มาที่นี่ที่เดียว ได้อ่านบทความทางด้านการแพทย์ ภาษาไทย จากเกือบทุกโฮมเพจที่มีใน INTERNET
http://geocities.datacellar.net/Tokyo/Harbor/2093/

[ คัดลอก จากนิตยสารแม่และเด็ก ปีที่ 21 ฉบับที่ 316 มิถุนายน 2541 ]

หืด โรคที่เป็นแล้วหายยาก

ภ.ญ.ยุวดี หงส์รัตนาวรกิจ


โรคหืด เป็นโรคของระบบทางเดินหายใจที่มีการอักเสบของหลอดลมอย่างเรื้อรัง เกิดจากเยื่อหุ้มผนังหลอดลมมีการตอบสนองต่อสิ่งกระตุ้นหรือสารที่ทำให้แพ้ อย่างมากมายเกินกว่าคนปกติจะตอบสนองเป็นเหตุให้ผู้ป่วยเกิดอาการไอ หอบ
แน่นหน้าอก หายใจเป็นเสียงหวีดซึ่งอาจจะหายได้เองหรือเมื่อได้รับยา

โรคนี้เกิดขึ้นได้กับทุกเพศ ทุกวัย บางคนไม่มีอาการแสดงตั้งแต่เด็ก หนุ่ม สาว แต่มาเป็นเมื่ออายุมากแล้ว พบโรคนี้ในประเทศไทยได้ประมาณ 4-13% ของประชากร สำหรับประวัติของผู้ป่วยมักจะเริ่มจากการไอ แน่นหน้าอก หอบ หายใจ แล้วรู้สึกเหนื่อย ๆ อาการจะเกิดขึ้นได้ทันทีเมื่อมีสิ่งมากระตุ้น ซึ่งอาจจะเป็นฝุ่นละออง ขนสัตว์ อุณหภูมิที่เย็นจัดเกินไป ควันพิษ การติดเชื้อไวรัส ความเครียด หรือมลพิษอื่น ๆ และส่วนใหญ่ของผู้ป่วยมักจะมีประวัติของคนในครอบครัวที่เป็นหืดหอบหรือมีอาการ
คัดจมูก ไอหรือจามแบบเรื้อรังหรือมีอาการคันตามผิวหนัง แพ้ง่าย บางคนจะเป็น โรคเยื่อบุตาอักเสบบ่อย ๆ พวกที่มีอาการเหล่านี้มักจะมีโอกาสเป็นหืดมากกว่าคนอื่น ๆ

เป็นที่สังเกตว่าผู้ที่เป็นโรคหืด เมื่อไม่ได้รับการรักษาหรือควบคุมอาการ อาจเป็นเพราะ ไม่รู้ตัวว่าเป็นโรคหรือสาเหตุใด ๆ ก็ตาม มักจะเกิดอาการหอบหืดในเวลากลางคืน เมื่อปล่อยเอาไว้ก็จะเป็นมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่ในการตรวจร่างกายในสภาพปกติที่ไม่มีอาการ มักจะไม่พบสิ่งผิดปกติ แต่ถ้าตรวจขณะมีอาการหอบหืด จะพบว่ามีอัตราการหายใจเร็ว และถี่ขึ้นมีเสียงหวีดออกมาจากปอด แพทย์บางท่านอาจจะใช้วิธีการตรวจทางห้อง ปฏิบัติการโดยการวัดการอุดกั้นของทางเดินหายใจด้วยเครื่องสไปโรมิเตอร์ เพื่อวัดสมรรถภาพการทำงานของปอดก่อนแล้วทดลองให้ยาขยายหลอดลม แล้ววัดสมรรถภาพของปอดซ้ำ อีกครั้งหลังให้ยา การตรวจเช่นนี้นอกจากจะยืนยัน การวินิจฉัยโรคของแพทย์แล้วยังช่วยบอกระดับความรุนแรงของโรคด้วย

เป็นที่ทราบกันดีว่าโรคหอบหืดเป็นแล้วรักษาให้หายขาดนั้นยาก ดังนั้นเป้าหมายในการ รักษาผู้ป่วยโรคนี้คือ การควบคุมอาการของโรคให้สงบลง ป้องกันไม่ให้โรคกำเริบ ทำให้สามารถดำรงชีวิตอย่างเป็นปกติสุข จนกระทั่งสามารถเพิ่มสมรรถภาพ การทำงานของปอดให้ทัดเทียมกับคนปกติมากที่สุดเท่าที่จะทำได้

ก่อนที่ท่านผู้อ่านจะมารู้จักกับการดูแลผู้ป่วยที่ถูกวิธีตลอดจนการใช้ยารักษา จะขอแนะนำให้ท่านรู้จักกับธรรมชาติ และความเป็นไปของโรคหืดเสียก่อน คือแบ่งขั้นความรุนแรงของโรคได้เป็น 4 ขั้นได้แก่
  • ขั้น 1 เป็นอาการเบื้องต้น คือมีอาการหอบหืดน้อยกว่าสัปดาห์ละครั้ง ไม่ค่อยมีอาการตอนกลางคืนหรือเดือนหนึ่ง ๆ จะหอบช่วงกลางคืนเพียง
    ไม่เกิน 2 ครั้ง/เดือน เมื่อตรวจดูสมรรถภาพของปอดพบว่ายังเป็นปกติ
  • ขั้น 2 เป็นระดับที่รุนแรงน้อย โดยมีอาการหอบหืดมากกว่า 1 ครั้ง
    ในสัปดาห์ แต่ยังไม่ถี่ขนาดทุกวัน ในช่วงกลางคืนจะหอบมากกว่า 2 ครั้ง/เดือน
  • ขั้น 3 เป็นระดับที่รุนแรงปานกลาง คือมีอาการหอบทุกวัน การหอบตอนกลางคืนเฉลี่ยเกินกว่าสัปดาห์ละครั้ง และอาการที่เป็นจะกระทบต่อการดำรงชีวิตประจำวัน
  • ขั้น 4 เป็นระดับที่รุนแรงมาก คือมีอาการหอบตลอดเวลาและเป็นบ่อยมากในตอนกลางคืน อาการแสดงจะรบกวนต่อการใช้ชีวิตประจำวันอย่างมาก
การแบ่งขั้นตามความรุนแรงดังกล่าวนำมาใช้ในการรักษาและการเลือกใช้ยาดังนี้

ขั้นที่ 1 ให้ยารับประทานเมื่อมีอาการและให้ยาสูดพ่นที่ออกฤทธิ์สั้นเมื่อมีอาการ
เช่น ยา SALBUTAMOL, TURBUTALINE, PROCATEROL, FENOTEROL เป็นต้น

ขั้นที่ 2 ให้พ่นยาชนิดที่เป็นสเตียรอยด์ เช่น BUDENSONIDE, FLUTICASOME, BECLOMETHASOME ทุกวันหรือพ่นยาที่ไม่เป็นสเตียรอยด์ ได้แก่ SODIUM CROMOGLYCATE ทุกวัน พร้อม ๆ กับพ่นยาที่ออกฤทธิ์สั้นเมื่อมีอาการ เช่นเดียวกับขั้น 1

ขั้นที่ 3ให้พ่นยาที่เป็นสเตียรอยด์แบบเดียวกับขั้น 2 แต่ขนาดยาสูงกว่า ให้พ่นทุกวันและให้พ่นยาที่ออกฤทธิ์สั้นเพิ่มเมื่อมีอาการแต่ให้บ่อยกว่าขั้น 2

ขั้นที่ 4 ให้พ่นยาที่เป็นสเตียรอยด์ ทุกวันเริ่มกับพ่นยาขยายหลอดลมที่ออกฤทธิ์ยาว
ได้แก่ THEOPHYLLINE, IPRATROPIUM หรือรับประทานยาขยาดหลอดลม
ได้แก่ BAMBUTEROL, SALBUTAMOL, TERBUTALINE ที่ออกฤทธิ์ยาวพร้อม ๆ กับยังคงให้พ่นยาขยายหลอดลมเมื่อมีอาการ

นอกจาการพึ่งยาในการรักษาแล้วผู้ป่วยและญาติจะต้องให้ความร่วมมือในการรักษา โดยเริ่มตั้งแต่การศึกษาให้ทราบข้อมูลต่าง ๆ เกี่ยวกับโรคหืด ตั้งแต่ปัจจัยหรือตัวกระตุ้นที่จะทำให้โรคกำเริบซึ่งได้แก่
  • - สารที่ก่อให้เกิดภูมิแพ้ เช่น ฝุ่นบ้าน เกสรดอกไม้ อาหาร ไร เป็นต้น
  • - สารเคมีที่ทำให้เกิดความระคายเคือง เช่น ควันบุหรี่ ไอเสียรถยนต์ เป็นต้น
  • - การติดเชื้อไวรัส ของระบบทางเดินหายใจส่วนต้น
  • - อารมณ์ เช่น โกรธจัด ดีใจมาก ตื่นเต้น เป็นต้น
  • - อากาศ เช่น อากาศเย็น ความชื้น เป็นต้น
  • - ยา เช่น ยาโรคหัวใจ ความดัน ยาแก้อักเสบพวกที่มีฤทธิ์เป็นกรด NSAID
ผู้ป่วยจะต้องสังเกตให้ทราบว่าตนเองนั้นแพ้สิ่งใดจะได้หลีกเลี่ยงไม่สัมผัสกับสาร
หรือสิ่งนั้น ท่านจะต้องควบคุมสิ่งแวดล้อมทั้งภายในบ้านและที่ทำงาน เช่น หลีกเลี่ยงการใช้พรม ฝุ่น ขนสัตว์ ไม่เลี้ยงสัตว์ที่มีขน หลีกเลี่ยงควันบุหรี่ ควันธูป หมั่นทำความสะอาดแอร์ หรือใช้เครื่องกรองอากาศช่วยปรับสภาพอากาศภายในห้อง ด้วยก็ได้

นอกจากการหลีกเลี่ยงและกำจัดสิ่งที่ทำให้แพ้แล้ว ท่านควรเรียนรู้วิธีการใช้ยาที่ถูกต้อง โดยเฉพาะยาสูดพ่นทางปากเพื่อให้เกิดประสิทธิผลในการรักษามากที่สุด และให้เกิดอาการข้างเคียงของยาน้อยที่สุด
คำแนะนำโดยทั่วไปในการสูดพ่นยา
  • - เขย่าขวดยาให้เข้ากันดีก่อนจะเปิดฝาครอบออก
  • - กรณีที่มีหลอดพลาสติกช่วยในการพ่น ให้ต่อหลอดพลาสติกนี้ เข้ากับเครื่องพ่นยา โดย ให้ช่องเปิดทางด้านกว้าง ต่อเข้ากับเครื่องพ่น
  • - วางหลอดพลาสติกด้านที่ตรงกันข้ามกับที่ติดอยู่ที่เครื่องพ่นยาไว้ในช่องปาก แล้วหุบ ปาก
  • - ในขณะที่หายใจออกปกติจนสุดให้กดเครื่องพ่นยาทันทีพร้อมกับสูดลมหายใจ เอา "ยา" ที่อยู่ในสภาพเป็นละอองฝอยเล็กมาก ๆของยาเข้าไปในช่องปอดช้า ๆ ใช้เวลาในการหายใจเข้าประมาณ 3-5 นาที
  • - เมื่อหายใจเข้าเต็มที่แล้วให้เอาเครื่องพ่นออก หุบปากแล้วกลั้นหายใจให้นานเท่าที่ทำ ได้หรือประมาณ 5-10 วินาที เมื่อครบเวลาแล้วจึงหายใจออกช้า ๆ
  • - กรณีที่เป็นยาชนิดที่ให้สูดพ่นซ้ำครั้งละ 2 พัฟฟ์ ควรให้หลังการสูดยาครั้งแรก 1 นาที
ส่วนเด็กและคนชราที่ไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับการพ่นยาดังกล่าวแนะนำให้ใช้ ท่อต่อ[SPACER) ที่กล่าวไว้เท่านั้นหรือใช้เครื่องสูดพ่นอัตโนมัติที่จะมีลิ้นพิเศษช่วย พ่นยาจากเครื่อง ไม่ควรพ่นโดยใช้ปากอมเครื่องโดยตรง

เมื่อผู้ป่วยที่มีความเข้าใจในการใช้ยา หลีกเลี่ยงสิ่งที่แพ้ ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญก็คือ การดูแลสุขภาพของตนเอง ผู้ที่มีอาการหอบหืดเรื้อรังอาจมีอาการเปลี่ยนแปลงของ
อาการต่างๆ ได้ตลอดเวลาเป็นไปตามสุขภาพของร่างกาย ถ้าร่างกายแข็งแรงอาการหืด จะดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แต่ถ้าสุขภาพอ่อนแอมีการติดเชื้อไวรัสของทางเดินหายใจ หรืออากาศเปลี่ยนแปลงท่านก็จะมีอาการหอบหืดที่เลวร้ายลงอย่างเห็นได้ชัดเช่นกัน การรักษาสุขภาพที่ว่านี้คือการรับประทานอาหารให้ครบหมู่มีคุณค่าทางโภชนาการ อย่างพอเพียง นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอไม่เครียดและออกกำลังกายตามที่สมควร แก่สมรรถภาพร่างกาย ที่กล่าวเช่นนี้เพราะผู้ที่เป็นโรคนี้จะเหนื่อยง่าย การออกกำลังกายหักโหมไม่สามารถจะทำได้โดยเฉพาะระยะที่อาการกำเริบ

อย่างไรก็ตามถ้าท่านพบผู้ป่วยที่มีอาการหอบหืดกระทันหันอย่าพึ่งตกใจจนทำอะไร ไม่ถูกถ้าบริเวณนั้นมีถังออกซิเจนต้องรีบให้ออกซิเจนในปริมาณที่เหมาะสม แล้วตามด้วยยาสูดพ่นทั้งชนิดที่เป็นสเตียรอยด์และยาขยายหลอดลมโดยให้ถี่กว่าปกติ
ทุก 15-30 นาที จนอาการดีขึ้นจึงเปลี่ยนให้ยาซ้ำทุก 4-6 ชั่วโมง ไม่ควรให้ยาแก้แพ้ ในช่วงนี้จะไปกดการทำงานของศูนย์การคุมการหายใจจะยิ่งทำให้หายใจไม่ออก

แต่ถ้าความพยายามช่วยเหลือต่าง ๆ ดังกล่าวข้างต้นไม่ได้ผลภายใน 1 ชั่วโมง ให้รีบพาไปพบแพทย์โดยเร็ว

สุดท้ายอาจกล่าวสรุปได้ว่า โรคหอบหืดนั้นสามารถควบคุมได้โดยการใช้ยา การรักษาสุขภาพและการหลีกเลี่ยงสิ่งที่แพ้โดยต้องปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอและเคร่งครัด เพียงเท่านี้ท่านก็สามารถที่จะมีชีวิตอยู่อย่างปกติไม่เห็นจะยากเลยใช่มั้ยคะ

ภ.ญ.ยุวดี หงส์รัตนาวรกิจ


[ BACK TO LIST]
main พบแพทย์ คอมพิวเตอร์ เรื่องบ้าน เรื่องรถ เรื่องกฏหมาย เรื่องของผู้บริโภค เรื่องเบาๆ คลายเครียด

มีปัญหาสุขภาพ ที่นี่มีคำตอบ ห้องสมุดE-LIB[ hey.to/yimyam ][ i.am/thaidoc ]

Best view with [IE3.02][NETSCAPE 4.05][OPERA 3.21]resolution 800x600
1