ปีที่ 3 ฉบับที่ 970 ประจำวันเสาร์ที่ 11 เดือนมีนาคม พ.ศ. 2543

พิเศษ 2 - เรื่องจริงแห่งไทยนคร

โมฆะบุรุษ

คำว่า "โมฆะ" นี้ ดูเหมือนว่า ผมจะรู้จักคำนี้ อย่างจริง ๆ จังๆ เมื่อคราวเรียนกฎหมาย สมัยที่เป็นนักศึกษาในรั้วมหาวิทยาลัย ความหมายที่พอจะอธิบายให้เข้าใจได้ง่าย ๆ คือ กิจกรรม หรือ สัญญาใด ๆ ที่ตามกฎหมายระบุไว้ชัดว่า ขัดต่อกฎหมาย ถือเป็นโมฆะ หมายความว่า สูญเปล่า ไม่เกิดพันธะหรือภาระผูกพันใด ๆ ขึ้นตามกฎหมายทั้งสิ้น 

แต่เมื่อผมได้มีโอกาสอ่านพระไตรปิฎกกับเขาบ้าง ผมจึงได้รู้จักคำ ๆ นี้ คือ "โมฆะ" ในแง่มุมหนึ่งที่ต่างออกไป ซึ่งสมัยพุทธกาลนั้น พระพุทธเจ้ามักจะใช้ตำหนิติเตียนพระภิกษุสงฆ์ ผู้ที่ไม่ตั้งอยู่ในพระธรรมวินัยว่า เป็นโมฆะบุรุษ ใช้ตำหนิในทำนองว่า บวชมาเสียเปล่า ไม่ได้มีคุณธรรมวิเศษที่น่าเลื่อมใส ศรัทธา โดยไม่เลือกว่า จะเป็นพระบวชใหม่ พระเถระ หรือพระมหาเถระก็ตามที ก็มีโอกาสเป็นโมฆะบุรุษกันได้ทุกรูปทีเดียว

นั่นเป็นสมัยอดีตกาลนานมาแล้ว แต่ในปัจจุบันนี้ เราก็มีเรื่องโมฆะบุรุษมาให้เห็นในรูปแบบใหม่ ที่เห็นได้ชัดในเรื่องกฎมหาเถรสมาคม ที่กำหนดโดยอ้างอิงอยู่กับพระวินัยสงฆ์ จะมีบ้างเป็นส่วนน้อย ที่อิงกับวิธีการทางโลก แม้ในเรื่องนิคหกรรมที่กำลังดังอยู่ในขณะนี้ ก็ยังมีการถกเถียงไม่เป็นที่ยุติ พระเถระผู้เป็นนักปราชญ์ซึ่งเกี่ยวข้องโดยตรง ก็ยืนยันแล้วว่า "เรื่องมันจบไปแล้ว" ซึ่งเป็นการจบที่ดำเนินการโดยชอบตามกฎมหาเถรสมาคม แต่ท่านผู้ยิ่งใหญ่ ซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องโดยตรง กลับมาตะแบงว่า "ไม่จบ" และเข่นมติมหาเถรสมาคม ออกมา เพื่อจะยกเลิกคำสั่งที่ชอบด้วยกฎมหาเถรสมาคมเสียอย่าง (ใครจะทำไม) ท่านผู้รู้บางท่านบอกว่า หากรื้อฟื้นนิคหกรรมขึ้นมาใหม่ จะเป็นอาบัตินะ ท่านผู้ยิ่งใหญ่ก็แก้ว่า ไม่เป็นอาบัติ เพราะเป็นการตัดสินกันเพียง 3 รูป ยังไม่ครบองค์สงฆ์ จำนวน 4 รูป (แถกไปได้เรื่อย) บางทีท่านคงจะลืมไปว่า องค์คณะผู้ตัดสินทั้ง 3 รูปนั้น ได้รับสมมติจากสงฆ์ ระดับกรรมการมหาเถรสมาคม ให้ติดสินคดีนี้ในนามของสงฆ์ แต่อย่างก็ตาม ทุกขั้นตอนของการตัดสินใจ จะต้องอิงหลักธรราวินัย ที่คณาจารย์โบราณ เรียกว่า "หลังพิงต้นโพธิ์" ครับ ถ้ามัวแต่อิงกระแสปลุกปั่น ก็เท่ากับว่า โค่นต้นโพธิ์ ซึ่งเป็นหลักอ้างอิงสำคัญ ไม่มีอะไรต่างไปจาก "โมฆะบุรุษ" เลย

แต่ผู้ที่น่าเห็นใจที่สุด คงไม่มีใครเกินเลย พระสุเมธาภรณ์ เจ้าคณะจังหวัดปทุมธานี ผู้ที่ครั้งหนึ่งได้มีคำสั่งยกคำกล่าวหาของท่าน ส.ว. สอบตก และของท่านผู้เชี่ยวชาญ ในสำนัก กรมการศาสนา ปรากฏไปทั่วประเทศต่อหน้าธารกำนัล วันนั้น ท่านคงปลาบปลื้มใจเหมือนกับตนเองเป็นเปาบุ้นจิ้นหน้าดำ ตัดสินด้วยความยุติธรรม แต่วันนี้ ท่านจะทำอย่างไร ต่อไปล่ะ อุตส่าห์ถ่มน้ำลายรดกองขี้หมาไปแล้ว ตัดสินคดีเด็ดขาดไปแล้ว ฤาจะกลับมาหมอบก้มลงไปเลียกินน้ำลายนั้น แล้วกลืนลงคอเหมือนพวกเปรตหรืออสุรกาย ในอบายภูมิ เช่นนั้นหรือ??

โดย เทพสุริยันต์


1