ลุยน้ำแล้วอย่าทำเฉย |
เรื่องที่มีงานคั่งค้าง (มาก) นี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะความขี้เกียจแต่ประการใด เพียงแค่ขยัน น้อยไปหน่อยเท่านั้นเอง สืบเนื่องมาจากความหวังดีกับทางบริษัท ขืนมีผลงานดีเด่นก็เดือดร้อน บริษัทต้องเสียค่าใช้จ่ายขึ้นเงินเดือนให้อีก นอกจากนี้ยังเป็นการรักษาสุขภาพจิตอีกด้วย ก็เลยทำงานแบบไปเรื่อย ๆ โดยไม่มุ่งหวังความโดดเด่นหรือเลื่อนขั้นเงินเดือน ถึงไม่ได้ ก็ไม่เป็นไรเพราะรู้ตัวดีอยู่แล้ว อย่างไรก็ตามเพื่อไม่ให้เป็นการน่าเกลียดจนเกินไปนัก ก็ต้องแข็งใจนั่งทำงานกันหน่อย พยายามทำตัวเป็นตัวขยันบ้าง ไม่งั้นนอกจากเงินเดือน ไม่ขึ้นแล้ว ยังมีทีท่าจะโดนลดเงินเดือนซะด้วยซ้ำ
นั่ง (แข็งใจ) ทำงานอยู่ดี ๆ ก็อุปสรรคเป็นโทรศัพท์ที่ต้องการคุยด้วย ตอนแรกก็ว่าจะไม่รับ อยู่เหมือนกัน เพราะไม่อยากเสียสมาธิในการทำงานทที่กำลังติดพันอยู่ พอดีเขาบอกว่า เป็นเสียงสาว ๆ เลยกลัวเสียมารยาทต้องสละเวลาทำงานไปรับซะหน่อย
ผู้ที่โทรศัพท์มาคุยด้วยก็คือสาวเจ้าของรถที่เมื่อไม่นานมานี้ได้ขอยืมบั้นท้ายของ "ไอ้ตัวดูด" เป็นที่เบรคนั่นเอง ซึ่งเคยเล่าให้ฟังไปแล้ว และหลังจากเกิดเรื่องคราวนั้น ก็ได้ติดต่อพูดคุยกัน เรื่อยมา แม้จะไม่บ่อยนักก็ตาม เท่าที่สาวเจ้าโทรศัพท์มาหาในวันนี้ก็เพราะมีเรื่องจะไหว้วาน กันเล็กน้อย เนื่องจากรถของคุณเธอเอาไปเข้าอู่และยังซ่อมไม่เสร็จ พอดีมีธุระนัดกับลูกค้า ทางธุรกิจเอาไว้และอยากจะชวนผมไปเป็นเพื่อนด้วย
เมื่อสาว (สวย) มาข้อร้องเรื่องที่ปฏิเสธมันย่อมพูดไม่ออก ทั้ง ๆ ที่งานยังพะเนินล้นโต๊ะ ก็จัดแจงทิ้งร่มควบ "ไอ้ตัวดูด" แว่บไปหาสาวตามที่นัดไว้ทันที (มันเป็นซะอีแบบนี้แหละ ทำงานมานานจนเกือบเป็นปู่ถึงไม่ได้ขึ้นเงินเดือนเลื่อนตำแหน่งเป็นหัวหน้ากะเค้าซักที เท่าที่เค้าไม่เชิญให้ออกไปนอนเล่นที่บ้านก็ถือว่าเป็นความกรุณามากแล้วล่ะ
ผมขับ "ไอ้ตัวดูด" ไปรับสาวเจ้าที่บ้าน ต่อจากนั้นก็ไปยังโรงแรมใหญ่แห่งหนึ่ง ที่คุณเธอได้นัดลูกค้าเอาไว้ หลังจากจอดรถล็อคประตูเรียบร้อยก็พาคุณเธอไปยังห้องอาหาร ในโรงแรมแห่งนั้น ซึ่งเป็นจุดนัดพบใช้พูดธุระกัน โดยผมมีหน้าที่ช่วยหิ้วกระเป๋าใส่เอกสาร พร้อมกล่องใส่ของแบน ๆ ใบโตมีน้ำหนักมากพอสมควรไปด้วย จนทำให้เกิดความสงสัย ขึ้นมาว่า ที่คุณเธอชวนมานี้ไม่ทราบว่า เป็นการหลอกใช้เพื่อให้มาเป็นคนขับรถ หรือพนักงานขนของซะล่ะมั้ง จนกระทั่งสาวเจ้าเดินเข้ามาคล้องแขนให้เดินไปด้วยกัน จึงค่อยรู้สึกดีขึ้นมาหน่อย และเมื่อเดินไปถึงก็พบว่า "ลูกค้า" 2 คนได้มานั่งรออยู่ก่อนแล้ว ซึ่งคิดว่าคงมาถึงไม่นานซักเท่าไร เพราะสังเกตเห็นเครื่องดื่มบนโต๊ะยังไม่พร่องเลย
สิ่งที่สร้างความประหลาดใจให้เป็นอย่างยิ่ง คือลูกค้าที่คุณเธอนัดเอาไว้นั้น ตอนแรกคิดว่าเป็นผู้ชาย ที่ไหนได้กลับกลายเป็นสาว ๆ ทั้งคู่แถมหน้าตาดีอีกต่างหาก แต่ไม่รู้ว่าจะใจดีด้วยหรือเปล่า เท่าที่สังเกตจากแววตาท่าท่างคงจะขี้เล่นพอสมควรทีเดียว
งานนนี้เขาเล่นใช้ภาษาต่างประเทศในการพูดคุย ทำให้ผมฟังไม่ค่อยจะรู้เรื่อง จึงปล่อยให้สามสาวเค้าว่ากันเองโดยผมจัดแจงสั่ง "วุ้น" มาจิบพร้อมกับใช้ใบหน้า ของสาวร่วมโต๊ะเป็นกับแกล้ม เอ๊ะ
เพลินดีไม่หยอกเหมือนกันนะ
ใช้เวลาไปนานโขพอดูสำหรับการพูดคุย และสั่งอาหารมานั่งทานกันจนกระทั่งจบรายการ มีการร่ำลา ซึ่งคิดว่างานนี้สาวเจ้าคงจะประสบความสำเร็จในธุรกิจงวดนี้เป็นอย่างดี จากรอยยิ้มและความเบิกบานที่ปรากฏอยู่บนใบหน้าให้เห็นช่วงพากันเดินกลับมาที่รถ เพิ่งจะมาหน้าบึ้งเอาอีตอนผมถามว่าสาวเจ้าทั้ง 2 คนที่มาคุยด้วยวันนี้นั้นเค้าพักอยู่ที่ไหน แปลกดีเหมือนกันนะ ถามแค่นี้ก็หน้าบึ้งซะแล้ว แถมยังไม่ยอมตอบคำถามอีกซะด้วย ไม่ตอบก็ไม่ตอบเรื่องแค่นี้ถ้าอยากรู้จริง ๆ คงไม่ยากซักเท่าไรหรอก เชื่อว่าคงพักอยู่ที่โรงแรมนี้นั่นแหละ ไม่งั้นจะมานัดเจอกันที่นี้ทำไม
จริงมั้ยล่ะ??
พอขึ้นรถกันเรียบร้อยผมก็จัดแจงติดเครื่อง "ไอ้ตัวดูด" และแทนที่เครื่องยนต์จะติดขึ้นมา ตามปกติ มันกลับมีเสียงสตารท์ดัง "แช็ก ๆ" ตัวไดสตารท์ก็ไม่ยอมหมุนเหมือนกับว่า ไฟในหม้อแบตเตอรี่หมดอย่างนั้นแหละทั้ง ๆ ที่อีตอนขับรถมายังดี ๆ อยู่เลย แต่เรื่องนี้ ผมไม่ค่อยจะใส่ใจเท่าไรนักเพราะ "ไอ้ตัวดูด" มันชอบประพฤติอีแบบนี้เป็นประจำอยู่แล้ว บ่อยครั้งที่มันเข้าไปแผลงฤทธิ์ใน "ม่านรูด" ทำเอาต้อง "ตากหน้า" ขายหน้าขายตา มาซะหลายหนจนแทบจะขายทิ้งไปหลายครั้ง พอมาเป็นเรื่องในสถานที่แบบนี้ จึงถือว่าเป็นความ "กรุณา" ของมันอย่างมากทีเดียว
อาการที่เกิดขึ้นอย่างนี้ ประเภทบิดกุญแจสตารท์แล้วไดสตาร์ทไม่วิ่ง ตัวการใหญ่มีด้วยกัน 2 อย่าง คือ ประการแรกสืบเนื่องมาจากไฟในหม้อแบตเตอรี่หมด ที่อาจเป็นเพราะไฟไม่ชาร์จ หรือหม้อแบตเตอรี่อัดไฟไม่เข้า เก็บไฟไม่อยู่ก็ได้ ส่วนอีกประการเป็นเพราะ ไดสตาร์ทเสีย ไม่ยอมหมุน และรถที่ใช้ระบบถ่ายทอดกำลังด้วยเกียร์ธรรมดาแล้ว เราสามารถแก้ไขปัญหา เฉพาะหน้าโดยใช้วิธี "เข็นกระตุกติด" ได้ทั้งนั้น จึงไม่ถือว่าเป็นปัญหาร้ายแรงประการใด ยกเว้นไฟหม้อแบตเตอรี่จะหมดชนิดเกลี้ยงเกลา อีแบบนี้เข็นกระตุกเท่าไรก็ไม่ติด ต้องใช้วิธีพ่วงแบตเตอรี่แล้วสตาร์ท เช่นเดียวกับพวกรถที่ใช้ระบบเกียร์อัตโนมัติ ก็ไม่สามารถเข็นติดด้วยแรงคนได้ ดังนั้นพวกรถที่ใช้ระบบเกียร์อัตโนมัติ จึงควรมี "สายพ่วงแบตเตอรี่" ติดท้ายรถเอาไว้เป็นประจำ พลาดท่าเสียทีขึ้นมายังพอสามารถจ้างวาน พวกรถแท็กซี่ ขออาศัยพ่วงแบตเตอรี่ติดเครื่องเอาตัวรอดได้บ้าง
ไม่แน่ใจว่าเที่ยวนี้ "ไอ้ตัวดูด" มันรวนเพราะอะไรกันแน่ จะว่าตัวไดสตาร์ทเสียก็มีทาง ที่จะเป็นไปได้เยอะเหมือนกัน เพราะก่อนหน้านี้มีรายการ "ลุยฝนเล่นน้ำ" หลายหน ถึงแม้จะใช้วิธี
สตาร์ทเครื่องแล้วดับหลาย ๆ ครั้งก่อนจอดรถเก็บหลังการลุยฝน เพื่อให้ไดสตาร์ทสลัดน้ำป้องกันการเสียหายแล้วก็ตาม แต่เจ้าไดสตาร์ทของ "ไอ้ตัวดูด" มันมีตำแหน่งติดตั้งอยู่ต่ำไปหน่อยโอกาสน้ำเข้าไปมันมีได้ค่อนข้างเยอะ "ไอ้ตัวดูด" มันเป็นรถรุ่นเก่า สมัยนั้นคนออกแบบเค้าคงไม่ค่อยคิดถึงเรื่องการขับรถลุยน้ำซักเท่าไรนัก และจะว่าเนื่องมาจากแบตเตอรี่เสื่อมก็มีทางเป็นไปได้อีก เนื่องจากแบตฯ ลูกนี้ ผ่านการใช้งานมาร่วม 3 ปีเห็นจะได้ ถือว่าสมควรแก่เวลาที่จะหมดลมหายใจได้แล้ว
วิธีตรวจสอบว่าที่ "ไอ้ตัวดูด" มันอ้อนนั้นสืบเนื่องมาจากสาเหตุอันใด ระหว่างไฟแบตเตอรี่ หมด หรือไดชาร์จเสีย ผมใช้วิธีทดลองโดยการกดแตรและเปิดไฟใหญ่ดู เพราะถ้าเสียงแตร ยังดังกังวานสดใสดี และไฟข้างหน้าสามารถส่องได้สว่างเจิดจ้าล่ะก็ แสดงให้รู้ว่า แบตเตอรี่ยังเจ๋งมีไฟเต็ม หม้อ แบบนี้ตัวการน่าจะมาจากไดสตาร์ทเป็นแน่ แต่สำหรับ "ไอ้ตัวดูด"เมื่อทดลองบีบแตรและเปิดไฟหน้า พบว่าเสียงแตรยังมีดังอย่างซังกะตาย ไฟหน้าไม่ค่อยจะสว่างสดใสเอาซะเลย เป็นการบอกให้ทราบได้ทันทีว่า ในหม้อแบตเตอรี่ที่มีไฟน้อยจนไม่พอสตาร์ทติดเครื่อง
เพื่อเป็นการแก้ไขเฉพาะหน้าไปก่อน ผมจัดการค่อย ๆ เข็น "ไอ้ตัวดูด" ไปไว้ที่ทางลาดลง แล้วดึงเบรคมือให้รถจอดคาเอาไว้อย่างนั้น ดีที่ "ไอ้ตัวดูด" มีน้ำหนักตัวไม่มากนัก และสาวเจ้ายังมาช่วยเข็นอีกแรง แม้จะบอกว่าไม่ต้องช่วยแล้วก็ตาม ทำให้งานนี้ ไม่เป็นการลำบากแต่ประการใด เมื่อตั้งท่าได้เรียบร้อยก็บอกสาวเจ้าให้ยืนรออยู่ตรงแถว ๆ นั้นก่อน เดี๋ยวจะขับรถขึ้นมารับ ต่อจากนั้นก็เข้าไปนั่งในรถ เปิดสวิทช์ไฟสตาร์ทคาเอาไว้ เข้าเกียร์รถค้างไว้ที่ตำแหน่งเกียร์ 2 เหยียบคลัทช์จม พอปลดเบรคมือรถก็เริ่มไหลลง ตามทางลาดทันที รออยู่ชั่วขณะปล่อยให้รถไหลลงจนได้ความเร็วพอสมควร ก็ยกเท้าซ้าย ปล่อยคลัทช์อย่างเร็วพร้อมกับเท้าขวากดคันเร่งลงไป เครื่องยนต์ก็ติดขึ้นมาอย่างง่ายดาย ต่อจากนั้นผมก็เหยียบเบรคให้รถหยุด เหยียบคลัทช์ปลดเกียร์ว่างเร่งเครื่องชาร์จไฟสักครู่หนึง พอดีกับมีรถแล่นมาจ่อท้ายจึงเข้าเกียร์หนึ่งขับรถวนขึ้นมารับสาวเจ้า
ตอนแรกตั้งใจไว้เหมือนกันว่าจะชวนสาวเจ้าออกเที่ยวต่อซักหน่อยพอดี "ไอ้ตัวดูด" มันมาก่อเหตุขึ้น เลยตัดสินใจไปส่งสาวเจ้าแทน แล้วควบ "ไอ้ตัวดูด" กลับที่ทำงาน เพื่อทำการเยียวยาแก้ไขก่อน ยังไงแล้วค่อยว่ากันใหม่
เมื่อกลับมาถึงทีทำงานจอด "ไอ้ตัวดูด" เข้าที่เรียบร้อย ก็ทดลองดับเครื่องแล้วติดเครื่องใหม่ อีกครั้ง อาการก็ยังเหมือนเดิมคือ ไดสตาร์ทไม่หมุน งานนี้แน่ใจว่าแบตเตอรี่คงหมดอายุ แน่นอน เพราะระหว่างทางที่ขับมาได้สำรวจดู "ไฟแดงเตือนไฟชาร์จ" ก็ไม่เห็นมันติดโชว์ ขึ้มาเลย แสดงว่าไฟชาร์จดีเพียงแต่ไม่เข้าหรือแบตเตอรี่เก็บไฟไม่เข้า
อันที่จริงจะทดลองใช้แบตเตอรี่ลูกเก่าต่อไปก่อนก็ได้ ด้วยวิธีนำรถไปร้านซ่อมได ให้เค้าเปลี่ยนน้ำกรดใหม่เพราะเมื่อใช้ไปนาน ๆ น้ำกรดมักจะจืด ช่างเค้าจะจัดการถอด หม้อแบตเตอรี่ออกมาคว่ำ เทเอาน้ำกรดทิ้งแล้วเติมน้ำกรดเข้าไปใหม่พร้อมกับทำการชาร์จไฟ ถ้าแผ่นธาตุไม่พิกลพิการหมดสภาพไปซะก่อนก็สามารถใช้งานต่อไปได้อีก แต่สำหรับ แบตเตอรี่ของ "ไอ้ตัวดูด" ที่ผ่านการใช้งานมาร่วม 3 ปี ย่อมน่าจะถือว่าคุ้มค่าแล้ว ดังนั้นจึงตัดสินใจซื้อแบตเตอรี่ลูกใหม่เปลี่ยนไปเลย สบายใจกว่าที่จะมาเสียดาย และลุ้นกับแบตเตอรี่ลูกเก่า
ช่วงที่ฝนตกน้ำท่วม รถของบรรดาเหล่าพรรคพวกหลายคันมีความจำเป็นต้องลุยน้ำ เพราะน้ำมันท่วมแถว ๆ บ้านนั่นแหละ ถ้าไม่ยอมลุยน้ำก็เข้าบ้านไม่ได้ ครั้นจะไป เปิดโรงแรมนอนชั่วคราวเพื่อรอให้น้ำลดก่อน เหล่าบรรดาภรรเมียทั้งหลายเค้าก็ไม่ยินยอม ซะด้วยเลยต้องจำใจลุยน้ำกลับบ้านทุกวันจึงเป็นเหตุให้รถที่ใช้ออกอาการไปตาม ๆ กัน มากบ้างน้อยบ้างตามสภาพของรถและระดับน้ำ
รถของพรรคพวกคันหนึ่ง ถือดีว่าเป็นประเภทรถลุยโดยเฉพาะ อีตอนซื้อก็ตั้งใจจะเอามา ฟาดฟันกับน้ำท่วมโดยตรง เนื่องจากละแวกบ้านมักเจอกับปัญหาน้ำท่วมไม่เว้นแต่ละปี เมื่อน้ำท่วมแบบนี้จึงรู้สึกสะใจที่ได้ใช้รถให้เป็นประโยชน์ซะที เรียกว่าค่อนข้างจะสุขใจ กับการลุยน้ำเป็นพิเศษ แต่หลังจากการลุยน้ำได้ไม่เท่าไรเอง ก็ชักยิ้มไม่ค่อยออกซะแล้ว เนื่องจากพบว่าช่วงล่างชักมีเสียงดังผิดปกติ แถมอาการเบรคก็ให้ความรู้สึกไม่ค่อย จะเหมือนเดิม จากการตรวจสอบเข้าใจว่าเสียงดังนั้นน่าจะเกิดขึ้นจากแหนบเป็นสนิมมากกว่า เลยทดลองใช้น้ำยากันความชื้นฉีดไประหว่างแผ่นแหนบที่ประกบกันเอาไว้ ผลปรากฏมาว่า เสียงเงียบลงไปได้เยอะแม้จะไม่ถึงกับหายขาดก็ตาม เสียงที่ยังเหลือคงจะเป็นที่มาจาก พวกบู๊ชต่างๆก็ได้ เพราะอายุของรถก็นานพอดู ไม่ใช่รถใหม่ป้ายแดงอันใด ก็ย่อมมีการสึกหรอบ้างเป็นธรรมดา ทำให้น้ำสามารถแทรกซึมไปตามชิ้นส่วนที่ชำรุด พอเอามาลุยน้ำบ่อย ๆ เจ้าสนิมเลยถามหา
ส่วนอาการเบรคที่ไม่ค่อยประทับใจเท่าไรนั้น น่าจะสืบเนื่องมาจากผ้าเบรคบวม หรือเสื่อมสภาพจากการแช่น้ำอีตอนลุย สมัยก่อน "ไอ้ตัวดูด" เองก็เคยก่อเหตุมาแล้ว เผลอเอารถไปลุยน้ำหน่อยเดียวแล้วไม่ได้ทำการตรวจเช็ค พอกดเบรคแรงหน่อย ได้ยินเสียงก็อกแก็กมาจากด้านหลังรถ พอรื้อออกมาดูปรากฏว่า ผ้าเบรคหลังร่อน หลุดออกมาเลย ดังนั้นจึงบอกพรรคพวกให้นำรถไปตรวจเช็คเบรค พร้อมกับการตรวจเช็คลูกปืนล้อดัวย
อีกรายหนึ่งไม่ได้ตั้งใจจะนำรถไปเล่นน้ำ แต่เผอิญไปเจอเข้ากับฝนตกหนักกลางทาง
แพล็บเดียวเท่านั้นน้ำก็เริ่มท่วมถนนซะแล้ว (อันเป็นธรรมเนียมของถนนกทม.) เมื่อฝนตกรถก็ติดทำให้ไม่สามารถขยับหนีไปไหนได้ ขับรถคลานแช่น้ำได้ไม่นานเท่าไรนัก ก็ได้ยินเสียงคล้ายสายพานร้องในบางจังหวะ เข้าใจว่าน้ำคงเข้าไปที่สายพานทำให้สายพานลื่น เลยไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนัก เพราะเสียงมันเกิดขึ้นแค่บางจังหวะเท่านั้นเอง ขับไปเรื่อย ๆ มันก็เงียบเสียงไปเอง
หลังจากนั้นมาไม่กี่วัน พบว่าเสียงมันชักจะดังมากขึ้นแต่มันจะดังเฉพาะอีตอน เปิดเครื่องปรับอากาศ ก็เลยชักไม่แน่ใจว่าเสียงที่ได้ยินนั้น มันจะเป็นเสียงของสายพาน หรือเสียงคอมเพรสเซอร์กันแน่ ก็เลยเล่นง่าย ๆ โดยการขับรถเอามาให้ผมดู
จากการตรวจเช็คพบว่าเวลาที่ติดเครื่องเดินเบามันก็ไม่มีเสียงอะไร พอเปิดแอร์ให้ทำงาน เท่านั้นเองก็จะมีเสียงเอี๊ยดอ๊าดดังขึ้นมาทันที ซึ่งแยกเสียงไม่ออกเหมือนกัน ว่าเป็นเพราะสายพาน หรือ คอมเพรสเซอร์แอร์มีปัญหากันแน่เพราะเสียงมันก้ำกึ่งกัน แต่คิดว่ามันไม่น่าจะเป็นเสียงของลูกปืนคลัทช์แอร์หรอก เพื่อความชัวร์จึงหยิบเอาพวก สเปรย์กันความชื้นมาฉีดไปที่สายพานแอร์ ถ้าเสียงมันเงียบลง ตัวการก็ควรเป็นสายพาน แต่ถ้ายังมีเสียงดังอยู่ก็น่าจะเป็นที่คอมเพรสเซอร์แอร์ ส่วนจะเป็นจากส่วนไหนของ คอมเพรสเซอร์แอร์นั้น คงต้องตรวจหากันอีกที
เมื่อใช้สเปรย์กันความชื้นฉีดไปที่สายพาน เสียงมันก็ยอมเงียบลงไป จึงนึกในใจว่า เพื่อนคนนี้คงต้องเจอของแพงซะล่ะมั้ง ถ้าเป็นที่สายพานค่าเปลี่ยนสายพานเส้นใหม่ ก็คงไม่กี่ร้อยบาท ถึงแม้จะเป็นสายพานของรถรุ่นใหม่แบบเป็นร่องเล็ก ๆ ที่มีค่าตัวแพงกว่าสายพานแบบร่องตัว V ธรรมดาที่ใช้กันอยู่ในรถรุ่นเก่าก็ตาม แต่ถ้าเป็นแบบที่ตัวคอมเพรสเซอร์แอร์ล่ะก็หลายพันแน่นอน
ถึงแม้การฉีดสเปรย์ไปที่ตัวสายพานจะไม่ช่วยให้เสียงเงียบลงก็ยังไม่ละความพยายาม ให้เพื่อนจัดการดับเครื่องยนต์ ต่อจากนั้นก็ยังฉีดสเปรย์ไปตามร่องพูลเล่ย์ต่าง ๆ โดยคิดว่าตอนติดเครื่องอาจจะฉีดไม่ทั่วถึงก็เป็นได้ และก็เป็นไปตามความคาดหมาย พอให้เพื่อนติดเครื่องยนต์พร้อมกับเปิดแอร์อีกครั้ง คราวนี้เสียงที่เคยดังก็เงียบสนิทลงไป จึงบอกกับเพื่อนว่ามันเป็นโชคดีที่ปัญหาเกิดขึ้นจากสายพานค่าจัดการไม่แพงเท่าไหร่ ไม่เหมือนกับคอมเพรสเซอร์แอร์มีปัญหา ควรนำรถไปให้ทางศูนย์เค้าเปลี่ยนสายพานใหม่ และน่าจะเปลี่ยนสายพานทั้งหมดซึ่งมีใช้อยู่แค่สองเส้นเท่านั้น คือ สายพานแอร์ กับสายพานไดชาร์จ เพราะรถคันนนี้เป็นรถขับเคลื่อนล้อหน้าเครื่องวางขวาง การเปลี่ยนสายพานทำได้ลำบากเนื่องจากมีช่องให้ลงมือเพียงนิดเดียวไหน ๆ ก็ลงมือแล้ว ก็เปลี่ยนสายพานไปพร้อมกันซะทีเดียวเลย ไม่ต้องเสียค่าแรงสองครั้ง
หลังจากวันนั้นแล้วเพื่อนคนนี้ก็หายหน้าหายตาไป มาเจอกันอีกครั้งก็เป็นช่วงของอาทิตย์ต่อมา พอเห็นหน้ากันก็เลยถามถึงเรื่องรถว่าเป็นอย่างไรบ้าง ไปเปลี่ยนสายพานมาแล้วหรือยัง มันก็ยิ้มแบบแยกเขี้ยว พร้อมกับตอบเสียงเครียด ๆ ว่า เรียบร้อยแล้วเจอค่าเปลี่ยนสายพานไป ห้าพันกว่าบาท
ได้ยินคำตอบของเพื่อนเข้าผมถึงกับสะดุ้ง ถามว่าสายพานมันทำด้วยทองหรือไง มันถึงได้แพงปานนั้น รถยี่ห้อนี้ถึงจะขึ้นชื่อว่าอะไหล่มีราคาค่อนข้างแพง ก็ยังไม่สมควรที่จะแพงถึงขนาดนี้ เพื่อนจึงเฉลยให้ฟังว่า ลำพังค่าสายพานนั้นไม่กี่ร้อยหรอก ไอ้ที่มันแพงเพราะต้องเปลี่ยนพูลเล่ย์ด้วยต่างหาก ช่างเค้าบอกว่าร่องพูลเล่ย์มันเสีย ถ้าเปลี่ยนเฉพาะสายพานอย่างเดียวอีกไม่นานก็เป็นเรื่องอีก ด้วยเหตุนี้จึงอยากจะเตือน พรรคพวกด้วยว่า นอกจากจะต้องดูแลสายพานแล้ว พวกพูลเล่ย์ต่าง ๆ ก็ควรเอาใจใส่เอาไว้ ให้มากด้วยไม่งั้นระวังจะเจอกับของแพงแบบนี้ เดี๋ยวจะจิบ "วุ้น" ไม่อร่อยนะ
จากนิตยสารอย่าขับอย่างเดียว
ฉบับพิเศษ เสริมทักษะเรื่องรถยนต์ด้วยตนเอง เล่มที่ 3 ประจำปี 2541
main |