ปีที่ 3 ฉบับที่ 944 ประจำวันอาทิตย์ที่ 13  เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2543

สหัสวรรษที่ 3

ยอมตายคาหลัก

คำพูดศักดิ์สิทธิ์ของเจ้าคุณสมเด็จวัดสามพระยา พระผู้ใหญ่ ซึ่งมรณภาพไปแล้ว ได้กล่าวไว้ว่า "ถ้าจะตาย ก็ขอให้ตายคาหลัก" เป็นคำพูดที่เตือนสติพระเถระผู้ใหญ่ทุกองค์ ในฐานะที่เป็นหนึ่งในบุคคลที่ร่างกฎหมายสงฆ์ที่ออกมาจากพระธรรมวินัยของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

และคำว่า "หลัก" ของท่าน ก็คงไม่ต้องไปตีความแบบศรีธนญชัยว่า เป็นหลักการหรือหลักกู

เพราะมนุษย์เราถ้าอยู่โดยไม่หลักการของชีวิตแล้ว ชีวิตก็ไม่รู้จะอยู่ไปทำไม นอกจากใช้ชีวิตเพลินๆ ไปเป็นเหยื่อปีศาจ เป็นเหยื่อมาร

และเมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา ก็เป็นวันเผด็จศึกพระเถระผู้ใหญ่ การให้พระระดับรองสมเด็จซึ่งเป็นพระมหาเถระชั้นผู้ใหญ่ ซึ่งประกอบคุณงามความดีมาตลอดชีวิตสมณเพศ ผู้เป็นที่เคารพของวงการสงฆ์ทั้งวงการ พ้นจากตำแหน่งเจ้าคณะภาค โดยอาศัยอำนาจตามกฎหมายปกครองสงฆ์

นั่นคือ ความตะลึงงันของพระผู้ใหญ่ที่เข้าร่วมประชุมในมส. ที่ไม่เคยทราบมาก่อน ไม่อยู่ในวาระการประชุม ถือเป็นวาระจรจัด ที่โผล่เข้ามาโดยมิได้คาดหมาย

และผู้นำเสนอคือ รัฐมนตรีช่วยหน้าใหม่ ค่ายประชาธิปัตย์ ดร.วิชัย ที่นำคำสั่งของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และอธิบดีกรมกรมศาสนา เข้ามาทะลุกลางปล้อง เสนอวาระ เข้ามา อ้างเป็นคำสั่งของรัฐมนตรีให้ปลดเจ้าคณะภาค ออกจากตำแหน่ง

ถือเป็นคำสั่งที่เป็นอำนาจมืด ที่รับกันมาต่อๆ โดยไม่รู้ว่า ใครอยู่เบื้องหลังตัวจริง และน่าเสียดายอย่างยิ่ง ที่รัฐมนตรีหน้าใหม่ ที่ส้มหล่นมารับบาปโดยไม่รู้ตัว ทั้งที่มีความรู้และ ประสบการณ์เหนือกว่าเจ้าตัวรัฐมนตรีเด็กวานซืน และอยู่ต่างพรรค แต่เป็นวันที่รัฐมนตรีพรรคประชาธิปัตย์เสียรังวัด ยอมก้มหัวให้กับรัฐมนตรีวัยรุ่น จากพรรคชาติไทย ถือคำสั่งที่เป็นตราบาปเข้าเสนอมหาเถรสมาคม ทั้งที่ไม่มีอำนาจอะไรรองรับ

โชคยังดี ที่พระเถระผู้ใหญ่ไหวทันกับอาการผิดปกติ พิกลพิการ ที่นักการเมืองที่ลุกลี้ลุกลน เข้ามาก้าวก่าย ใช้อำนาจปกครองสงฆ์ ทั้งที่กฎหมายที่แอบร่างไว้ยังไม่ออก แต่อาการแสดง อำนาจออกฤทธิ์เสียก่อน จึงถูกท้วงติงจากที่ประชุมว่า มิใช่กิจของฆราวาส ตัวเองที่เข้ามาประชุม ก็มิได้มีอำนาจอะไรรองรับ มีแต่ตัวอธิบดีกรมศาสนาที่เข้ามาได้ ในฐานะเลขานุการ ที่ประชุม

ก็เลยเป็นรายการหน้าแตกของรัฐมนตรีระดับจบปริญญาเอก อดีตข้าราชการชั้นผู้ใหญ่กระทรวงศึกษาธิการ ที่หลงไปรับคำสั่งรัฐมนตรี มาปฏิบัติ และมาแสดงอำนาจกับวงการสงฆ์

และที่ประชุมก็ยังเสนอกฎหมายสงฆ์ให้กับเสนาบดีว่า บุคคลที่มีอำนาจในฐานะผู้บังคับบัญชาก็คือ สมเด็จวัดชนะสงคราม เจ้าคณะหนกลางเท่านั้น ที่จะทำได้ ในฐานะผู้มีอำนาจ ตามกฎหมายปกครองสงฆ์ และจะปลดก็ไม่ได้ จะถอดถอนก็ไม่ได้ เพราะถ้าจะทำเช่นนั้น ก็ต้องมีการสอบสวนเสียก่อน แต่จะทำได้คือ ให้ออกจากตำแหน่ง โดยไม่ถือว่า มีความผิด หรืออีกกรณีหนึ่งคือ อ้างว่า หย่อนสมรรถภาพ เพราะไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชา

ถึงแม้ว่า เจ้าคณะภาค ท่านจะยืนหยัดของตายคาหลักการว่า คำสั่งของมหาเถรสมาคม กับผู้บังคับบัญชานั้น ผิดกฎหมายสงฆ์ หรือผิดพระวินัย ไม่สามารถปฏิบัติได้เพราะผิดกฎหมาย และถ้ายอมให้กระทำได้ดั่งนี้ สถาบันสงฆ์ ก็ถึงกาลอวสาน เพราะพระผู้ใหญ่ทำผิดกฎหมายเสียเอง

ประเด็นสำคัญก็คือ ถ้ามีผู้เสียหายขึ้นมา เขาก็จะฟ้องร้องได้ตามศาลยุติธรรมของบ้านเมือง เป็นคดีอาญาที่ต้องไปขึ้นศาล ท่านเองก็จะต้องตกเป็นจำเลยด้วย เพราะฉะนั้น ถ้าใครจะสั่ง อะไรที่ผิดกฎหมายผิดพระธรรมวินัย ก็ต้องออกคำสั่งมาเป็นลายลักษณ์อักษร และรับผิดชอบด้วยตัวเอง อย่ายืมมือคนอื่น

และเมื่อวานซืนนี้ จึงเป็นวันประวัติศาสตร์ แห่งวงการสงฆ์ เมื่อสมเด็จวัดชนะสงคราม เจ้าคณะหนกลาง เมื่อเห็นว่า ทางนักการเมืองเสนอไม่เป็นผล แต่ก็เป็นการตั้งแท่น ให้กับท่าน อย่างดี จึงได้เสนอในที่ประชุมด้วยวาจา โดยไม่ต้องมีวาระ

และที่ประชุมมหาเถระก็ตะลึงเมื่อสมเด็จเจ้าคณะหนกลาง ใช้สิทธิความเป็นผู้บังคับบัญชา ตามกฎหมายของสงฆ์ เสนอให้เจ้าคณะภาคพ้นจากตำแหน่ง โดยไม่ถือว่า เป็นความผิด ที่ไม่ปฏิบัติตามนโยบายของมส. และคำสั่งของผู้บังคับบัญชา ถือว่า เป็นการหย่อนสมรรถภาพ

เป็นสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิดมาก่อน และท่ามกลางความกระหยิ่มยิ้มย่องของอธิบดีและรัฐมนตรีที่รับคำสั่งรัฐมนตรีมา และพระผู้ใหญ่ขานรับสอดคล้องเข้าล็อคพอดี

และในความนิ่งเงียบที่ตะลึงงันกันไปหมด ก็มีบางเสียงที่ให้ความเห็นว่า ก็แล้วแต่ ถ้าจะเอากันอย่างนี้ ก็ตามใจ ความคิดเห็นจากความรู้สึกท้อแท้และสิ้นหวัง และมองเห็นอนาคต ของวงการสงฆ์ผู้ใหญ่ที่ถึงจุดเสื่อมสลายที่สุดแล้ว และบางคนที่นิ่งเงียบไม่แสดงความเห็น เพราะรู้ว่า ไม่มีประโยชน์อะไรแล้ว ต่อไปนี้ ทุกคนก็ต้องคอยระวังว่า เมื่อไรจะมาถึงตัวเอง สู้เงียบไว้จะดีกว่า

เพราะนับต่อไปนี้ ถ้าพระระดับรองสมเด็จซึ่งถือว่า เป็นพระเถระผู้ใหญ่ ก็สามารถถูกภัยการเมือง ปลดกลางอากาศได้ ต่อไปนี้ ก็จะไม่มีพระในประเทศไทยองค์ใด ที่อยู่ร่มเย็นเป็นสุข ได้ ถ้าไปขัดขวางหรือทำอะไรที่ไม่ถูกใจนโยบายผู้ใหญ่ เช่นเดียวกับข้าราชการทั่วประเทศไทย

และในเมื่อไม่มีผู้แสดงความคิดเห็นอะไรขัดแย็ง กระบวนการยุติธรรมก็ถือว่า สิ้นสุด ไม่มีการโหวตลงคะแนนเสียง เพราะไม่จำเป็น และถือว่า มส.เห็นชอบ และผู้ออกมาเอาหน้า แถลงข่าวก็อ้างว่า เป็นเอกฉันท์ เพราะไม่สามารถล่วงรู้ความในใจของพระเถระหลายองค์ ที่ซ่อนเก็บความคิดไว้ภายใน และท้อแท้กับสภาพขั้นกลียุคของเมืองไทยปัจจุบัน และ บัดนี้ภัยนั้น มาถึงวงการสงฆ์แล้ว

เมื่อวานซืนนี้ จึงกลายเป็นประวัติศาสตร์แห่งจุดแตกแยกของวงการสงฆ์ชั้นผู้ใหญ่ เป็นวันแห่งการสร้างตราบาปกับพระพรหมโมลี พระเถระผู้ใหญ่ผู้ดำรงคุณงามความดี และอุทิศตัว ให้กับพุทธศาสนา มาตลอดชีวิต บัดนี้ ท่านได้เป็นวีรบุรุษแห่งความงดงาม และศักดิ์ศรีแห่งสงฆ์ ที่ยอมสละตัวเอง เป็นทาน เพื่อรักษาหลักการ และวินัยสงฆ์ดุจชีวิต

เพราะถ้าท่านจะอคติและช่วยผู้ถูกกล่าวหา ตามที่ทุกคนกล่าวหา ท่านก็จะให้รีบรับคดีเข้ามา แล้วท่านก็ตัดสินเข้าข้างถูกกล่าวหา จะง่ายกว่า ไม่ต้องเปลืองตัว เข้ามาเสี่ยงต่ออำนาจ เบื้องสูงเช่นนี้ แต่วันนี้ สิ่งที่ท่านทำลงไปคือ "ยอมตายคาหลัก" ที่น่าสรรเสริญยิ่ง

"ทีมข่าวศาสนา"


1