ปีที่ 3 ฉบับที่ 943 ประจำวันเสาร์ที่ 12 เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2543 |
ชำแหละเบื้องหน้าเบื้องหลังบอร์ดมส.
การประชุมคณะกรรมการมหาเถรสมาคม
เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 10 กุมภาพันธ์ ซึ่งมีวาระแห่งการฟื้นฝอยหาตะเข็บ "นิคหกรรม"
กรณีธรรมกาย อันมีพระธัมมชโยและพระทัตตชีโว
ตกเป็นเป้าหมาย
ก่อนที่การประชุมมส. นัดพิเศษยิ่งหนนี้ ซึ่งมีคฤหัสถ์หัวดำ
กระสันต์อยากจะเป็นผู้มีอำนาจขาดแทนมส.ทุกรูป ชี้นำ
ข่มขู่ให้พระเถระกระทำการใดการหนึ่ง เพื่อสนอง "ตัณหา"
ของตนและพรรคพวก
สมศักดิ์ ปริศนานันทกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ
ก็ออกมาสร้างราคาให้กับตัวเองก่อนประชุม มส. ด้วยการพูดว่า ... วันนี้ จะมีข่าวใหญ่
แต่ไม่อยากจะพูดว่า เป็นข่าวอะไร รับรองได้ว่า
นสพ.จะต้องนำไปพาดหัวทุกฉบับ
หลังจากประชุมมส.เสร็จสิ้น "ไพบูลย์ เสียงก้อง"
อธิบดีกรมการศาสนา และ "วิชัย ตันศิริ" ก็ทำหน้าที่ "โฆ-หกมส." ตามฟอร์ม โดยระบุว่า
ที่ประชุม มส.มีมติ "ปลดพระพรหมโมลี พ้นจากตำแหน่งเจ้าคณะภาค 1
โดยจะนำความกราบทูลสมเด็จพระสังฆราช
เพื่อทรงมีพระบัญชาต่อไป"
เบื้องหน้าเบื้องหลังแห่งการประชุมนัดพิเศษ
ที่มีคฤหัสถ์หัวหงอก หัวดำ เข้าไปร่วมแจม นกพิราบสีขาวข้างกุฎีเขียวๆ
แห่งวัดบวรนิเวศวิหาร คาบข่าวมาบอกผมว่า ... มีการจัดฉาก พิจารณาการปลดพระพรหมโมลี
มาเป็นอย่างดี โดยระหว่างการประชุม ได้นิมนต์พระพรหมโมลีออกนอกห้องประชุม ไปกว่า 1
ชั่วโมง
ผู้ที่เสนอให้ปลดพระพรหมโมลี ก็คือ "ไพบูลย์ เสียงก้อง"
แต่ได้ถูกพระเถระรูปหนึ่งทักท้วงว่า อธิบดีกรมการศาสนา
ไม่มีหน้าที่เสนอให้ปลดพระพรหมโมลี จนกลายเป็น
เรื่องหน้าแตกกลางที่ประชุมมส.
ทว่ากลับมีหมอใหญ่
ซึ่งท่านมีตำแหน่งถึงชั้นสมเด็จรูปหนึ่ง
อาสาเป็นหมอใหญ่เยียวยาเย็บบาดแผลบริเวณใบหน้า
ให้กับอธิบดีผู้นี้
สมเด็จพระมหาธีราจารย์ แห่งวัดชนะสงคราม
ทำหน้าที่เป็นหมอใหญ่ ชิงคลี่คลายปัญหาเพียงเสี้ยววินาที เสนอ "ปลดพระพรหมโมลี"
ด้วยวาจาของท่านเอง
หากผมจำไม่ผิด สมเด็จพระมหาธีราจารย์
ได้เสนอความเห็ฯต่อที่ประชุมสงฆ์วันหนึ่ง เกี่ยวกับกรณีคฤหัสถ์ฟ้องพระได้หรือไม่
ซึ่งสมเด็จพระมหาธีราจารย์ ยืนยันว่า คฤหัสถ์ไม่ สามารถ
ฟ้องพระภิกษุได้
แต่พอเกิดปัญหากรณีธรรมกาย
สมเด็จพระมหาธีราจารย์อีกนั่นแหละ ก็จัดทำเอกสารแจกจ่ายผู้สื่อข่าว
มีความสำคัญเกี่ยวกับครั้งพุทธกาล นางวิสาขาเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า
กราบบังคมทูลฟ้องพระอนิรุทธ ชี้ให้เห็นว่า
คฤหัสถ์ฟ้องพระได้
ทว่าในความเป็นจริง ในพระไตรปิฎกระบุไว้อย่างชัดเจน
นางวิสาขาเป็นเพียงผู้ชี้แนะเท่านั้น
หาใช่เป็นผู้ที่กล่าวโทษพระภิกษุไม่
โดยส่วนตัวผมเห็นว่า
ไม่ว่าภาพของมส. จะออกมาในรูปแบบใด มีเบื้องหน้าเบื้องหลัง
ลับลมคมในอย่างไร
ผมก็ยังแอบมั่นใจอยู่ลึกๆ ว่า พระพรหมโมลีท่านไม่มีอารมณ์
ยินดียินร้ายกับสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่มีคำว่าเสียใจ ไม่มีอาวรณ์ใดๆ
ทั้งสิ้น
ตรงข้ามกลับได้ยินเสียงจากเบื้องบนแดนสวรรค์ กระซิบผ่านมาว่า
ชื่อของพระพรหมโมลี ถูกจารึกอยู่บนแผ่นทองคำ อย่างงดงามสง่าผ่าเผย
ในฐานะผู้ที่ได้ชื่อว่า ยอมตายเพื่อรักษา
พระธรรมวินัยของพระตถาคตนั่นเอง
ครับ
เมื่อมีเสียงจากเบื้องบนแซ่ซ้องสรรเสริญ คุณงามความดีแล้ว
มีหรือที่เสียงจากเบื้องล่าง จะไม่รู้ร้อนรู้หนาว ทำหน้าที่ตามบัญชีแห่งกรรม
ท่านสุวรรณตกโต๊ะที่อยู่เบื้องหน้า จารึกรายชื่อผู้หลงผิดบน "ตะโจ" ชนิดหนึ่ง
หนึ่งในบัญชีรายชื่อตะโจดำล่าสุด เป็นเสนาบดีและบรรพชิตอีกรูปหนึ่ง
ซึ่งถูกอวิชชาห่อหุ้มไว้มิด
ความจริงคือความจริง
ไม่มีสัตว์ตนใดแหวกว่ายพ้นจากสัจจธรรมของพระพุทธเจ้าได้
กรณีนำพิสูจน์เบื้องลึกแห่งมติมส.
ที่มีคฤหัสถ์เป็นผู้ชักใย จนสถานการณ์ยุ่งเหยิงกันอยู่ในขณะนี้ เสี่ยตือก็ดี
วิชัยก็ตาม หรือไพบูลย์ ต่างคนต่างมีจุดหมาย และวิธีการที่จะนำไป
สู่การดำเนินกรณีธรรมกาย และหากผู้ใดคิด หรือบังอาจขวางความต้องการล่ะก็ เป็นอันว่า
จะต้องหลุดวงโคจรไป
เฉกเช่นเดียวกับพระพรหมโมลี
ต้องชมเชยสมเด็จพระมหาธีราจารย์
ที่สามารถพลิกสถานการณ์ล่อแหลม เป็นคุณกับท่านได้อย่างน่ามหัศจรรย์ใจยิ่ง
รวมถึงท่านเจ้าคุณพระสุเมธาภรณ์ เจ้าคณะจังหวัดปทุมธานี
ก็มีปฏิภาณไม่หนีจากประเด็นข้างต้นสักเท่าไหร่
แม้จะเป็นผู้ที่ยินยอมเห็นพ้องต้องกันกับพระพรหมโมลี
ในฐานะผู้ร่วมพิจารณาชั้นต้น "ยกฟ้อง" คดี "มาณพ ไพรินทร์" และ "สมพร เทพสิทธา"
มีหนังสือเป็นลายลักษณ์อักษร แต่เมื่อไม่ถูกใจกระแส ไม่ถูกใจข้าราชการประจำ
และนักการเมือง ท่านก็ยอมหักหลักการ ยอมละเสียซึ่งพระธรรมวินัย เออออ
ให้มีการดำเนินการนิคหกรรมอีกครั้ง
จึงมีคำถามว่า
ผู้ที่เกี่ยวข้องเข้าใจคำว่า
กฎมหาเถรสมาคมและกฎหมายเพียงใด?
การปลดพระพรหมโมลีคือ
ภาพสะท้อนที่ชัดแจ้งที่สุด หากเป็นความผิดที่พากันอ้างว่า
เป็นนิคหกรรมติดปัญหาที่ตัวบุคคล ก็ต้องพิจารณากันว่า หากไม่ยอมรับเขตอำนาจ
กันและกัน แล้ว ป่วยการที่จะตั้งคณะผู้พิจารณาชั้นต้น
ปัญหาสงฆ์ ณ วินาทีนี้
จึงไม่ต่างอะไรไปจากเกมการเมืองที่แปดเปื้อน ที่เป็นรูปธรรมที่สุดในเวลานี้ ก็คือ
การเลือกตั้งวุฒิสมาชิกตามรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ที่มีคณะกรรมการ การเลือกตั้ง (กก.ต.)
ถูกด่าเช้าค่ำหลังอาหาร 3 เวลา จนศาลแพ่งตัดสินว่า กก.ต.
ไม่มีอำนาจถอดถอนผู้สมัครหลังการสมัครแล้ว 7 วัน
นี่ยังต้องรอผลการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญอีก หากศาลรัฐธรรมนูญ ยืนยันว่า กก.ต.
ทำหน้าที่ชอบด้วยกฎหมายแล้ว
จะให้สังคมเชื่อถืออะไร ระหว่างศาลแพ่ง
ศาลรัฐธรรมนูญ และอำนาจของกก.ต.
กรณีคณะผู้พิจารณาชั้นต้น
ได้ตัดสินยกฟ้องแล้ว ตามกฎมส. จะนำเรื่องกลับมาพิจารณาใหม่ไม่ได้
แต่ก็มีความพยายามจากหลายฝ่ายเหลือเกิน ที่จะลบล้างกฎมส. และพระธรรมวินัย
ก็ขอให้รับรู้กันไว้เลยว่า สังคมเรานี้อ่อนแอจริงๆ ไร้ผู้ที่กล้าหาญ มีแต่ผู้ยอมงอ
ก้มหัวให้กับนักการเมืองทุศีล แม้แต่ทหารยุคนี้ ท่านผู้นำเหล่าทัพ
ก็ยังแคร์ความรู้สึกของนักการเมือง มากกว่า พี่น้อง และ สี
ลืมสิ้นเกียรติภูมิของกองทัพ นี่แหละครับ อภินิหาร อิทธิฤทธิ์ของพรรคประชาธิปัตย์
เซงฉิบ...
โซตัส