ปีที่ 3 ฉบับที่ 976 ประจำวันพฤหัสบดีที่ 16 เดือนมีนาคม พ.ศ. 2543

รายงานพิเศษ

แฉ! เบื้องหลังลวงพระเถระ เพื่อรื้อฟื้นนิคหกรรม

แฉ! เบื้องหลังหลองลวงพระเถระ เพื่อรื้อฟื้นนิคหกรรม โดยเป็นที่ทราบกันดีว่า ในกรณีนิคหกรรม ที่มีนายมาณพ พลไพรินทร์ และนายสมพร เทพสิทธา เป็นผู้กล่าวหาต่อ พระราชภาวนาวิสุทธิ์ และพระภาวนาวิริยคุณนั้น

คณะผู้พิจารณาชั้นต้นอันประกอบด้วย พระพรหมโมลี เจ้าคณะภาค 1 ในฐานะหัวหน้าคณะผู้พิจารณาชั้นต้น พระเทพสุธี รองเจ้าคณะภาค 1 คณะผู้พิจารณาชั้นต้น พระสุเมธาภรณ์ เจ้าคณะจังหวัดปทุมธานี คณะผู้พิจารณาชั้นต้นได้มีมติ ไม่รับคำกล่าวหาของคฤหัสถ์ทั้งสอง เมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2542 อันเป็นผลให้กฎนิคหกรรมกรณีนี้ ต้องยุติลงอย่างสิ้นเชิง ซึ่งเป็นคำสั่งที่ชอบด้วยพระธรรมวินัย, กฎหมาย และกฎมหาเถรสมาคมไปแล้วนั้น

ต่อมาปรากฏว่า นายไพบูลย์ กับพวก ได้ทำการรายงานเท็จโดยบิดเบือนเอกสารข้อเท็จจริงในการดำเนินการตามกฎนิคหกรรมของคณะผู้พิจารณาชั้นต้น ต่อกรรมการมหาเถร สมาคม ทุกรูป เพื่อที่จะได้มีการรื้อฟื้นการพิจารณาตามกฎนิคหกรรมขึ้นมาใหม่ เพื่อหวังรวบรัดตัดตอนให้มหาเถรสมาคมมีมติให้พระราชภาวนาวิสุทธิ์ และพระภาวนาวิริยคุณ สละสมณเพศตามกฎมหาเถรสมาคมฉบับที่ 21 (กฎฉบับนี้ได้เคยใช้กับกรณีของพระยันตระมาแล้ว)

บัดนี้ทางชมรมชาวพุทธสากลแห่งประเทศไทย เห็นว่าถึงเวลาแล้วที่จะต้องเปิดเผยเบื้องหน้า และเบื้องหลัง ของรายงานที่บิดเบือนดังกล่าว ต่อพุทธศาสนิกชนชาวไทย ที่รักความ เป็นธรรมทุกท่าน อันอาจแสดงให้เห็นถึงธาตุแท้ ของกลุ่มบุคคลดังกล่าวที่มีความพยายามทำลายพระพุทธศาสนา โดยแสดงข้อความอันเป็นเท็จ ให้แก่กรรมการมหาเถรสมาคม ทุกรูปเข้าใจผิดในข้อเท็จจริง และขั้นตอนวิธีดำเนินการที่ผ่านมาของคณะผู้พิจารณาชั้นต้น อันทำให้มหาเถรสมาคมเกิดความเข้าใจผิดต่อพระพรหมโมลี ว่าไม่ปฏิบัติตามมติ มหาเถรสมาคม จนกระทั่งพระพรหมโมลีได้ถูกให้ออกจากตำแหน่งเจ้าคณะภาค 1 มาแล้วนั้น 

และทางชมรมฯ ได้รวบรวมข้อมูล หลักฐาน อันเป็นพยานเอกสาร พร้อมกันนั้นยังได้ทำการวิเคราะห์ทุกขั้นตอน ว่าขั้นตอนใดที่นายไพบูลย์กับพวกได้ร่วมกันทำการบิดเบือน ดังสรุปเป็นข้อมูลได้ดังตามตารางข้างล่างนี้ 

รายงานอันเป็นเท็จของนายไพบูลย์กับพวก ทำให้สมเด็จพระมหาธีราจารย์เข้าใจผิด

ข้อมูลที่เป็นจริง

ข้อมูลที่ถูกบิดเบือนจากความจริง รายงานโดยกรมการศาสนา

1.หนังสือทัดทานมีความว่า ผู้พิจารณาไม่มีอำนาจ สั่งรับคำกล่าวหา เพราะกฎไม่ได้ให้ อำนาจไว้?

หมายความว่าผู้พิจารณารับคำกล่าวหาของคฤหัสถ์ไม่ได้ เพราะกฎไม่ได้ให้ อำนาจไว้

1.รายงานว่า "ผู้ถูกกล่าวหาได้มีหนังสือทัดทานว่า คฤหัสถ์ไม่มีสิทธิกล่าวหาพระภิกษุได้?" 
2.คณะผู้พิจารณาชั้นต้น ประกอบด้วย เจ้าคณะภาค 1 รองเจ้าคณะภาค 1 และ เจ้าคณะจังหวัดปทุมธานี ประชุมพิจารณาแล้วมีมติว่า คำทัดทานนั้นฟังได้ จึงแนะนำ ให้ผู้พิจารณาดำเนินการให้เป็นไปตามกฎมหาเถรสมาคม โดยเคร่งครัด

(หมายถึงคณะผู้พิจารณาชั้นต้นทั้ง 3 รูป มีมติเห็นด้วยกับหนังสือทัดทาน มิใช่เกิดจากหัวหน้าคณะผู้พิจารณาเพียงคนเดียว)

2.รายงานว่า "หัวหน้าคณะผู้พิจารณาชั้นต้นเห็นว่า หนังสือทัดทานของผู้ถูกกล่าวหา รับฟังได้?" 

(ทำให้มส.เข้าใจผิดว่า พระพรหมโมลี ในฐานะหัวหน้าคณะผู้พิจารณาชั้นต้น เป็นผู้ลุแก่ อำนาจ เอาความเห็นของตนเป็นใหญ่ อาจทำให้กรรมการ มส. เกิดความเกลียดชัง พระพรหมโมลี เพื่อให้สะดวก ในการปลดจากตำแหน่ง เจ้าคณะภาค 1 โดยไม่มีใครขัดขวาง)

3. การสั่งไม่รับคำกล่าวหาของผู้พิจารณา เป็นการปฏิบัติอย่างเคร่งครัดตามกฎมส. ทั้งนี้เป็นดุลยพินิจอันเป็นเอกสิทธิ์ของผู้พิจารณากล่าวคือ 
  1. เจ้าคณะจังหวัดในฐานะผู้พิจารณา กลับไปทบทวนกฎมหาเถรสมาคม โดยละเอียดแล้ว เห็นว่าไม่มีบทบัญญัติใดที่ให้อำนาจผู้พิจารณา สั่งรับคำ กล่าวหา ของผู้กล่าวหาที่มีลักษณะบกพร่อง ไม่ต้องตามที่ระบุไว้ใน กฎนิคหกรรม เห็นควรไม่รับคำกล่าวหา 
  2. คำกล่าวหานั้นเป็นความผิดครุกาบัติ จำเป็นต้องได้รับความเห็นชอบจาก คณะผู้พิจารณาชั้นต้นก่อน เมื่อได้รับความเห็นชอบแล้ว จึงใช้ดุลยพินิจ อันเป็นเอกสิทธิ์ของผู้พิจารณา ยกเลิกคำสั่งเดิมและสั่งไม่รับคำกล่าวหา
3.รายงานว่า "ผู้พิจารณาจึงทำหนังสือ ขอรับความเห็นชอบ ในการไม่รับคำ กล่าวหา ต่อคณะผู้พิจารณาชั้นต้น ซึ่งคณะผู้พิจารณาชั้นต้น เห็นชอบในการสั่ง ไม่รับคำกล่าวหา?" 

(ทำให้มส. เข้าใจผิดว่า การที่ผู้พิจารณาเปลี่ยนแปลง คำสั่ง จากรับคำกล่าวหามาเป็นไม่รับคำกล่าวหานั้น พระสุเมธาภรณ์ทำไปด้วยความจำใจ ถูกบังคับโดย พระพรหมโมลี ซึ่งเป็นหัวหน้าคณะผู้พิจารณาชั้นต้น)

4.กฎมหาเถรสมาคมเป็นกฎหมายที่ใช้ในการปกครองคณะสงฆ์ให้เป็นไปตามพระธรรมวินัยย่อมสูงกว่ามติมส.(มติมส. จะมาลบล้างกฎมส. ไม่ได้)
  1. ข้อเท็จจริง คือ มติมส. จะไปขัดกับกฎมส. ไม่ได้ เหมือนกับมติครม. จะไปขัดกับกฎหมายของบ้านเมืองไม่ได้ ต้องแก้กฎหมายก่อนฉันใดมส. ก็ต้องแก้กฎมส. ก่อนฉันนั้น
  2. มส.ชุดปัจจุบัน ไม่ใช่ชุดที่ตรากฎนิคหกรรมฉบับนี้ 
  3. มติมส. จะขัดพระวินัยไม่ได้ ซึ่งพระวินัยที่พระองค์ทรงบัญญัติไว้ ไม่ให้รื้อฟื้นอธิกรณ์ที่มีการตัดสินไปแล้ว ขึ้นมาทำใหม่ มีความผิดเข้าข่ายละเมิดอุกโกฎนกรรมสิกขาบท 
4.รายงานว่า "มติของมหาเถรสมาคมในฐานะเป็นองค์กรสูงสุด และเป็นผู้ตรากฎนิคหกรรมนี้ จึงย่อมต้องถือเป็นที่สุด?"

(ทำให้มส.เข้าใจผิดถือเอามติเป็นสำคัญ หากทางวัดพระธรรมกาย ฟ้องร้องกล่าวโทษมส. ผู้คนก็จะเสื่อมศรัทธาคณะสงฆ์ เรียกว่า เสี้ยมให้ทะเลาะกัน และเพื่อให้คนเบื่อพุทธศาสนา จะได้ถือเป็น ข้ออ้าง ว่า มส. ต้องปรับปรุง คณะสงฆ์ต้องเปลี่ยนแปลง โดยให้มีการ ออกกฎหมายสงฆ์ฉบับใหม่ เพื่อเอาเงินบริจาคของวัด ทั่วประเทศ ไปใช้หนี้ IMF และปรนเปรอพวกของตน)

5.กฎมหาเถรสมาคมอนุญาตให้ฆราวาสมีสิทธิกล่าวหาพระได้ แต่ไม่อนุญาตผู้พิจารณารับคำกล่าวหานั้น กล่าวคือ 
  1. การกระทำของพระภิกษุผู้พิจารณาชั้นต้น ไม่ขัดต่อมติมส. เพราะให้คฤหัสถ์มีสิทธิกล่าวหาพระภิกษุได้ ดังเห็นได้จาก พระสุเมธาภรณ์เปิดโอกาสให้ คฤหัสถ์กล่าวหาพระภิกษุได้ โดยมิได้ห้ามปรามแต่อย่างใด จึงเป็นการปฏิบัติตามมติมส. ทุกประการ 
  2. การที่ไม่รับคำกล่าวหาก็เพราะว่าไม่มีอำนาจในการรับ ซึ่งเป็นการกระทำตามกฎมหาเถรสมาคม อย่าง เคร่งครัด
5.รายงานว่า "พระภิกษุผู้พิจารณาและคณะผู้พิจารณาชั้นต้น ได้ดำเนินการไปแล้ว ขัดต่อมติมหาเถรสมาคมดังกล่าว คือได้สั่งไม่รับคำกล่าวหา เพราะเห็นว่า คฤหัสถ์ไม่มีสิทธิกล่าวหาพระภิกษุ?" 
6.คำสั่งไม่รับคำกล่าวหาของผู้พิจารณา มีผลให้กรณีนิคหกรรม จำต้องยุติลงอย่างสิ้นเชิง เพราะมีบทบัญญัติไว้ใน กฎมหาเถรสมาคมว่าด้วยการลงนิคหกรรมว่า คำสั่งไม่รับคำกล่าวหาดังกล่าวนั้น ให้เป็นอันถึงที่สุด ไม่สามารถรื้อฟื้น ขึ้นมาใหม่ได้ 6.รายงานว่า "เรื่องที่มีการกล่าวหาพระภิกษุ มาหยุดอยู่ตรงที่ ผู้พิจารณาได้รับคำกล่าวหาไว้และได้แจ้งให้ผู้ถูกกล่าวหาทราบ ขั้นตอนหลังจากนั้น ต้องถือว่ายังมิได้มีการดำเนินการ?" 

(จึงเห็นได้ชัดเจนว่า นายไพบูลย์กับพวก พยายามรื้อฟื้น นิคหกรรมขึ้นมาใหม่ ถึงแม้ตามกฎจะระบุไว้ชัดเจนว่า ให้เป็นอันถึงที่สุด พวกเขาทำเพื่ออะไร หรือเพื่อผลักดันให้ใช้กฎ มส. ฉบับที่ ๒๑ เพื่อจับสึกหลวงพ่อทั้งสองของชาวธรรมกาย และชาวธรรมกายก็จะลุกฮือขึ้นต่อต้าน มส. ย่อมเกิดความวุ่นวาย ในสังฆมณฑล อย่างแน่นอน และเป็นที่มา แห่งการออกกฎหมาย ฉบับใหม่ เพื่อให้มีอำนาจ ควบคุมดูแลคณะสงฆ์ โดยไม่มีใครต่อต้าน เพราะสถานการณ์ เอื้ออำนวย และพลังชาวพุทธถูกสลายเสียแล้ว) 

 

(รูป) เอกสารชี้แจงของคณะผู้พิจารณาชั้นต้น
ที่มีต่อท่านเจ้าคณะใหญ่หนกลาง (สมเด็จพระมหาธีราจารย์)
(รูป) เอกสารของนายไพบูลย์กับพวก
pt430316p1-1.gif (39393 bytes)
pt430316p1-2.gif (32168 bytes)
pt430316p2-1.gif (37300 bytes)
pt430316p2-2.gif (22193 bytes)

ชมรมชาวพุทธสากลแห่งประเทศไทย

1