ปีที่ 3 ฉบับที่ 972 ประจำวันจันทร์ที่ 13 เดือนมีนาคม พ.ศ. 2543 |
พิสูจน์ความจริง : ผู้กล่าวหาน่าเชื่อถือจริงหรือ?
เป็นข่าวใหญ่สั่นสะเทือนไปทั่ววงการพระเถระชั้นผู้ใหญ่และสังฆมณฑล กับการปลดพระพรหมโมลี เจ้าคณะภาค ๑ ตามมติมหาเถรสมาคม ฐานหย่อนความสามารถ ในการ ปฏิบัติหน้าที่เจ้าคณะภาค สาเหตุใหญ่ๆ ก็มาจากนิคหกรรมอำพราง ที่ท่านยืนยันอย่างหนักแน่นว่า "ถึงที่สุดแล้ว" แต่บรรดาผู้ที่งมงายถูกอวิชชาปิดบังตา ต่างตะแบงตาม ทิฏฐิของตนว่า "ยังไม่จบ ๆ" จนในที่สุดเมื่ออธรรมมีกำลัง ฝ่ายธรรมก็จำต้องถอยไปตั้งหลักก่อนเป็นธรรมดา
ประเด็นที่กล่าวหาท่านมีอยู่หลายประเด็น แต่ในประเด็นที่ถกเถียงกันมานาน จนหาข้อยุติที่ไม่ลงตัวสักที ก็คือ ปัญหาที่ว่า "คฤหัสถ์เป็นผู้กล่าวหาพระภิกษุได้หรือไม่?" ในเรื่องนี้ ปรากฏว่า ทางมหาเถรสมาคมเห็นว่า คฤหัสถ์เป็นผู้กล่าวหาได้ เพราะบัญญัติไว้ในกฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ 11 ข้อ 4(8)ข. แต่พอมาถึงบทบัญญัติวิธีดำเนินการพิจารณา กลับไม่กล่าวถึง การดำเนินการกล่าวหาโดยคฤหัสถ์ ไว้ในกฎมหาเถรสมาคมฉบับนี้ หรือฉบับไหนๆ ก็ตาม
เมื่อไม่มีบทบัญญัติในการดำเนินการ ท่านเจ้าประคุณพระพรหมโมลี และพระเทพสุธี ซึ่งเป็นองค์คณะผู้พิจารณาชั้นต้น จึงให้ความเห็นชอบรับรองคำสั่งของพระสุเมธาภรณ์ เจ้าคณะจังหวัดปทุมธานีในฐานะผู้พิจารณา ที่สั่งไม่รับคำกล่าวหาของคฤหัสถ์ ทั้งที่เป็นของคุณมาณพ พลไพรินทร์ และคุณสมพร เทพสิทธา ส่งผลให้คดีนิคหกรรมถึงที่สุดทันที
ผลที่ออกมาก็คือ พระพรหมโมลีถูกเอาผิด ฐานให้ความเห็นชอบคำสั่งที่ชอบด้วยกฎมหาเถรสมาคม แต่ผู้สั่งกลับลอยนวลต่อไป เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ข้อสงสัยก็คือ กฎมหาเถรสมาคมฉบับนี้ ระบุคุณสมบัติของคฤหัสถ์ที่จะกล่าวหาพระภิกษุไว้ในข้อ 4 (8) ข. แต่ทำไมจึงไม่ระบุวิธีดำเนินการของคฤหัสถ์ไว้ด้วย คิดไปคิดมา หลายตลบ ก็ได้ความว่าน่าจะมีอะไรเป็นนัยๆ ซ่อนเอาไว้ที่คุณสมบัติของคฤหัสถ์นั่นแหละ ตามข้อ 4 (8) ข. นั้นได้ระบุคุณสมบัติคฤหัสถ์ผู้จะกล่าวหาพระดังนี้
เมื่อประมวลคุณสมบัติของคฤหัสถ์ที่จะกล่าวหาพระโดยเฉพาะข้อ 3, ข้อ 4. ภาระการรับผิดชอบอันหนักหน่วงจึงตกอยู่กับผู้พิจารณา ทำให้เริ่มจะเห็นภาพแล้วว่า ทำไม มหาเถรสมาคม จึงไม่บัญญัติวิธีดำเนินการสำหรับผู้กล่าวหาที่เป็นคฤหัสถ์ และที่สำคัญก็คือ ไม่ได้เป็นผู้เสียหายกับเขาสักหน่อย และคนที่ตนกล่าวอ้างมา เขาก็ไม่ได้ร้องขอ โดยเฉพาะคุณปู่สมพร กล่าวอ้างในทำนองว่า ญาติโยมวัดพระธรรมกายถูกเจ้าอาวาสฉ้อโกงหลอกลวง ทั้งๆ ที่ไม่มีญาติโยมคนไหน มาฟ้องร้องกล่าวหาท่านเจ้าอาวาส สักรายเดียว
คำกล่าวหาของปู่ก็สำเภาเดียวกันกับนายมาณพ นั่นแหละ แจ้งความเท็จต่อเจ้าพนักงานนะปู่ รู้ตัวหรือเปล่าว่าก่อนจะเข้าโลง อาจจะเข้าคุกเสียก่อนก็ได้ ถ้าปู่โดนฟ้องกลับ คุณปู่ก็คุณปู่เถอะ อายุวุฒิสมาชิกกำลังจะหมดแล้วนะ บุญเก่ามันหมดไปนานแล้ว อยู่ได้ทุกวันนี้เพราะบาปมันเลี้ยงอยู่นะจะบอกให้ เอกสิทธิ์และความคุ้มครอง ของวุฒิสมาชิก กำลังจะหมดอยู่แล้ว ถึงเวลานั้น คุณปู่คงจะต้องวิ่งขึ้นโรงขึ้นศาล จนซี่โครงบานเบอะแน่เลย คงได้ลุ้นกันว่า ปู่จะตายก่อนติดคุก หรือติดคุกก่อนตาย แต่ที่แน่ๆ ไม่ต้องลุ้นเลย ก็คือทั้งปู่และขบวนการมารร้ายทั้งหลาย มีโลกันตมหานรกเป็นที่ไปแน่นอน!!!
นิติกรเมืองกรุง