส่ชายหนุ่ม เธอยิ้มให้พัดอย่างสดใสแต่สายตาที่พัดทอดมองกลับมามีแต่ความ “เย็นชา” บียิ้มค้างก่อนที่จะพูดเสียงร่าเริงเหมือนเคยว่า
                       “แหมนานๆเจอกันทีไม่เห็นจะดีใจเลย” พูดไม่พูดเปล่าแต่บีใช้มือทุบไปที่ไหล่ของพัดอย่างเคยชิน  พัดไม่ยินดียินร้ายบีมองพัดพลางตบที่บ่าชายหนุ่มเบาๆ แล้วพูดด้วยเสียงที่เบาลงกว่าเดิมว่า
                       “เป็นอะไรไปน่ะ”
                       “ก็ไม่ได้เป็นอะไร” น้ำเสียงเย็นชารวมกับกิริยาแปลกๆของพัดทำให้บีชักมือออกจากไหล่ชายหนุ่มอย่างรวดเร็ว หล่อนจ้องมองคนตรงหน้าก่อนที่จะพูดด้วยน้ำเสียงที่เริ่มซีเรียสว่า
                       “นี่มันเกิดอะไรขึ้นน่ะพัด”
                       “……………..“ ไม่มีคำตอบออกจากปากของชายหนุ่ม   บียังคงจ้องพัดเขม้ง
                       “ถ้าเรายังเป็นเพื่อนกันอยู่ช่วยกรุณาบอกหน่อยเถอะว่าเป็นอะไร” เสียงของบีเริ่มดังขึ้น คราวนี้เป็นพัดที่เงยหน้าขึ้นมามองหญิงสาวแล้วน้ำเสียงเรียบๆ   ก็หลุดออกมาจากหน้าตาที่เย็นชาว่า
                       “เพื่อนเหรอเพื่อนเขาคงไม่วิจารณ์เพื่อนแบบนั้นหรอกมั้ง”   น้ำเสียงดูเหมือนเยาะเย้ยนิดๆ บีทำหน้างงพัดหัวเราะในลำคอก่อนที่จะพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่ต่างไปจากเดิมว่า
                       “คุณใช่ไหมที่ว่าว่าผมเป็นกบเพิ่งออกจากกะลา” สรรพนามที่พัดใช้เรียกบีดู “แปล่ง” ชอบกล
                       “ใช่แล้วไง” บีรับคำหนักแน่น
                       “แล้วไงเหรอ ผมอยากจะรู้นักว่าถ้ามีใครสักคนว่าคุณแบบนี้คุณจะรู้สึกยังไงบ้าง” เสียงตะคอกของพัดทำเอาคนที่นั่งโต๊ะใกล้ๆเริ่มหันมามอง
                       “แต่นายก็เหมือนกบเพิ่งออกจากกะลาจริงๆ นี่นา”   น้ำเสียงที่ดุดันไม่แพ้กันของบีดังสวนกลับไป สายตาของคนทั้งคู่จ้องมองกันด้วยความว่างเปล่า
                       “อ๋อเหรอได้ยินจากปากก็ดี ”
                       “และอีกอย่างนะพัด   นายน่ะเลิกทำตัวเป็นไม้ไผ่ที่ลู่ไปตามลมได้แล้วหัดเป็นต้นไม้ใหญ่สักที เลิกทำตัวเป็นจิ้งจกเปลี่ยนสีได้แล้ว”   น้ำเสียง “สั่นสั่น” ออกมาจากปากของบีและสำหรับผมประโยคนี้ค่อนข้าง “แรง” กับความรู้สึกจริงๆ พัดเงยหน้าขึ้นมองบีแล้วพูดด้วยเสียงที่เบาหวิวว่า “ขอโทษนะผมผิดหวังในตัวคุณจริงๆ ไม่น่าเชื่อเลยที่จะได้ยินประโยคแบบนี้ออกมาจากปากของคุณ”
                       “นายจะคิดยังไงก็ตาม แต่เราอยากบอกว่าที่พูดมาทั้งหมดเนี่ยะเพราะหวังดี” พัดถอนหายใจก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงแบบไม่ยินดียินร้ายว่า
                       “ขอบอกนะว่าผมโตแล้วแล้วก็รู้ตัวตลอดเวลาว่ากำลังทำอะไรอยู่ไม่จำเป็นต้องให้คนอื่นมาสั่งสอนหรอก และถ้าหากมันยุ่งยากที่จะคบกันก็เลิกคบกันไปเลยก็ได้”
                       “..ก็…ก็ดี”  แม้จะเป็นแค่   “คำสองคำ” แต่ก็รู้สึกว่าคนพูด  “พูด” มันออกมาได้อย่างยากเย็น และความเสียใจก็สามารถรับรู้ได้ที่หน้าของคนพูดเช่นกัน
                       “เธอเป็นคนพูดเองนะบี” น้ำเสียงของพัดที่หลุดออกมาก็บ่งบอกว่าเสียใจไม่แพ้กัน สายตาของคนทั้งคู่จ้องมองกันด้วยความรู้สึกที่สองคนเท่านั้นล่ะมั้งที่รู้ หญิงสาวที่นั่งซุกตัวอยู่ข้างๆพัดใช้แขนเล็กๆของหล่อนโอบชายหนุ่มเข้าไว้ในอ้อมแขน ภาพตรงหน้าที่บีเห็นถูกกลบด้วยน้ำใสๆที่เอ่อล้นอยู่ที่ดวงตาคู่นั้น   แต่ก่อนที่มันจะไหลลงอาบแก้มเจ้าของก็รีบใช้มือข้างหนึ่งปาดทิ้งอย่างรวดเร็ว ส่วนมืออีกข้างก็เกาะแขนผมแน่น
                       “บี” ผมเรียกเพื่อนเบา ๆ   พร้อมกับกระชับมือเล็ก ๆ นั้นเอาไว้แน่น
                       “ไปกันเถอะ”   ผมพูดอีกครั้ง พลางจูงมือเธอออกไป
                       “เราผิดอีกแล้วใช่ไหมเต็ม”  บีถามผมในขณะที่เดินออกจากร้านที่เธอเรียกว่า “ร้านแห่งความทรงจำ”   คงไม่มีใครผิดหรอกเพราะจริงๆ แล้วทุกคนก็อาจจะเป็น  “กบ” อย่างที่บีพูดด้วยกันทั้งนั้น เพียงแต่ว่าเราจะสร้างกะลาของเราให้กว้างใหญ่แค่ไหนเท่านั้นเองและ “บี” ก็คงเป็น “กบ” ซึ้งกำลังหวงแหนโลกเล็กๆในกะลาของหล่อนอยู่ก็ได้กระมัง
                       แต่    “The    River     have    no   return    สายน้ำไม่เคยไหลย้อนกลับ”   ใครล่ะที่จะมีอำนาจพอที่จะหยุดช่วงเวลาแห่งความสุขเอาไว้ได้

ปราณีรำลึก
๒๖ สิงหาคม ๒๕๔๒

    ที่เราเป็นเพียงเพื่อนกัน
"อยากทำอะไรที่มากกว่านี้
แต่ที่ทำได้ก็เพียงแค่อยู่เฉยๆ
เพราะไม่สามารถแสดงอะไร
ออกมาได้เลย...
เพียงเพราะความคุ้นเคย
ที่เราเป็นเพียงเพื่อนกัน"
      "ไม่รู้...
       ทำไมรู้สึกคิดถึงเธอได้มากขนาดนี้
       บางที...
       หัวใจอาจแค่อ่อนไหว
       คงเพราะ...
       อยู่ใกล้กับเธอมากเกินไป
       เลยพลั้งเผลอใจ ไปก็เท่านั้นเอง"
                ปราณีรำลึก กรุงเทพฯ 25

ปราณีรำลึก

 

7smooth.com

 

| Home | การแต่งร้อยแก้ว | การแต่งร้อยกรอง | วิธีการร่วมสนุก | About Us | Top |
Weekly Poems | วันจันทร์ | วันอังคาร | วันพุธ | วันพฤหัสบดี | วันศุกร์ | วันเสาร์ | วันอาทิตย์ |
| นวนิยาย | บทละคร | เรื่องสั้น | บทความ | เรื่องที่อยากเล่า | นิทาน | ตำนาน-ชาดก | แนะนำหนังสือ | สาระ-เกร็ดความรู้ |
7Smooth.com Group
Copy Right 1999

poet2543@hotmail.com | poet2543@7smooth.com

1