ปีที่ 3 ฉบับที่ 904 ประจำวันอังคารที่ 4 เดือนมกราคม พ.ศ. 2543 |
รุ่งอรุณแห่งสันติภาพ (Dawn of Peace)
ณ ลานมหาธรรมกายเจดีย์
วัดพระธรรมกาย ในค่ำคืนวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ.2542 เวลา 23.59 น.
ท่ามกลางมหาสมาคมกว่า 2 แสนคน ที่ร่วมกันจุดดวงประทีป แห่งสันติภาพ ให้สว่างไสวถึง
2 แสนดวง มูลนิธิธรรมกาย ร่วมกับ Millennium Forum แห่งสหประชาชาติ Millennium
People Assembly Network และ Jubilenium and United Religions Initiative
จัดงานจุดประทีปสันติภาพ (The Peace Candle Lighting Ceremony)
และหนึ่งวันแห่งสันติภาพ หรือ One day in Peace
ซึ่งในการจัดกิจกรรมเพื่อสันติภาพครั้งนี้ ได้รับเกียรติจากเลขาธิการสหประชาชาติ
นายโคฟี่ อันนัน มอบสาส์นแห่งสหัสวรรษ เพื่อเปิดเป็นปฐมฤกษ์ในงาน
ติดตามด้วยสาส์นจากผู้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ และอดีตประธานาธิบดีโปแลนด์
นายเลค วาเลซา, สาส์นจากอดีตประธานาธิบดีคอสตาริกา และ
ผู้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ ดร.ออสการ์ อาเรียส และสาส์นจาก
อธิการบดีมหาวิทยาลัยสันติภาพแห่งสหประชาชาติ ดร.โรเบิร์ต มุลเล่อร์ ยิ่งกว่านั้น
ยังมีสาส์นจากองค์กรเอกชนต่างๆ เช่น Jubilenium และ The World Peace Society
เป็นต้น วันเวลาที่ผ่านไป ได้ฝากบทเรียนที่มีค่ายิ่งสำหรับมนุษยชาติ
ได้เรียนรู้และได้บทสรุปที่ไม่มีใครปฏิเสธได้ว่า "สันติภาพที่แท้จริงของโลก
เกิดขึ้นได้ ด้วยสันติสุขภายใน"
สาส์นจาก ฯพณฯ โคฟี่ อันนัน (Mr.Kofi
Annan)
เลขาธิการสหประชาชาติ
เพื่อสหัสวรรษใหม่ - 31 ธันวาคม
2542
เพื่อนที่รักทั่วโลกของข้าพเจ้า
วันนี้เป็นวันฉลองปีใหม่ที่มีตัวเลขพิเศษ คือปี 2000 เมื่อขึ้นสู่สหัสวรรษใหม่
พวกเราส่วนใหญ่จะต้องขอบคุณ ที่โลกของเราอยู่อย่างสันติสุข พวกเรา
ส่วนใหญ่ได้รับการศึกษาดีกว่าครั้งพ่อแม่ ปู่ย่า ตายาย และยังคาดเดาได้ว่า
จะมีชีวิตยืนยาวกว่า มีอิสระเสรีภาพยิ่งกว่า
และมีทางเลือกมากกว่า
แม้ศตวรรษใหม่จะนำมาซึ่งความหวังใหม่
แต่อาจนำอันตรายใหม่มาได้ หรืออาจเป็นสิ่งเก่าในรูปแบบใหม่ที่น่ากลัว
พวกเราบางคนกลัวที่จะ เห็นงานของเรา และวิถีชีวิตของเรา ถูกทำลาย
ด้วยการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ บางคนกลัวการขยายตัวของพวกดื้อดึง ความรุน
แรงหรือโรคภัย บางคนยังกังวล มากไปกว่านั้นว่า กิจกรรมของมนุษย์ อาจ
ทำลายล้างสิ่งแวดล้อมโลก
ซึ่งเป็นที่พึ่งพาอาศัยของชีวิตพวกเรา
ไม่มีใครที่จะรู้แน่ว่า
อันตรายเหล่านี้จะร้ายแรงเพียงใด แต่สิ่งหนึ่งที่แน่นอน คือเป็นสิ่งไม่มีพรมแดน
แม้ประเทศที่แข็งแกร่งจะดำเนินการลำพัง ก็ไม่อาจคุ้มครองประชาชน ให้รอดพ้นได้
เราต่างร่วมชะตากรรมเดียวกันมากกว่าครั้งใดๆ ในประวัติศาสตร์
เราอาจเอาชนะอันตรายได้ ถ้าเราหันมาเผชิญกับสิ่งเหล่านั้น ร่วมกัน
และเพื่อน
นั่นคือคำตอบ ทำไมเราถึงมีสหประชาชาติ
เรากำลังทำงานร่วมกันผ่านทางองค์การสหประชาชาติเพื่อรักษาสันติภาพ
ขจัดอาวุธผิดกฎหมายที่เข่นฆ่าอย่างไม่ละเว้น นำหมู่ฆาตกร
และพวกอาชญากรสงครามมาลงโทษ
เรากำลังทำงานร่วมกันผ่านทางองค์การสหประชาชาติ
เพื่อเอาชนะโรคเอดส์ และโรคระบาดอื่นๆ ควบคุมการเปลี่ยนแปลงทางภูมิอากาศ ทำให้ทุกคน
ได้รับอากาศ และน้ำ
ที่บริสุทธิ์
เรากำลังทำงานร่วมกันผ่านทางองค์การสหประชาชาติ
เพื่อให้ตลาดโลกนำประโยชน์มาสู่พวกเราทุกคน
ทำให้คนจนได้หลุดพ้นจากความยากจน
เรากำลังทำงานร่วมกันผ่านทางองค์การสหประชาชาติ
เพื่อให้สิทธิมนุษยชนได้ของทุกคน ให้มวลมนุษย์ทุกคนได้เลือกอย่างแท้จริงในชีวิต
มีเสียงแท้จริง ในข้อตัดสินใจ ที่จะมีผลต่อ ชีวิตของตน
ทั้งหมดและมากกว่านี้
สหประชาชาติกำลังทำงานเพื่อท่าน แต่จะทำได้น้อยถ้าปราศจากท่าน อย่างไรก็ตาม
สหประชาชาติเป็นของท่าน ของประชาชนทุกคนในโลก และดังนั้น สหประชาชาติจะทำงานได้มาก
ถ้ามีท่านคอยให้ความช่วยเหลือและให้แนวความคิด
ท่านทั้งหลาย
สหัสวรรษใหม่จะไม่ใช่เวลาของความหวาดกลัวหรือความกังวล ถ้าเราร่วมกันทำงาน
มีความเชื่อมั่นในความสามารถของเรา ดังนั้น น่าจะเป็น ช่วงเวลาแห่ง ความหวัง
และโอกาส ทั้งนี้ทั้งนั้น
ก็ขึ้นอยู่กับเราทุกคนที่จะทำให้มันเป็นเช่นนั้น
สาส์นจาก ฯพณฯ เลค วาเลนซา
(President Lech
Walesa)
อดีตประธานาธิบดีประเทศสาธารณะรัฐโปแลนด์
ประธานสถาบันเลค
วาเลนซา
ผู้ได้รับรางวัลโนเบล สาขาสันติภาพ ปี พ.ศ.2526
กรุงวอซอร์ 14
ธันวาคม พ.ศ.2542 (ค.ศ.1999)
ปี ค.ศ.2000
จะเปิดศักราชใหม่แห่งสันติภาพของโลก
เราควรตระหนักว่าเราทุกคนมิได้นับเวลาอย่างเดียวกัน เป็นต้นว่า
ชาวมุสลิมนับเวลาจากขณะที่ พระโมฮัมหมัดเดินทางถึง นครเมกกะและเมดินา
ชาวยิวจะนับจากการทำลายวิหารใหญ่ที่สุดของเขา ณ นครเยรูซาเลม
ส่วนชาวพุทธจะนับจากเวลาเมื่อพระ-พุทธเจ้าเสด็จปรินิพพาน ชาวคริสต์ก็นับเวลา
แตกต่างออกไป แต่แม้ประชาชนที่การผ่านไปของกาลเวลา
จะมีความหมายน้อยกว่าสิ่งมหัศจรรย์อย่างหนึ่งก็ตาม
เขาก็ต้องยอมรับความสำคัญพิเศษของชั่วเวลาในขณะดังกล่าว
เวลาที่ผ่านไปแห่งสหัสวรรษนี้
เกี่ยวพันกับการประทุษร้ายต่อชีวิต อันเป็นปฏิปักษ์อย่างมากที่สุดต่อสังคม ดังเช่น
ลัทธิฟาสซิสต์ และลิทธิคอมมิวนิสต์ เป็นช่วงเวลาของเผด็จการ สงคราม
การละเมิดสิทธิมนุษยชนและศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์
เป็นเวลาของความรุนแรงและความอัปยศ เป็นศตวรรษแห่งการนองเลือด แห่งหยาดเหงื่อ
และน้ำตา ศตวรรษ ทุกศตวรรษใช่ว่าจะหมายถึงหนึ่งร้อยปีเท่านั้น
ศตวรรษของเราที่เพิ่งผ่านพ้นไป
เริ่มต้นแท้จริงจากการบังเกิดขึ้นของสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง และได้สิ้นสุดลงภายหลัง
การแบ่งแยก ในสหภาพโซเวียต และในยูโกสลาเวีย
ฉะนั้นศตวรรษนี้จึงเริ่มต้นและสิ้นสุดลง ณ นครเดียวกัน คือ
ซาราเยโว
ทุกวันนี้โลกมีลักษณะคล้ายกับ หมู่บ้านแห่งโลก
เล็กลงและใกล้ชิดกันขึ้นกับแต่ละประเทศ โดยปราศจากการมีเส้นเขตแดน
การมีอยู่ของอินเตอร์เนต ทีวีดาวเทียม และระบบ โทรศัพท์มือถือ
ทำให้สันติภาพและการเปิดเผย กลายเป็น สิ่งจำเป็นในยุคสมัยของเราอันไม่อาจโต้แย้งได้
ศตวรรษที่ 20 เป็นศตวรรษของความเกลียดชัง แต่สหัสวรรษใหม่ จะย่าง
เข้าสู่ยุคใหม่แห่งความร่วมมือของโลก เป็นรูปแบบใหม่ของความคิด ความเข้าใจใหม่
สิ่งอันมีคุณค่าเหล่านี้ไม่ควรบรรลุถึงโดยการรุกราน และการยึดครองอันก้าวร้าวรุนแรง
หากโดยการร่วมมือกันฉันท์มิตร ไม่เป็นปฏิปักษ์ต่อกัน
และเป็นไปตามเจตจำนงของทุกคน
ความจริงในเรื่องนี้ควรเป็นที่ยอมรับและเห็นชอบ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากเยาวชนในปัจจุบัน เยาวชนควรและต้องไม่มีความเกลียดชังกัน
ควรสามารถยืนขึ้นเหนือความแตกแยก ที่มีอยู่ในขณะนี้ได้ ต้องมีการให้อภัย และขอร้อง
เพื่อให้ได้รับการให้อภัยได้ ต้องรู้จักว่าจะลืมได้อย่างไร แต่ไม่ใช่ความหลงลืม
เราประชาชนคนรุ่นเก่ายังคงจมลึกอยู่ในอดีต ไม่สามารถจะพรากจากสิ่งนั้นได้
สิ่งเหล่านี้จะทำได้โดยเยาวชนเท่านั้น
สหัสวรรษใหม่เป็นของเยาวชนเหล่านี้
สาส์นจาก ฯพณฯ ดร.ออสการ์ อาริอาส
(H.E. Dr.Oscar Arias)
อดีตประธานาธิบดีคอสตาริกา
ประธานมูลนิธิอาริอาส
เพื่อสันติภาพและความก้าวหน้าของมนุษย์
ผู้ได้รับรางวัลโนเบล สาขาสันติภาพปี
พ.ศ.2530
3 ธันวาคม 2542
ในขณะที่เราต้อนรับสหัสวรรษใหม่
ข้าพเจ้าประสงค์ขอร่วมกับท่านโดยการ ส่งสาส์นแห่งความหวัง ถึงแม้ความหวังนี้
จะต้องเจือปนด้วยการยอมรับอุปสรรคต่อสันติภาพ ที่เกิดขึ้น เป็นครั้งคราว
ตลอดมาก็ตาม เพราะเหตุว่าทั้งๆ ที่เราเผชิญหน้ากับความท้าทายทั้งปวง
ข้าพเจ้าก็มีความเชื่อมั่นว่า ความไม่ก้าวร้าวรุนแรง และความมีมนุษยธรรม จะเป็น
มรดกอันชอบธรรมแห่งยุคใหม่ของโลก
ศตวรรษที่ยี่สิบที่ผ่านไป
เป็นศตวรรษที่นองเลือดมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของมนุษย์
และเราทราบว่ามนุษย์ไม่อาจอยู่รอดได้ด้วยการให้คุณค่ากับปีที่ผ่านๆ มา ดังนั้น
ในขณะที่ เราเริ่มต้นยุคใหม่ เราจะต้องอาศัยจริยธรรมใหม่เป็นเครื่องชี้นำ ความโลภ
ความเห็นแก่ตัว และการนิยมความโดดเดี่ยวโดยลำพัง ได้ครองโลกมาช้านาน บัดนี้
ด้วยความ เด็ดเดี่ยวและความตั้งใจจริง
เราจะต้องนำการเปลี่ยนแปลงอันสำคัญยิ่งนี้มาดำเนินการเป็นลำดับแรกของโลก
ข้าพเจ้าไม่เชื่อว่า
ในฐานะสังคมร่วมกัน เราจะไม่สามารถเอาชนะความรุนแรงได้ เราเอาชนะได้
เป็นเรื่องที่เกี่ยวพันกับการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างหลายประการ ในระบบ การเมือง
และเศรษฐกิจที่ครอบคลุมชีวิตของเรา
นอกจากนั้นยังเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับสามัญสำนึกและวัฒนธรรม โดยเริ่มต้นที่การศึกษา
การสอนให้เด็กเรารู้คุณค่าของสันติภาพ ให้เป็นคน ที่ซื่อสัตย์สุจริต
ให้ร่วมการเมืองโดยมีหลักการ และไม่ใช้ความรุนแรง
ในสหัสวรรษใหม่
การไม่ใช้ความรุนแรงนั้น ไม่เพียงแต่เป็นเรื่องที่สามารถปฏิบัติได้
และเป็นสิ่งที่พึงปรารถนาเท่านั้น แต่ยังเป็นสิ่งจำเป็นอีกด้วย
ขอให้เราทำงานด้วยความเชื่อมั่น และตั้งใจอย่างเด็ดเดี่ยว
ที่จะทำให้สหัสวรรษนี้เป็นยุคแห่งความรักในเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน
ขอให้เรามีชีวิตอย่างสุขสงบ
สาส์นจาก ดร.โรเบิร์ต มุลเลอร์ (Mr. Robert
Muller)
อธิการบดีเกียรติคุณ
มหาวิทยาลัยเพื่อสันติภาพแห่งสหประชาชาติ
อดีตผู้ช่วยเลขาธิการสหประชาชาติ
30
พฤศจิกายน 2542
ความฝันสำหรับปี ค.ศ.2000 ข้าพเจ้าฝันว่าในระหว่างปี
ค.ศ.2000 การเฉลิมฉลองและเหตุการณ์มากมายนับไม่ถ้วน
จะเกิดขึ้นทั่วทุกหนทุกแห่งในโลก เพื่อจะวัดระยะทาง อันยาวไกล
ที่ปกคลุมด้วยมนุษยธรรม เพื่อศึกษาความผิดพลาดของเรา และค้นหาวิถีทาง
ที่จะยังต้องทำให้สำเร็จ เพื่อความเบิกบานสะพรั่ง แห่งเชื้อชาติของมนุษย์
ในสันติภาพ ความยุติธรรม และความสุข
ข้าพเจ้าฝันว่า สหัสวรรษที่สาม
จะได้รับการประกาศ และการจัดให้เป็น
สหัสวรรษแรกแห่งสันติภาพของมวลมนุษยชาติ
ข้าพเจ้าฝันว่าปี ค.ศ.2000
จะได้รับการประกาศให้เป็นปีแห่งของการขอบคุณสากล โดยสหประชาชาติ
(ตามที่สหประชาชาติได้รับเอาเมื่อพฤศจิกายน พ.ศ.2540)
ข้าพเจ้าฝันว่า
ความเชื่อและวัฒนธรรมทั้งปวง จะประสานมือ ร่วมจิต และร่วมใจกัน ในการเฉลิมฉลองชีวิต
ซึ่งผ่านมาสองสหัสวรรษ อันเป็นสากลและไม่เคยมีมาก่อน
ข้าพเจ้าฝันว่า
ในวันที่ 1 มกราคม ค.ศ.2000 ทั่วโลกจะหยุดนิ่ง สวดมนต์ดังกังวาน
แสดงความกตัญญูเพื่อโลก ดั่งสวรรค์อันสวยสดงดงาม
และเพื่อความอัศจรรย์
แห่งชีวิตของมนุษย์
สาส์นจาก คุณไอรู ไซออนจิ (Mr. Hiroo Saionji)
ประธาน
สมาคมผู้ปรารถนาสันติภาพโลกและมูลนิธิจอยพีส
(The World Peace Prayer Society
and The Goi peace Foundation)
เพื่อการฉลองการจุดเทียนสันติภาพ 200,000 ดวง
ในวันสันติภาพโลกของสหประชาชาติ
31 ธันวาคม 2542 - 1 มกราคม
2543
กระผมรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง ที่ได้ส่งความปรารถนาดีมายัง
มูลนิธิธรรมกาย และผู้รักสันติภาพทุกคน ที่ได้มาร่วมฉลองการจุดเทียนสันติภาพ
200,000 ดวง ในวันสันติภาพโลก
ของสหประชาชาติที่จัดขึ้นในประเทศไทย
สมาคมผู้ปรารถนาสันติภาพโลกและมูลนิธิจอยพีส
ขอมีส่วนร่วมในการสร้างสันติภาพโลก ซึ่งสันติภาพนั้นเริ่มต้นจากดวงใจของแต่ละคน
งานของพวกท่าน รวมกับกระแสใจ เดียวกันของคนทั้งโลก
ย่อมนำไปสู่สันติภาพในสหัสวรรษใหม่อย่างแน่นอน
แสงสว่างและพลังของผู้ปรารถนาสันติภาพโลกที่มารวมกันเป็นจำนวนมากเช่นนี้
ย่อมก่อให้เกิด
ประโยชน์อันยิ่งใหญ่ต่อโลกทั้งโลก
ขณะนี้เป็นเวลาของมนุษยชาติที่จะก้าวออกจากสงคราม
ความขัดแย้งและความแก่งแย่ง มาสู่สันติภาพ ความเอื้ออาทรและการร่วมมือกัน
ขอให้พวกเราร่วมกัน สร้างสันติภาพ ที่แท้จริง และรักษาโลกนี้
ซึ่งจะเป็นที่ที่เด็กและคนรุ่นใหม่สามารถอยู่ได้อย่างอิสระ
อย่างเอื้ออาทรต่อกันและกันและต่อทุก ๆ
ชีวิตบนโลกใบนี้
เราขอให้ท่านประสพความสำเร็จทุกอย่างจากการร่วมเฉลิมฉลอง
และขอส่งใจร่วมกับท่านด้วยบทอวยพรว่า
ขอให้สันติภาพเจริญรุ่งเรืองบนผืนปฐพีตลอดไป
สาส์นจาก คุณเยโฮรัม
เบน-ชาลอม (Mr. Yehoram Ben-Shalom)
ประธานจูบิลเลนเนียม (Jubillenium)
28
ธันวาคม 2542
แด่ ผู้นำสู่สหัสวรรษใหม่
จูบิลเลนเนียมขอส่งสาส์นแห่งความปรารถนาดี และอำนวยพรมายังมูลนิธิธรรมกาย
จูบิลเลนเนียมเป็นองค์กรระดับโลก ที่มุ่งส่งเสริมวัฒนธรรม และ สันติภาพ
การไม่ใช้ความรุนแรง ความหนักแน่น มิตรภาพ และความเป็นพี่เป็นน้องกับทุกๆ คน
ทุกศาสนาและทุกเชื้อชาติ ย่อมจะประสานกันได้ด้วยการปฏิบัติธรรม สันติภาพ ในใจ
และแสงสว่างของเทียน 200,000 เล่ม
ซึ่งมูลนิธิธรรมกายกำลังหยิบยื่นสาส์นแห่งสันติภาพอย่างจริงใจครั้งนี้
ข้าพเจ้าเชื่อว่าการเริ่มต้นของหนึ่งพันปีข้างหน้านี้ จะเป็นจุด เริ่มต้น
ของแสงสว่างซึ่งจะชำระล้างให้เกิดสันติภาพของโลก
ข้าพเจ้าทราบว่า
ผู้สนับสนุนมูลนิธิธรรมกาย ก็ยังคงสานต่องานเพื่อสันติภาพของโลก
เราจะร่วมมือกันนำสันติภาพ และจะทำให้สหัสวรรษใหม่นี้ เต็มไปด้วยความเบิกบาน และ
หนักแน่นมั่นคงตลอดไป