ปีที่ 3 ฉบับที่ 983 ประจำวันจันทร์ที่ 27 เดือนมีนาคม พ.ศ. 2543

รายงานสัมมนาวิชาการ

โดย ชมรมชาวพุทธสากลแห่งประเทศไทย

สถานการณ์พระพุทธศาสนาในปัจจุบัน (ตอน 1)

สัมมนาพระสังฆาธิการทั่วประเทศ ครั้งที่ 1 ณ จิตตภาวันวิทยาลัย วันที่ 24-26 มีนาคม 2543

มีพระสังฆาธิการจากทั่วประเทศ เดินทางมาลงทะเบียนเข้าร่วมงานจำนวน 4,122 รูป ประชาชนผู้สนใจอีกจำนวนหนึ่ง เริ่มสัมมนาวันแรก เสาร์ที่ 25 มีนาคม 2543 เมื่อเวลา 09.00 น. สมเด็จพระพุฒโฆษาจารย์ มิได้เสด็จมาเป็นประธานในพิธี เพราะเข้าใจผิดไปตามข่าวลวง ของสถานีโทรทัศน์ไอทีวี และสื่อสิ่งพิมพ์บางฉบับ พระเทพกิตติปัญญาคุณ จึงเป็นประธานกล่าวเปิดงาน แจ้งให้ที่ประชุมทราบถึงความเลวทราม ของขบวนการทำลายพระพุทธศาสนา ที่แกล้งปล่อยข่าว โดยออกหนังสือปลอมแปลง แถลงข่าวยกเลิก การสัมมนา สวมรอยหนังสือของจิตตภาวัน แจกจ่ายไปทั่วสังฆมณฑล

อาจารย์คณิน บุญสุวรรณ ผู้นำความรู้เรื่อง ร่าง พ.ร.บ. สงฆ์ใหม่ทั้ง 2 ฉบับ เผยแพร่แก่คณะสงฆ์ ให้รู้ถึงความไม่ชอบมาพากลของขบวนการทำลายสงฆ์และพระพุทธศาสนา จนกลายเป็นขวัญใจของพระไปโดยปริยาย ได้กล่าวถึงความเกี่ยวข้องของรัฐธรรมนูญกับพุทธศาสนา ซึ่งรัฐบาลจะต้องให้ความอุปถัมภ์และคุ้มครอง ทั้งส่งเสริมพระพุทธศาสนา ซึ่งประกาศใช้มาแล้วกว่า 2 ปี 5 เดือน ไม่ปรากฏว่ารัฐบาลจะให้ความสนใจเอาใจใส่ดูแล แต่กลับมุ่งจะจับพระสึกเช้าสึกเย็น แสดงถึงความพยายามละเมิดสิทธิแห่งความมนุษย์ ตามรัฐธรรมนูญปัจจุบัน ในหลายมาตรารวมทั้งละเลยไม่ปฏิบัติอีกหลายมาตรา

มีการออกกฎหมาย "ฆราวาสปกครองพระ" เพราะนายชวน หลีกภัย ในฐานะหัวหน้าพรรค ได้เซ็นรับรองเพื่อผ่านเรื่องเข้าไปในรัฐสภา ทั้งๆ ที่พยายามปิดบังซ่อนเร้น เล่นละคร ตบตาหลอกพระต่างๆ นานา เอาฉบับปลอมมาหลอกล่อเบี่ยงเบน ให้คนเข้าใจว่าเป็นฉบับกระทรวงศึกษาธิการ ซ่อนฉบับจริงที่เตรียมกันไว้ตั้งแต่ปี 2540 พร้อมทั้งคำสั่งกำชับ ิไม่ให้แพร่งพราย ไม่ว่าใครจะร้องขอตามสิทธิที่รัฐธรรมนูญบ่งบอกไว้ก็ตาม จึงยังเหลือเพียง นายชวน หลีกภัย คนเดิม ่ในฐานะนายกรัฐมนตรี จะเซ็นรับรองอีกครั้งเมื่อไหร่ ก็เมื่อนั้น เราคงจะได้เห็นเจตนาของรัฐบาล ได้อย่างชัดเจนว่า กำลังคิดอะไรอยู่ ในเรื่องเกี่ยวกับพระพุทธศาสนาในไม่ช้านี้ 

แม้ พ.ร.บ. สงฆ์ ฉบับที่ 2 ปี พ.ศ. 2535 มีมาตราอันตรายต่อคณะสงฆ์อยู่ 2 มาตรา คือมาตรา 29 ที่ให้อำนาจพนักงานสอบสวนและอัยการ สามารถจับสึกพระได้ทันที ที่พระ ถูกฟ้องร้องกล่าวโทษทางอาญา ซึ่งถือกันว่าเป็นการลงโทษประหารพระ ก่อนการพิจารณาคดีให้ถึงที่สุด ต่างจากคดีของคนทั่วไป ที่จะลงโทษกันได้ต่อเมื่อต่อสู้ในศาล จนคดีถึง ที่สุดที่ศาลฎีกา ตามที่มีคำพิพากษาของออกมาเท่านั้น อีกมาตราหนึ่ง ม. ๔๕ พระสังฆาธิการถือเป็นเจ้าพนักงาน ตามกฎหมายอาญา ซึ่งขัดต่อความเป็นจริงที่ว่า วัดไม่ได้เป็น หน่วยงานของรัฐ ไม่มีงบประมาณสนับสนุน พระยังชีพได้ด้วยศรัทธามหาชน และพระก็ไม่มีอำนาจใดๆ ตามที่ตั้งให้เป็นเจ้าพนักงาน ซึ่งเพียงแต่ให้เกิดการรับผิดทางอาญา เมื่อ การบริหารบกพร่องในวัดเท่านั้น ในมาตรานี้จึงเป็นโทษต่อพระมากกว่า

อาจารย์คณิน ได้เสนอทางแก้ไขไว้ให้กับที่ประชุมพิจารณา คือการเปลี่ยนแปลงแก้ไขเนื้อหาสาระใน ร่าง พ.ร.บ. คณะสงฆ์เสียใหม่ ทั้งให้จัดตั้งกองทุนอุปถัมภ์และคุ้มครอง พระพุทธศาสนาขึ้น ให้มีผลบังคับใช้กับ เจ้าหน้าที่ของรัฐทุกระดับ ป้องกันไม่ให้คนเหล่านี้เบียดบัง ข่มขู่รังแกพระ หรือเสนอกฎหมายใหม่ ให้มีเนื้อหาสาระอุปถัมภ์ และคุ้มครอง พระพุทธศาสนาจริงๆ โดยให้เป็นหน้าที่ของรัฐบาลเป็นผู้ดำเนินการ เพราะถ้าฝ่ายค้านทำแทนมีอันต้องรับประทาน "แห้ว" ทุกที 

พระเทพกิตติปัญญาคุณ (หลวงพ่อกิตติวุฑโฒ) กล่าวถึงสาเหตุที่ได้อาราธนานิมนต์พระสังฆาธิการ มาประชุมสัมมนาพร้อมกันครั้งนี้ เพราะได้สัมผัสพระมาทุกระดับ แม้พระ ผู้ใหญ่เอง ท่านรู้สึกท้อแท้ขาดที่พึ่ง ตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ที่ ตำหนักเพชร ที่กลุ่มคนชั่วปั้นหุ่นพระ กระทืบแล้วเผา พระองค์นั้นคือ พระพรหมโมลี ทำกันต่อหน้าตำรวจชั้นผู้ใหญ่ เจ้าหน้าที่กรมการศาสนา แต่ไม่มีใครสั่งจับ ทั้งๆ ที่หมิ่นพระศาสนา

พระพุทธเจ้าตรัสสอนถึงวัชชีธรรม หรืออัปริหานิยธรรม วัชชีจะมั่นคงหรือไม่ ต้องอยู่ที่ความสามัคคีของสมณชีพราหมณ์ แต่ปัจจุบันเหตุอาเพทหลายอย่างเกิดขึ้นในบ้านเมือง เพราะปฏิบัติผิดไปจากวัชชีธรรม 

สื่อในปัจจุบันมีอิทธิพลมากมาย ไม่ว่าจะพูดเรื่องจริงหรือเท็จ พระเราก็ได้รู้เห็นกันอย่างชัดเจนในการจัดงานครั้งนี้ ดังนั้นการมีสื่อของเราเองเป็นสิ่งจำเป็น ทั้งเคเบิ้ลทีวี และ อินเตอร์เน็ท เราควรผนึกกำลังกันทั่วประเทศ สร้างสื่อของเราขึ้นมา ยิ่งในปัจจุบันเราตกอยู่ในอำนาจมิจฉาทิฏฐิ ประธานกรรมาธิการปีกลาย เป็นอิสลาม ทำเราเสียแย่ ก่อนหน้านั้น รัฐมนตรีศึกษาเป็นคริสต์ เราก็แย่มานานเลยทีเดียว นี่เป็นบทเรียนสำคัญ ก่อนมอบอำนาจให้ใคร เลือกใคร ต้องพิจารณาให้ดี เหมือนกับอธิบดีกรมการศาสนาในอดีต ต้องถาม พระก่อน อธิบดีต้องเป็นเด็กรับใช้พระ แต่เดี๋ยวนี้ข่มขู่ ชี้นิ้วใช้พระ ปกครองพระ หวังจะล้วงย่ามพระ สถาบันการเงินล่มสลาย ยังมีแต่ของพระเหลืออยู่ มันจึงออกกฎหมาย คิดมาล้วง ย่ามพระ ทุกวันนี้วัดร้างไป 5,000 กว่าวัด วัดที่ยังไม่จดทะเบียน อาจถูกขายให้คริสต์บ้างแล้ว เขากำลังกว้านซื้อวัดไทยอยู่ ผมได้สร้างพระพุทธรูป ส่งไปไว้ตามหมู่บ้านชาวเขา ดึงคนเหล่านั้นให้เป็นพุทธก่อน เขาไม่ต้องการเป็นคริสต์ถ้าไม่จำเป็น หากขืนปล่อยให้คริสต์เข้ามามากๆ จะเป็นอย่างติมอร์ ดังนั้นเราต้องประชุมกันบ่อยๆ มันไม่ออกข่าวให้ เราก็ออกในเคเบิ้ลทีวีของเราเอง เราทำอะไรต้องเปิดเผย เรื่องธรรมกายเรื่องเล็ก เรื่องใหญ่อยู่ที่เราจะรักษาศาสนาได้อย่างไร 

เวลา ๑๓.๕๕ น. อาจารย์จำนงค์ ทองประเสริฐ กล่าวถึง พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ กับผลกระทบต่อพระพุทธศาสนา ซึ่งมีการจัดระบบการศึกษาเป็น 3 ส่วน การศึกษาในระบบ ตามเกณฑ์บังคับ ซึ่งกำหนดจุดมุ่งหมายไว้แน่นอน การศึกษานอกระบบ หลักสูตรยืดหยุ่นสอดคล้องตามความต้องการ และมีการจัดการศึกษาตามอัธยาศัย เรามีนักการศึกษา มากมาย แต่ในด้านการศาสนา ยังขาดบุคลากรอีกมาก กระทั่งระดับอธิบดีกรมการศาสนา จะมีเพียง พ.อ.ปิ่น มุทุกันต์ เท่านั้นเองที่มีความรู้เรื่องศาสนาเป็นอย่างดี นอกนั้นแล้ว เป็นตำแหน่งสำหรับข้าราชการ รอเกษียณอายุเท่านั้นเอง แสดงให้เห็นถึงการให้ความสำคัญของการศาสนาน้อยมาก ยิ่งรัฐมนตรีศึกษาธิการ ไม่ค่อยรู้เรื่องธรรมะ ไม่มีความรู้เรื่อง ศาสนา จึงมักมีปัญหาอยู่เนืองๆ เพราะเราขาดมนุษยธรรมกัน ซึ่งก็คือเบญจศีล-เบญจธรรมนั่นเอง ยิ่งในปัจจุบัน กลับหาได้ยากจากผู้ใหญ่ในบ้านเมือง ได้เห็นพระสนใจ เข้าสัมมนา จำนวนมากในครั้งนี้ รู้สึกชื่นใจ และเกิดความหวังว่า ศาสนาเราจะยังไม่เสื่อมง่ายๆ

เวลา ๑๕.๑๐ น. การรักษาพระพุทธศาสนา นายสมัคร สุนทรเวช หัวหน้าพรรคประชากรไทย กล่าวถึงศาสนาในไทย ถือตามสัดส่วนพุทธ อิสลาม คริสต์ และอื่นๆ เป็น 95 ต่อ 3 ต่อ 1 ต่อ 1 

สมัยที่มีปัญหาเรื่องคอมมิวนิสต์ ฝรั่งกลัวกันมากว่า ไทยจะเป็นไปตามทฤษฦีโดมิโน เหมือนเวียตนาม เขมร ลาว ซึ่งมีพุทธศาสนาเป็นหลักเหมือนๆ กัน แต่พระไทยเราต่างจาก พระในประเทศเหล่านั้น พระเราไม่มีกิจกรรมทางการเมือง และเราไม่เคยเป็นเมืองขึ้นใคร เราจะไม่เป็นคอมมิวนิสต์ ด้วยรากฐานทางสังคมของเราดีกว่ากัน เพราะพระนี่แหละ เป็นผู้ดึงประชาชนเอาไว้ 

สถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และรัฐธรรมนูญ เป็นเสาหลักของบ้านเมือง ขาดรัฐธรรมนูญไปก็ไม่เท่าไหร่ แต่สามสถาบันสำคัญขาดสิ่งหนึ่งสิ่งใดไม่ได้เลย โดยเฉพาะพุทธ ศาสนา ร้อยละ 95 นับถือกัน การเกิดวิกฤติในทุกวันนี้ แสดงว่าต้องมีปัญหาอย่างแน่นอน เราจะรักษาศาสนาได้อย่างไร สื่อมวลชนควรระมัดระวัง ในการเสนอข่าวอย่างไร ที่ไม่เป็นการซ้ำเติมพระศาสนาให้แย่กว่านี้ มีปัญหาอะไร ต้องให้พระท่านดำเนินการกันเอง อย่าเข้าไปชี้นำพระ ต้องรับใช้พระ ยิ่งได้เห็นมีการชี้หน้าด่าพระ ยิ่งรู้สึกว่าเป็นการ กระทำ ที่มากเกินไปแล้ว 

เขาเลือก องค์การพุทธศาสนสัมพันธ์แห่งโลก (พสล.) มาตั้งอยู่ในประเทศไทย ชาวไทยที่อยู่ในสหรัฐฯ อาศัยวัดเป็นที่ถ่ายทอดวัฒนธรรมกัน เรียกว่า "มรดกไทยคืนถิ่น" วัดจึงเป็น ที่ดึงดูดผู้คนเข้าไป พระท่านช่วยให้เด็กๆ ได้รู้จักตัวเอง เมื่อโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว เขาก็เลือกเอาเองว่า จะถือสัญชาติไทยหรืออเมริกา 

บางอย่างเราสามารถเอาที่พระพุทธเจ้ากำหนดไว้มาทำให้ถูกต้อง พิจารณาให้สอดคล้องกับความเป็นไปในปัจจุบัน ในบางเรื่องพระท่านมีวิธีการของท่านอยู่ เช่นการลงโทษพระ ก็ให้ว่ากันไปโดยอิสระ ให้พระกับพระจัดการกันเอง ต้องให้เกียรติสถาบัน มีแต่เข้าไปรับใช้ท่านให้เป็นไปตามที่ท่านต้องการ ไม่ใช่ไปชี้นำ สั่งการให้เป็นไปตามความต้องการของตน 

ศาสนาจะเสียหายก็อยู่ที่ พุทธบริษัท ๔ นี่แหละ ถ้าจะว่าตามท่านพุทธทาสว่าเอาไว้ "ตถตา" เป็นเช่นนั้นเอง คนที่ทำอย่างนั้นอาจจะเป็นสันดานของมัน หรืออยากจะขายหนังสือ อยากจะเด่นจะดัง ผมก็ไม่อยากจะว่า บางคนแก่จนจะแย่อยู่แล้วยังอุตส่าห์ทำกันอยู่ ก็ค่อยดูกันไป ขอย้ำว่าไม่ใช่ชั่วช่างชีดีช่างสงฆ์ แต่ก็ไม่ใช่จะไม่ให้ความสนับสนุน ช่วยเหลือ ท่านในทางที่ถูกต้องสมควร 

ไม่มีรัฐธรรมนูญฉบับไหน ที่มุ่งจะทำลายพุทธศาสนา เรามีพระเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นเอกอัครศาสนูปถัมภก พระองค์ท่านทรงเป็นหลักให้ดีอยู่แล้ว พุทธศาสนาของเราก็ทรงคุณค่า คู่มากับ ความเป็นไทย การดูแลซึ่งกันและกันของคณะสงฆ์ก็ดีอยู่แล้ว ถ้านิกายทั้งสองไม่ได้เป็นปัญหาระหว่างกัน ดังนั้นการหมั่นประชุมกันในหมู่สงฆ์เป็นสิ่งจำเป็น ที่ท่านจะ สามารถ ติดตามสถานการณ์ ให้ทันเหตุการณ์อยู่เสมอ เมื่อมีปัญหาก็แก้ไขกันภายในสังคมของท่านเอง การที่ฆราวาสเข้ามาทำการ "เสี้ยมเขาควาย" ให้พระทะเลาะกัน อย่าง ทุกวันนี้ มันเป็นการทำลายศาสนาชัดๆ 

การรักษาพระพุทธศาสนาไว้ เหมือนกับการรักษาตระกูลวงศ์ ที่ต้องดำรงไว้อย่างดีที่สุด ขณะนี้อาจจะดูเหมือนว่าศาสนามีภัย ซึ่งก็อยู่ที่ตัวพระคุณท่านเอง หากช่วยกันดูแลให้ดี ผมเชื่อว่าศาสนาของเราจะคงอยู่อย่างเจริญรุ่งเรืองไปอีกนาน ไม่ต้องเป็นกังวล

มีต่อหน้าถัดไป >>>


1