ปีที่ 3 ฉบับที่ 983 ประจำวันอาทิตย์ที่ 26 เดือนมีนาคม พ.ศ. 2543

หน้า 1

สงฆ์แสดงพลังตบหน้า "ตือ" ล้นจิตตภาวัน
"คณิน" จวกปชป. ทำลายพุทธ 
มารแบนทีวี - วิทยุ ตัดแฟ๊กซ์
"หมัก" ลั่นกรมศาสนาล้วงลูก

พระสังฆาธิการกว่า 5 พันรูป เมินคำสั่งอธิบดีกรมการศาสนา เดินทางไปร่วมสัมมนาที่จิตตภาวันวิทยาลัยคับคั่ง "คณิน" จวกแหลกประชาธิปัตย์งุบงิบ ผ่านร่างกฎหมายหัวดำ ปกครอง สงฆ์ ลั่นนายกฯ ชวน เซ็นทีเดียว พุทธพินาศ "หมัก" โดดร่วมงานตบหน้าข้าราชการจอมเชลียร์ ระบุ กรมการศาสนาวางตัวเป็นนายพระ ลั่นสื่อชี้นำทำลายพุทธ ส่วน พระกิตติวุฑโฒถล่มไอทีวีบิดเบือน เตรียมสร้างสื่อค้ำจุนสงฆ์ ย้ำกรมการศาสนาจ้องทุบวัดขายให้ฝรั่งทำโบสถ์คริสต์

ผู้สื่อข่าวรายงานจากจิตตภาวันวิทยาลัย อ.บางละมุง จ.ชลบุรี วันที่ 25 มี.ค.2543 เมื่อเวลา 10.00 น. พระเทพกิตติปัญญาคุณ หรือพระกิตติวุฑโฒ ผอ.จิตตภาวันวิทยาลัย เป็นประธานจัดสัมมนาเรื่อง "รัฐธรรมนูญใหม่กับพระพุทธศาสนาในปัจจุบัน" โดยมีพระสังฆาธิการจากทั่วประเทศ ให้ความสนใจเดินทางมาร่วมงานกว่า 5,000 รูป

รายงานข่าวเปิดเผยว่า การจัดสัมมนาหนนี้ มีกำหนดที่จะให้สถานีโทรทัศน์ช่อง 11 ถ่ายทอดสด พร้อมกับกระจายเสียงผ่านไปยังสถานีวิทยุ 3 คลื่น AM 1089 KHz , AM 1179 KHz , AM 540 KHz ปรากฏว่า มีคำสั่งแบนการออกอากาศทั้งรายการทีวี และวิทยุกระจายเสียง

นายคณิต บุญสุวรรณ รองประธานคณะกรรมาธิการพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญ ได้บรรยายหัวข้อเรื่อง "รัฐธรรมนูญใหม่กับพระพุทธศาสนาในปัจจุบัน" ว่า ขณะนี้ นายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ได้เข้ามาล้วงลูกในกรมการศาสนา ซึ่งไม่เคยปรากฏมาก่อน ว่า รมต.จะปฏิบัติหน้าที่ที่ส่วนใหญ่คือ จ้องจับสึกพระ วันละ สามเวลาหลังอาหาร สถานการณ์เริ่มวุ่นวายมากขึ้น เมื่อรัฐธรรมนูญฉบับใหม่มีผลบังคับ โดยเฉพาะใน ม.73 ที่เขียนไว้อย่างชัดเจนว่า ให้รัฐมีหน้าที่อุปถัมภ์และคุ้มครอง พระพุทธศาสนา ซึ่งไม่ใช่แบบที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาฯ ปฏิบัติอยู่ในปัจจุบัน

ทั้งนี้ ตามความหมายของรัฐธรรมนูญ ได้เขียนไว้ชัดเจนว่า ให้รัฐมีหน้าที่คุ้มครองพระพุทธศาสนา ดังนี้ 

ประการแรก ให้ความอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนา ซึ่งไม่ต้องตีความ เด็กป.4 ก็เข้าใจได้ว่า รัฐต้องเข้ามาดูแลความเป็นอยู่ของพระสงฆ์ ไม่ใช่จับพระสึก 

ประการที่สอง รัฐต้องส่งเสริมให้ใช้หลักธรรม เพื่อสร้างคุณธรรมให้แก่คนในสังคม

ประการสุดท้าย รัฐต้องส่งเสริมให้ใช้หลักธรรมพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนในสังคม

นายคณิน กล่าวต่อไปว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมด เพราะมีคนแอบไปยกร่างกฎหมาย ใช้ชื่อว่า พ.ร.บ.อุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนา ทีแรกนึกว่า มีเจตนาดี แต่ในเนื้อหา สรุปได้ประเด็นเดียว คือ เป็นกฎหมายที่เอื้อให้ฆราวาสปกครองพระ และกฎหมายดังกล่าวยกร่างมาเมื่อไร ไม่สามารถทราบได้ พอมารู้อีกครั้ง ก็เป็น ร่าง พ.ร.บ.ส่งเสริมกิจการ ประสานงาน พระพุทธศาสนา

โดยพระผู้ใหญ่ทางใต้ ได้ต้นร่างจากนักการเมือง ก่อนที่รัฐธรรมนูญจะประกาศใช้ พอมาปี 2540 จึงนำร่างกฎหมายนี้มาเปลี่ยนชื่อ กลายมาเป็น ร่างพ.ร.บ.อุปถัมภ์และคุ้มครอง พระพุทธศาสนา

สำหรับเจตนารมณ์ที่ทางรัฐออกมาปลุกระดมให้ประชาชนหนุนกฎหมาย ซึ่งใช้ข้ออ้างว่า 1. ศาสนาพุทธเสื่อม 2. รัฐธรรมนูญให้เขียนกฎหมายอุปถัมภ์ 3. รัฐใช้สัมมนาตั้งคณะ ทำงาน ร่วมร่างกฎหมายขึ้นมา และมีบางคนร่างกฎหมายแบบเสนอหน้า แต่ตนไม่อยากบอกว่า เป็นใคร เขียนร่างกฎหมายด้วยมือตัวเอง ส่งตรงถึงนายกรัฐมนตรี หลังจากร่าง กฎหมายเสร็จ ก็มี ส.ส.คนหนึ่งเสนอกฎหมายเข้าสภา เป็นกฎหมายใหม่ ใช้ชื่อว่า พ.ร.บ.อุปถัมภ์คุ้มครองพระพุทธศาสนา โดยเสนอเมื่อวันที่ 7 ก.ค.2542 แต่เนื่องจากเป็นกฎหมาย ที่เกี่ยวข้องกับการเงิน จึงต้องให้นายกรัฐมนตรีรับรอง ถ้าไม่รับรองก็นำเข้าพิจารณาในสภาไม่ได้

"ก่อนหน้านี้ ผมเคยขอดูร่างกฎหมายที่ยื่นเข้าสภา แต่ไม่สามารถหาต้นร่างได้ เพราะเจ้าหน้าที่สภาถูกสั่งห้ามไม่ให้เผยแพร่ ผมจึงทำหนังสือถึงประธานสภา แต่ก็ไม่ได้ผล ที่ต้องการ ดูร่างที่นำเสนอสภานั้น ก็เพราะต้องการนำมาเปรียบเทียบกับร่างที่ผมได้รับมาก่อนหน้านี้แล้ว ถ้ามันตรงกัน ศาสนาพุทธก็จะอยู่ไม่ได้ ขนาด นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานวุฒิสภา ยังพูดว่า ถ้ากฎหมายฉบับนี้ออกมา ผมขอลาออกจากการเป็นพุทธศาสนิกชน" นายคณิณ กล่าวและว่า

ถ้าจะถามว่า กฎหมายฉบับนี้ มีผลอย่างไร กฎหมายฉบับนี้ ถ้าออกมาจะทำให้รัฐมนตรี รัฐมนตรีช่วยว่าการศึกษาฯ ทำหน้าที่จัดระเบียบองค์กรสงฆ์ใหม่ ลดบทบาทกรรมการ มหาเถรสมาคม กฎหมายจะเปลี่ยนโฉมพระพุทธศาสนา ซึ่งจะให้สมาคมพุทธ หรือยุวพุทธิกสมาคมขึ้นมาปกครองดูแลพระสงฆ์ หรือจะเรียกว่า กฎหมายฉบับนี้ ปูทางให้ฆราวาส ปกครองพระสงฆ์นั่นเอง

นอกจากนี้ กฎหมายนี้จะบังคับให้พุทธมามกะ มีหน้าที่จะต้องทำ คือจะเปลี่ยนวิถีชาวพุทธใหม่จากการให้ทำบุญด้วยศรัทธา เป็นการบังคับให้ทำโน่นทำนี่ ซึ่งจะทำให้ชาวพุทธ เสื่อมจากศรัทธาศาสนา จะทำให้ศาสนาพุทธเสื่อมไปด้วย ขณะที่ศาสนาอื่น ๆ กฎหมายไม่ได้บังคับเช่นกับศาสนาพุทธ

อย่างไรก็ตาม ยังโชคดีที่ร่าง พ.ร.บ.ฉบับอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนานี้ ก่อนที่จะสามารถเสนอเข้าสภาผู้แทนราษฎรได้นั้น ขั้นตอนจะต้องผ่านการพิจารณา ร่างจาก พรรคการเมืองที่ส.ส.คนนั้น สังกัดก่อน เมื่อผ่านพรรคอนุมัติแล้ว จึงจะนำเสนอต่อครม. เพื่อพิจารณา จากนั้น จึงจะนำเสนอต่อสภาผู้แทนราษฎรต่อไป เพราะฉะนั้น การที่ร่าง พ.ร.บ. ฉบับนี้ ไปโผล่ที่สำนักนายกรัฐมนตรีได้ แสดงว่า จะต้องมีส.ส.ในพรรคประชาธิปัตย์ เสนอต่อพรรค และผ่านการพิจารณาเรียบร้อยแล้ว โดยมีหัวหน้าพรรคเป็นผู้เซ็นอนุมัติ เพราะฉะนั้น ขั้นตอนที่เหลือคือ เพียงนายกรัฐมนตรีเซ็นอนุมัติ ก็สามารถเข้าครม. และเสนอต่อสภาให้ผ่านได้ง่าย เพราะรัฐบาลมี ส.ส.มากกว่า ก็ย่อมชนะอยู่แล้ว

เรื่องนี้ มีตัวอย่างให้เห็นคือ กฎหมายการเงิน ที่นายกรัฐมนตรีเซ็นอนุมัติออกไป และสามารถนำไปใช้ได้ทันที ไม่สามารถเปลี่ยนหรือแก้ไขเนื้อหาสาระได้ โดยรัฐบาลอ้างว่า มีความจำเป็นเร่งด่วนที่จะนำไปแก้ไขสถานการณ์ แม้ว่าในทางทฤษฎี ส.ส.จะสามารถแก้ไขกฎหมายได้ หลังจากอนุมัติไปแล้ว 6 เดือน แต่ในทางปฏิบัติ เราไม่สามารถทำได้ โดยมีเหตุผลข้างต้น

ดังนั้น ตนจึงพยายามตรวจสอบร่าง พ.ร.บ.นี้ ตลอดเวลา โดยทิ้งร่าง พ.ร.บ.หรือด้านการเมืองอื่น ๆ เนื่องจากประเทศไทย มีชาวพุทธจำนวนมาก หากชาวพุทธเสื่อม ศาสนาเสื่อม ก็ย่อมหมายถึงประเทศไทยเสื่อมไปด้วย

"ถ้าพรรคไม่อนุมัติร่าง พ.ร.บ.จะไปโผล่ที่สำนักนายกรัฐมนตรีไปไม่ได้ เพราะฉะนั้น ถ้านายกรัฐมนตรี เซ็นรับรอง ซึ่งเป็นคนเดียวกันกับหัวหน้าพรรคที่เสนร่าง พ.ร.บ.นี้ เพียงแก๊ก เดียว จะทำให้นักการเมืองเข้ายุ่งเกี่ยวกับพระสงฆ์ได้ทันที และขณะที่พระสงฆ์ไม่เคยเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับนักการเมือง ไม่ได้เลือกตั้ง ต่อไป ถ้าพระสงฆ์โดยเฉพาะ เจ้าอาวาสวัด กลายเป็นเจ้าพนักงานของรัฐ ก็จะถูกกดดัน เพราะกลายเป็นลูกน้องของข้าราชการนักการเมือง มีความผิดและความชอบ ทั้งๆ ที่ผ่านมา พระไม่เคยไปเดือดร้อนเงินงบประมาณ ของรัฐ ท่านยังชีพด้วยศรัทธาของชาวบ้าน"

พระเทพกิตติปัญญาคุณ (กิตติวุฑโฒ) กล่าวว่า ในอดีตพระจะเป็นผู้ชี้นำสังคม แต่ในปัจจุบันปรากฏว่า สื่อมวลชนเป็นผู้ชี้นำสังคม ซึ่งข่าวที่ปรากฏตามสื่อต่าง ๆส่วนใหญ่เป็นเท็จ ซึ่งอาตมาก็เพิ่งจะโดนมาไม่กี่วันนี้เอง กรณีที่ไอทีวี นำจดหมายปลอมของอาตมา ไปนำเสนอข่าวออกไปทั่วประเทศ ถ้าใครไม่เคยเจอกับตัวเองก็จะไม่รู้ ดังนั้น พระต้องสร้างสื่อ ของตน ขึ้นมา ต้องผนึกกำลังกัน ตั้งศูนย์ประสานงานข่าวสารทั่วประเทศขึ้น ถ้าเราไม่ช่วยกัน เราก็จะอยู่ไม่ได้ ในการนี้ ทางจิตตภาวัน ขอเป็นตัวกลางในการสร้างสื่อขึ้นมา โดยจะนำเสนอในรูปแบบเคเบิ้ลทีวี ผ่านดาวเทียม เผยแพร่พระธรรมไปยังทุกวัด มีทั้งสอนบาลี และพระปรัยัติธรรม โดยเก็บค่าสมาชิกปีละ 2 พันบาท พระก็จะสามารถเรียนรู้ได้ ที่วัด ของตนเองได้ ทั้งนี้ จะเริ่มเผยแพร่ตั้งแต่เดือนเม.ย. นี้ เป็นต้นไป

ขณะนี้ ศาสนาพุทธกำลังถูกเบียดเบียนอย่างหนัก เพราะพวกมิจฉาทิฐิ เมื่อก่อนเรามีกรรมาธิการศาสนา เป็นมุสลิม เราก็แย่ มีปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เป็นคริสต์เราก็แย่ ที่ผ่านมา ต้องถือเป็นบทเรียน พระต้องตื่นตัวมากกว่าเดิม เมื่อก่อนนี้ คนให้เกียรติพระ ขนาดเงาพระยังไม่ยอมเหยียบ แต่เดี๋ยวนี้ มันสร้างหุ่นพระมากระทืบ ถ้าเราปล่อยให้เป็น อย่างนี้ต่อไป ศาสนาคงแย่

บทเรียนที่สำคัญคือ เราต้องมองไปที่อำนาจรัฐ การเลือกคนเข้ามา จะต้องเลือกคนที่ไว้ใจได้ เราต้องบอกให้คนทราบว่า ใครดีใครไม่ดี ถ้าเลือกไอ้นี้มาเป็นรัฐมนตรี มันจะขายวัด อย่างนี้ ต้องบอกให้ประชาชนรู้ เมื่อก่อนใครจะมาเป็นอธิบดีกรมการศาสนา ก็ต้องเข้าไปกราบพระเถระผู้ใหญ่ทุกรูป เพราะตำแหน่งอธิบดีกรมการศาสนา เป็นตำแหน่ง เด็กรับใช้พระ แต่เดี๋ยวนี้พยายามทำตัวเป็นนาย ทั้งข่มขู่ และสั่งสอนพระ ถ้าเป็นอย่างนี้ มึงมาเป็นพระเองเลยจะดีกว่า ไม่ต้องมีพระ

ความจริงแล้ว ในศาสนาพุทธ พระจะปกครองกันเอง เรามีมหาเถรสมาคมเป็นองค์กรปกครองสูงสุด พระผู้น้อยก็เคารพพระผู้ใหญ่ เราอยู่กันได้ ก็เพราะอย่างนี้ อยู่กันเป็นหมู่เป็น คณะ แต่ตอนนี้ฆราวาสกำลังจะมาปกครองพระ แถมยังจะล้วงย่ามพระ อาตมาบอกว่า มันกำลังจะล้วงย่ามพระ มันทำโกรธ ที่ต้องล้วงย่ามพระ ก็เพราะว่า เงินในคลังหมด ไม่รู้จะเอาที่ไหน มันมองว่า พระมีเงิน มันเลยจ้องตาเป็นมัน

พระกิตติวุฑโฒกล่าวต่อไปว่า ปัจจุบันสถานการณ์ของพระพุทธศาสนา น่าเป็นห่วงมากขึ้น เพราะสถาบันการเงินตกอยู่ในมือต่างประเทศ นายแบงก์ฝรั่งมองดูบัญชีพ่อค้า มีแต่ หนี้เอ็นพีแอล แต่พอมามองบัญชีวัด ปรากฏว่า พระไม่เคยถอนเงินเลย มันก็เลยมองว่า เงินศาสนาเข้าท่า เลยออกกฎหมายล้วงย่ามพระ อย่างที่เห็น

"สถานการณ์ในปัจจุบันวัดร้างมากขึ้นกว่า 5 พัน วัดทั่วประเทศ ขาดสมภาร อาตมาก็รู้สึกแปลกใจว่า ทำไมไม่มีการสร้างศาสนาทายาท เปิดอบรมทีไร มีพระมาร่วมน้อยมาก พระเดี๋ยวนี้น้อย บวชแค่ 7 วันก็สึก ใครอยู่ครบพรรษา ต้องตะครุบตัวไว้ แล้วส่งมาอบรมที่นี่ รับรองว่าใน 2 ปี ใช้เป็นสมภารได้ ถ้าขืนปล่อยให้เป็นวัดร้าง กรมการศาสนา จะเข้ามาตะครุบทันที น้ำลายไหลเยิ้ม เรพาะจะได้ค่าเช่าที่เพิ่มเข้ามาอีก ที่น่ากลัว ก็คือวัดที่ยังไม่ได้ขึ้นทะเบียน เมื่อยังไม่มีการยกผาติกรรม กรมศาสนาก็จะนำไปขายได้ แถวอีสานถูกขายไปหลายวัดแล้ว บางแห่งเปลี่ยนเป็นโบสถ์คริสต์ เรื่องนี้พระอีสานรู้กันดี" พระกิตติวุฑโฒกล่าว

ผอ.จิตตภาวันวิทยาลัย กล่าวด้วยว่า กรณีที่ชัดเจน เห็นแถว อ.ตาพระยา เอารถไปไล่รับเด็กเข้าโบสถ์ มีครูสอนเป็นฝรั่งชาวสเปน แต่สอนภาษาอังกฤษ มันก็บอกว่า เป็นโรงเรียน นานาชาติแล้ว ขนาดตามป่าตามเขา มันยังไม่เว้น ตอนนี้ อาตมามีแผนสร้างพระพุทธรูปเอาไปตามหมู่บ้านชาวเขา เพื่อให้เขามาดูแลพระ ต้องเล่นไม้นี้ไปก่อน ไม่เช่นนั้น คริสต์เอาไปกินหมด เพราะถ้าปล่อยให้คริสต์เข้ามามาก ประเทศไทยจะกลายเป็นติมอร์ เรื่องแบบนี้พระผู้ใหญ่ไม่รู้ เพราะงานท่านเยอะ กิจนิมนต์เยอะ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การจัดสัมมนาหนนี้ ปรากฏเรื่องผิดปรกติหลายเรื่อง อาทิ การสั่งแบนรายการวิทยุ ที่กำลังออกอากาศกระจายเสียงงานสัมมนา โดยไม่ได้ชี้แจงถึงเหตุผล หากแต่เปิดเสียงเพลงแทรกเข้ามา ปรากฏว่า มีประชาชนที่ติดตามฟังรายการวิทยุโทรศัพท์เข้ามาร้องเรียน "พิมพ์ไทย" เป็นจำนวนมาก ขณะเดียวกัน ระบบการสื่อสารโทรศัพท์ โทรสาร ภายในจิตตภาวันฯ ก็ไม่สามารถใช้งานได้ เหตุการณ์ดังกล่าว ทำให้ประชาชนต่างพากันวิพากษ์วิจารณ์ว่า อาจเกิดจากการกลั่นแกล้งของรัฐบาล โดยเฉพาะกระทรวง ศึกษาธิการ และกรมการศาสนา นายไพบูลย์ เสียงก้อง อธิบดีกรมการศาสนา ได้พยายามบิดเบือนใส่ร้ายข่มขู่จิตตภาวันฯ มาก่อนหน้านี้แล้ว โดยปรามาสว่า งานสัมมนา จิตตภาวันฯ จะไม่มีพระเถระไปร่วมงาน โดยเฉพาะนักการเมืองอย่างนายกรัฐมนตรี ย่อมรู้เท่าทัน และคงปฏิเสธไม่ไปร่วมงานอย่างแน่นอน

จนเวลา 15.00 น. นายสมัคร สุนทรเวช หัวหน้าพรรคประชากรไทย ได้เป็นวิทยากรกล่าวในหัวเรื่อง "การรักษาพระพุทธศาสนา" มีสาระสำคัญว่า ปัญหาพระพุทธศาสนา มีสาเหตุ มาจากฆราวาส อย่างชัดเจน โดยเฉพาะ สื่อมวลชนไทย ต้องยอมรับว่า สื่อบ้านเราเป็นสถาบันที่แข็งแกร่งที่ใครไม่สามารถแตะต้องได้ หากสื่อต้องการจะให้สถานการณ์นั้น ๆ เป็นเช่นไร ก็จะพากันชี้นำ โดยไม่คำนึงถึงผลเสียที่จะตามมา

"เมื่อสื่อเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องใด ก็มักจะเป็นปัญหาใหญ่โต เกินกว่าที่จะคาดเดาได้ สื่อนี่แหละตัวปัญหา" นายสมัครกล่าว หัวหน้าพรรคประชากรไทย กล่าวย้ำว่า ปัญหาพระพุทธ ศาสนา เกิดจากการที่ฆราวาสเข้าไปยุ่มย่ามพระสงฆ์มากเกินไป ควรให้พระปกครองพระมากกว่าที่จะนำฆราวาสไปปกครองพระ ซึ่งเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง

"ปัจจุบันกรมการศาสนา ปรับเปลี่ยนบทบาทของตัวเองไปแล้ว จากหน้ามือเป็นหลังมือ กรมการศาสนามีหน้าที่สนองงานพระภิกษุสงฆ์ ทุกวันนี้ทำตัวเป็นนายพระ" นายสมัคร กล่าว และว่า สำหรับกระแสเรียกร้องให้ปรับเปลี่ยนรื้อโครงสร้างคณะกรรมการมหาเถรสมาคมด้วยการนำพระหนุ่มมาปกครองนั้น ตนเห็นว่า ปัจจุบันก็มี พระธรรมกิตติวงศ์ วัดราชโอรส ซึ่งเป็นพระหนุ่มที่มีภูมิรู้ภูมิธรรมเป็นเลิศ เป็นกรรมการอยู่ในมส. อย่างไรก็ตาม การปรับเปลี่ยนจะต้องค่อยเป็นค่อยไป


1