ปีที่ 3 ฉบับที่ 946 ประจำวันอังคารที่ 15 เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2543 |
วันมหาวิปโยควงการสงฆ์ เมื่อ
มส.อยู่ใต้อำนาจมืด
ในขณะที่พระอาทิตย์ขึ้นแจ่มใสกลางท้องฟ้า
แต่เรารู้สึกว่า เมืองไทยวันนี้ มืดมิดเหลือเกิน สิ่งที่ "พิมพ์ไทย" ยืนหยัดวันนี้
ตามสโลแกนบนคัทเอ้าท์ทั่วกรุงเทพ ใครถูกรังแก ไม่ได้รับความเป็นธรรม
ให้มาเคาะระฆังแห่งความยุติธรรมที่เราได้
และตั้งแต่นี้ไป
เราจะตีระฆังขอความเป็นธรรม ให้กับพระเถระรูปหนึ่ง พระผู้เต็มไปด้วยคุณงามความดี
เต็มไปด้วยความรู้และผลงาน อันเป็นประโยชน์ต่อวงการสงฆ์ พระผู้ยืนด้วยหลักการ
ไม่ยอมก้มหัวให้กับอำนาจมืด การกระทำผิดกฎหมาย ผิดพระธรรมวินัย
ไม่เสียดายแม้ตำแหน่งอันสูงส่งและมีเกียรติ
ณ บัดนี้
พระเถระผู้ทรงความดีอันบริสุทธิ์ ได้ถูกปลดจากตำแหน่งอย่างไม่เป็นธรรม
โดยข้อหาหย่อนสมรรถภาพ เพื่อหลีกเลี่ยงการต้องให้ความยุติธรรม
ด้วยการสอบสวนเสียก่อน
การปลดกลางอากาศโดยอาศัยอำนาจความเป็นผู้บังคับบัญชา
มิหนำซ้ำยังยืมมือองค์กรสงฆ์ เป็นเกราะคุ้มกัน
เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกฟ้องร้องกล่าวหาในคดีอาญาในอนาคต
ใช่
เรากำลังพูดถึงประวัติศาสตร์ การปลดเจ้าคุณพรหมโมลี เจ้าคณะภาคหนึ่ง
โดยสมเด็จพระมหาธีราจารย์
เจ้าคณะใหญ่หนกลาง
ซึ่งสร้างความตะลึงพรึงเพริดให้กับวงการสงฆ์ทั่วประเทศ
และความโศกสลดหดหู่ให้กับพระผู้ใหญ่ ที่ยังรักความเป็นธรรมทั่วประเทศ
จนต้องตื่นขึ้นมาดูว่า ขณะนี้กำลังเกิดอะไรขึ้นในเมืองไทย
ที่เคยน่ารักน่าอยู่
ถ้าพระระดับรองสมเด็จยังสามารถถูกปลดกลางอากาศได้
โดยไม่มีการพิจารณาความผิด เพียงแต่ไม่ปฏิบัติตามนโยบายผู้บังคับบัญชา
ซึ่งทั้งที่เจ้าคุณพรหมโมลี ได้พยายาม อธิบาย เป็นชั่วโมงว่า
เป็นคำสั่งที่ผิดกฎหมาย และ พระธรรมวินัย
ถ้าเช่นนี้ ต่อไปนี้
วงการสงฆ์ก็อยู่ไม่ได้ และ มส. ก็หมดสภาพ
เพราะไม่สามารถปกป้องคุ้มครองให้ความเป็นธรรม แม้กระทั่งพระผู้ใหญ่ได้
และพุทธศาสนานับจากนี้ไป ก็อยู่ใต้อำนาจมืด
ภัยมืดที่น่าหวั่นกลัวอย่างยิ่ง
เพราะเป็นเวลากว่าปี
ที่การย่ำยีทำลายพุทธศาสนา ได้ถูกกระทำมาเป็นขบวนการ มีคนเกี่ยวข้องนับร้อย
ซ่อนตัวอย่างน่าสะพรึงกลัว ในตำแหน่งต่าง ๆ
นับจากนักการเมืองวิญญาณปีศาจที่โกงกินชาติ อย่างหน้าด้าน ๆ ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่
ผู้ฝักใฝ่ตำแหน่งและอำนาจ
นักวิชาการจอมปลอมที่เสพเมรัยอ่านพระไตรปิฎก
สื่อปีศาจที่มองโลก ด้วยแว่นตาสีดำ
และบางคนก็รับอามิสสินจ้างในการทำลายตามสั่งที่ไร้ศีลธรรม
และวัดพระธรรมกาย
ก็เป็นเพียงเหยื่อของสงครามต่างศาสนาในยุคใหม่ ที่แฝงตัวเข้ามาสร้างศึกพุทธฆ่าพุทธ
ในประเทศ ตามยุทธศาสตร์ของวัสสการพราหมณ์ ในสมัย พระพุทธองค์
หลังจากที่เผด็จศึกพระดังในเมืองไทยทุกองค์เรียบร้อยแล้ว และวันนี้
ศึกสมเด็จกลายเป็นเหยื่อชิ้นใหม่ที่สร้างความวิปโยคให้กับวงการสงฆ์
ก็เกิดขึ้นเรียบร้อยสมใจ
ถ้าเรามิได้มองเรื่องนี้อย่างมีสติ
เราก็จะตกเป็นเหยื่อของสถานการณ์ที่ถูกสร้างขึ้นอย่างจงใจและแยบยล
ซึ่งก็ต้องชมฝีมือบรรดาปีศาจร้ายเหล่านี้ ที่กำลังยึดครองประเทศไทยได้สำเร็จ
การวางแผนอย่างลึกซึ้งแยบยล
ด้วยกลศึกดุจสามก๊ก
แต่เราก็ต้องเรียกร้องขอความเป็นธรรมจากผู้มีอำนาจในเมืองไทย
จะเป็นใครก็แล้วแต่ ที่ยังเหลืออยู่ ให้ทบทวนสิ่งที่ได้กระทำไป
การใช้อำนาจลุแก่โทสะเข้าตัดสินเรื่องสำคัญ
การตัดสินชะตากรรมของพระเถระผู้ใหญ่ที่กอปรด้วยคุณงามความดีงามด้วยอารมณ์
และที่น่าวิปโยคยิ่งนักคือ
ต่อหน้าพระผู้ใหญ่ระดับมหาเถระของเมืองไทย ที่นิ่งเงียบตะลึงงันระดับประเทศ
แต่ท่านเองก็ต้องระวังภัยเช่นเดียวกัน เพราะแสดงว่า ณ วันนี้
ไม่มีพระเมืองไทยองค์ใดที่ปลอดภัยอีกแล้ว
อำนาจมืดนี้ใหญ่หลวงนัก
เรามิได้มีอะไรเจ็บแค้นส่วนตัวต่อพระมหาธีราจารย์
ผู้ยิ่งใหญ่ เพราะประวัติของท่านก็ได้รับฉายาว่าตรงเหมือนไม้บรรทัด
และถ้าจะเรียกว่า สมเด็จนักเลงที่ไม่เคยกลัวใคร เพราะแม้นักเลงแถวบางลำภูรอบวัด
ท่านก็ยังจัดการเสียอยู่หมัด
เป็นที่รู้กัน
สังเกตได้จากรอยสักที่ต้นแขนขวาของท่าน 3 แถวยาว ก็จะรู้ว่า
เรื่องเครื่องลางของขลัง เขาก็มีเต็มตัว แต่ก็เป็นที่รู้กันว่า ถ้าจะเอาอะไร
ถ้ามีความเห็นอย่างไรแล้ว ยากที่จะมีใคร ทัดทาน
หลายปีก่อน
ความดังของวัดพระธรรมกายมาถึงหูท่านว่า เป็นวัดที่ใหญ่โตโอฬาร พระระดับเด็กวานซืน
มีบารมีขนาดมีคนเข้าวัดเป็นแสน สร้างสิ่งก่อสร้างใหญ่โต มีพระในวัด หลายร้อยองค์
ในฐานะที่ท่านเป็นใหญ่ในหนกลางที่ยิ่งใหญ่ ได้ข่าวว่า วัดนี้ใหญ่ขนาดจะไปไหน
ต้องใช้จักรยานภายในวัด
เท่านั้นเอง ก็มีคำสั่งสายฟ้าฟาด
ห้ามพระทุกองค์ขี่จักรยาน เพราะถ้าเป็นวัดชนะฯ แค่เดินไม่กี่ก้าวก็หมดวัดแล้ว
ความผิด อยากสร้างวัดใหญ่โตเกินไป ก็เดินเอาก็แล้วกัน
วัดพระธรรมกาย
ก็ก้มหน้ารับคำสั่งโดยไม่ปริปาก แล้วจักรยานหลายร้อยคัน ก็ถูกอุทิศถวายการกุศลไป
ใช่ อำนาจในฐานะเจ้าคณะหนกลาง
ผู้ยิ่งใหญ่ในแถบนี้ทั้งหมด
นั่นคือความเห็นส่วนตัว
ที่ยากที่ใครจะทัดทานกรณีหนึ่ง
เป็นแค่หนังตัวอย่าง
แต่กรณีที่เกิดขึ้นกับเจ้าคุณพรหมโมลีนี้
มิใช่แค่คดีกระจอก แค่สั่งเก็บจักรยานในวัด โชคดีที่ท่านมิได้ดูแล หนเหนือ หนใต้
หนอีสาน อำนาจของท่านยังมิได้ครอบคลุมทั่วประเทศ
จึงเป็นโชคร้ายของวัดเฉพาะในบังคับบัญชาภาคกลางเท่านั้น
ซึ่งทุกวัดก็หุบปากนิ่งมาตลอด ทั้งที่หลายวัดก็ประสบชะตากรรม และรู้นิสัยดี
แต่น้ำท่วมปากมิกล้าพูด เพราะ อายฆราวาส และเกรงว่า
จะอับอายไปทำให้ภาพพจน์พุทธศาสนาเสื่อมเสียทั้งมวล
แต่วันนี้
คำสั่งปลดเจ้าคณะภาคนั้น ไม่ถูกกฎมหาเถรสมาคม เพราะทุกมติต้องเป็นมติเอกฉันท์
ไม่มีข้อยกเว้น การเชิญท่านออกนอกห้อง แล้วปลดจากตำแหน่ง ถือว่า
ไม่เป็นเอกฉันท์
และที่สำคัญ ความเห็นของผู้บังคับบัญชาเรื่องนิคหกรรม
ก็ผิดกฎหมาย เพราะคดีจบแล้วคืนสำนวนผู้กล่าวหาไปแล้ว การดำเนินการต่อถือว่า
ผิดพระธรรมวินัยอย่างร้ายแรง
ถ้าเป็นอย่างนี้
ควรจะปลดใครกันแน่?
"ทีมข่าวศาสนา"