ปีที่ 3 ฉบับที่ 983 ประจำวันอาทิตย์ที่ 26 เดือนมีนาคม พ.ศ. 2543 |
ใครทำลายพระพุทธศาสนา-ใครคือผู้อุปถัมภ์ศาสนา
สัปดาห์ที่ผ่านมาสื่อมวลชนเสนอข่าวเกี่ยวกับการจัดสัมมนาพระสังฆาธิการที่จัดโดยพระเทพกิตติปัญญาคุณ
ณ จิตตภาวันราชวิทยาลัย ระหว่างวันที่ 24-26 มีนาคม
ซึ่งเนื้อหา
หัวข้อสัมมนามีการหยิบยกถึงวิกฤติที่เกิดขึ้นกับพระพุทธศาสนา โดยเฉพาะพ.ร.บ.อุปถัมภ์คุ้มครองพระพุทธศาสนา หรือที่รู้จักกันว่า กฎหมายหัวดำปกครองสงฆ์
ที่ฝ่ายการเมือง
และข้าราชการประจำบางกลุ่มพยายามผลักดัน เพื่อให้กฎหมายดังกล่าว ผ่านความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี
เพื่อมีผลบังคับใช้
ทั้งนี้กฎหมายดังกล่าว
ได้ถูกพุทธศาสนิกชนวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างกว้างขวางแต่เป็นเรื่องที่น่าเสียใจเป็นอย่างยิ่งว่าผู้ที่มีส่วนได้เสียกับกฎหมายดังกล่าวโดยตรง
นั่นคือพระภิกษุ
สงฆ์ส่วนใหญ่ กลับไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่า เนื้อหาของร่างกฎหมายดังกล่าวเป็นอย่างไร และไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่าจะเกิดผลเสียหายต่อสถาบันสงฆ์เพียงใด
ความเห็นนี้ "มีชัย ฤชุพันธุ์" ที่เพิ่งกลายเป็นอดีตประธานวุฒิสมาชิก เคยแสดงความเห็นไว้ว่า
หากรัฐบาลออกกฎหมายนำฆราวาสมาปกครองพระเมื่อไหร่
เขาจะลาออกจากความ เป็น
พุทธมามะกะ เพราะเห็นว่าสถาบันสงฆ์ควรปกครองกันเอง อีกทั้งการที่จะทำให้สถาบันสงฆ์เป็นที่เคารพศรัทธา นั่นเป็นเรื่องของจิตใจที่เป็นนามธรรมไม่สามารถจับต้องได้ หากสำนักใด หรือพระภิกษุรูปใดปฏิบัติไม่ชอบมาพากล อุบาสก อุบาสิกา ย่อมมีวิจารณญาณแยกแยะดี-ชั่วได้ด้วยปัญญาของแต่ละบุคคลทำบุญไปแล้ว ก็อย่าไปเสียดายเงินทอง หากเห็นความไม่ดีไม่งามภายหลัง
ก็เปลี่ยนไปทำกับพระรูปอื่น สำนักอื่น
ทั้งหมดเป็นความเห็นของอดีตประธานวุฒิสมาชิกที่พูดไว้เมื่อครั้งไปสัมมนาที่มหาวิทยาลัยสุโขทัย เมื่อปลายปี 2542
ผมเกริ่นถึงเรื่องการจัดสัมมนาที่จิตตภาวันไว้ก่อนหน้านี้ หากผู้ใดได้ติดตามการเสนอข่าวของ ไอทีวี และหนังสือพิมพ์ที่เสนอข่าวเกี่ยวกับงานดังกล่าว ก็คงจะทำให้จิตตกไปตามๆ กัน โดยเฉพาะบทบาทของไอทีวี ที่นำเอกสารเถื่อนๆ ระบุว่า พระกิตติวุฑโฒออกหนังสือเวียนล้มเลิกงานสัมมนา เนื่องจากวัดพระธรรมกายเบี้ยว ไม่ยอมออกเงินค่าใช้จ่าย
หลังจากนั้น
หนังสือพิมพ์ก็เสนอข่าวละเลงซ้ำว่า จิตตภาวันฯ แอบอ้างชื่อพระเถระในมหาเถรสมาคม นำชื่อไปเป็นประธาน และกรรมการจัดงานดังกล่าว
มีการตั้งคำถาม
ไปถวายกับพระเถระที่ถูกเชิญ
โดยมีข้าราชการในกรมการศาสนาขันอาสาเป็นธุระไปเคาะกุฏิถามพระเถระหลายรูปว่าจะไปเป็นกรรมการหรือประธานให้กับจิตตภาวันฯ หรือไม่
เท่านั้นยังไม่พอยังออกข่าว
บิดเบือนไปว่า พระกิตติวุฑโฒจัดงานเพื่อกอบกู้ศักดิ์ศรีให้กับวัดพระธรรมกาย ผู้ตกเป็นจำเลยของสังคมในห้วงเวลานี้อีกต่างหาก พร้อมกับปรามาสว่า
จะไม่มีนักการเมืองท่านใด
ไปร่วมงานสัมมนานี้
เมื่อสื่อมวลชนกับข้าราชการประจำเช้าชาม-เย็นชาม สอดรับประสานเสียงกันอย่างนี้ พระเถระที่ท่านได้รับการเชื้อเชิญจะกล้าไปร่วมงานสัมมนาหรือไม่ คำตอบพระเถระในมส.
พากันปฏิเสธกิจนิมนต์กันอย่างทั่วหน้า
เนี้ยแหละพระกลืนไม่เข้าคายไม่ออก จะทำอะไรก็ไม่ได้ มีการสร้างบรรยากาศแห่งความกลิ้งกรอกหลอกลวงกันเป็นหมู่คณะ เพื่อหวังผลอะไรกัน ถ้าไม่ใช่ทำลายพระพุทธศาสนา
พระคุณเจ้าขอรับ นี่ขนาดพ.ร.บ.หัวดำปกครองคุ้มเข้มพระสงฆ์ยังไม่ผ่านความเห็นชอบจากครม. มารฝ่ายต่ำยังกระเหี้ยนกระหือกันถึงเพียงนี้
และหากปล่อยให้กฎหมายอัปลักษณ์
มีผลบังคับใช้เมื่อไหร่ล่ะก็ ผมรับรองเลยครับว่า
ฆราวาสหัวหงอกหัวดำมันจะขึ้นไปเยี้ยวบนหัวพระคุณเจ้าเป็นแน่ !
แม้อำนาจฝ่ายต่ำจะพยายามขัดขวางกันชุมนุมของหมู่สงฆ์ เพียงใดก็ตาม แต่ผมก็อดปลื้มใจแทนพระเดชพระคุณเจ้าที่แห่แหนไปร่วมกันที่จิตตภาวันฯ
เพื่อร่วมชุมนุมในวาระ
สำคัญกันอย่างพร้อมเพรียงมิได้
พระ 5 พันรูปจากทั่วสารทิศมาประชุมกันอย่างพร้อมเพรียงกัน โดยไม่ได้สนคำทัดทานจากอำนาจฝ่ายต่ำ ที่พยายามสร้างกระแสบิดเบือน จนกลายเป็นความแตกแยกในหมู่สงฆ์ และมีแนวโน้มที่จะรุนแรงยิ่งๆ ในอนาคต
บาปกรรมนั้น ไม่ไปไหนเสีย คนที่เพิ่งก้าวขึ้นอยู่ในตำแหน่งสูงถึง อธิบดีกรมการศาสนา "ไพบูลย์ เสียงก้อง" สิ้นลมไปแล้วจะกู่ตะโกนตีตั๋วชั้นบน หรือชั้นใต้ดิน
ข้าราชการผู้นี้
เขาได้เลือกทางเดินให้กับตัวเองแล้ว
ยุคนี้เป็นยุคประชาธิปไตย แต่ปากกระมัง เพราะข้าราชการประจำ และฝ่ายการเมือง ยังมีหัวใจเผด็จการอยู่เกินร้อย แล้วจะให้บ้านเมืองพัฒนาสถาพรได้อย่างไรกัน ???
กรมการศาสนามีหน้าที่อุปถัมภ์โอบอุ้มพระภิกษุสงฆ์ แต่ปัจจุบันนี้ข้าราชการกรมการศาสนาปฏิบัติการข่มขู่พระทุกเช้าค่ำ ทำงานเลียแข้งเลียขาฝ่ายการเมืองเพื่อรักษาตำแหน่ง ไม่ได้รักษาอุดมการณ์ หลงลืมหน้าที่ของตัวเองไปอย่างโง่งม
"สมัคร สุนทรเวช" หัวหน้าพรรคประชากรไทย ไปปรากฏที่งานจิตตภาวันฯ แสดงความเห็นถึงวิกฤติพระพุทธศาสนาไว้อย่างน่าทึ้ง
ว่าทุกวันนี้สื่อมวลชนไทย
กลายเป็นสถาบัน
ที่แข็งแกร่งจนน่ากลัว และว่าหากเรื่องใดสื่อเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องจะเกิดความสับสนวุ่นวาย เพราะการเสนอข่าวสารของสื่อขายแต่ความสะใจ แข่งกับเวลา ธุรกิจ
บ่อยครั้ง ทำให้
เกิดความเสียหายเกินกว่าจะแก้ไข ซึ่งเรื่องพระศาสนา สมควรที่จะให้พระสงฆ์ท่านปกครองกันเอง ฆราวาสควรเป็นผู้สนองงานจึงจะเป็นความเห็นที่ถูกต้องที่สุด
อย่างไรก็ตาม การสัมมนาดังกล่าวที่วางแผนไว้ว่าจะมีการถ่ายทอดผ่านโทรทัศน์ ก็ต้องยกเลิก เหลือเพียงกระจายเสียงผ่านคลื่นวิทยุ โชคร้ายจริงๆ
ที่พรรคประชาธิปัตย์ กำลัง
เหลิงอยู่ในอำนาจ จึงถูกสั่งแบนรายการวิทยุ
ตลอดจนเกิดอุบัติเหตุการสื่อสารภายในจิตตภาวันฯถูกตัด เป็นเรื่องที่เหมาะเจาะ หรือเป็นความจงใจของอำนาจฝ่ายต่ำกันแน่
การ
รับฟังความคิดเห็นของกันและกัน ถือเป็นหัวใจของหลักการประชาธิปไตย และพระพุทธศาสนา
แต่ภาพที่เกิดขึ้นในจิตตภาวันฯ หนนี้
กลับมีบรรยากาศของเผด็จการ
เข้าไปปิดกั้น อย่างเต็มแรง เป็นทำเนียบประเพณีไปแล้ว ผมเสียดายเป็นอย่างยิ่งที่พระเถระหลายรูปท่านถืออุเบกขา โดยไม่คำนึงถึงความอยู่รอดของพระพุทธศาสนา
เป็นอุเบกขาแห่งความ วางเฉย เกรงกลัว ต่อฝ่ายการเมือง ข้าราชการประจำไปหรือไม่
ผมกราบพระเดชพระคุณเจ้ามา ณ โอกาสนี้ กรณีธรรมกายเป็นแค่เม็ดสิวเม็ดเล็กเม็ดเดียว ที่หมอใจบาปพยายามจะทำการผ่าตัด ศัลยกรรมปรับเปลี่ยนใบหน้าใหม่ให้กับชาวพุทธ
ไม่ว่าคนอย่าง "คณิน บุญสุวรรณ" มือกฎหมายมือหนึ่งจะชี้จุดบกพร่องถึงภัยพิบัติที่กำลังคืบคลานเข้ามาในศาสนาเพียงใด แม้จะเปรียบว่ายุทธการ "ฆ่าช้างเพื่อหวังงา"
ซึ่งเป็นภาพ ที่ชัดเจนยิ่ง
แต่เป็นเรื่องที่น่าเสียใจ ทว่าเป็นการสีซอให้ควายฟัง ก็อย่าหวังเลยว่าควายเหล่านั้นมันจะเข้าใจว่าอะไรคือความไพเราะ อะไรคือศิลปะ
ถึงเวลาแล้วที่พระเถระจะต้องแสดงความกล้าหาญ เพราะการนั่งอยู่บนหอคอยงาช้าง หรือวางอุเบกขา โดยไม่รู้จักความเหมาะความควรและไม่รู้ว่ากองทัพโจรกำลังบุกปล้นสดมภ์ จีวรของพระคุณเจ้า อุเบกขากำลังเป็นธรรมะที่พระคุณเจ้าเลือกปฏิบัติไม่ถูกกาลเทศะหรือไม่ ต้องช่วยกันพิจารณา
โซตัส