น.พ. วีระ สุนเศรณีวงศ์
เพราะไม่รู้ว่าจะเอาวลีใดมาอธิบายได้ชัดเจนเท่าวลีทั้งข้างต้น "หนามยอก เอาน้ำบ่ง" ซึ่งตรงความหมายที่สุดกับการรักษาโรคร้ายที่มนุษย์หวาดกลัว "โรคมะเร็ง" โรคมะเร็งนั้นเปรียบได้กับสนิมเหล็กคือเกิดจากเนื้อภายในนั้นเอง มะเร็งก็เช่นกัน เกิดจากเชื้อภายในของร่างกาย คือเซลล์ที่เป็นส่วนประกอบของร่างกายนั่นเอง ได้เปลี่ยนสภาพแต่ไม่เปลี่ยนรูปร่าง รูปร่างยังคงเหมือน ๆ เซลล์ปกติ แต่หน้าที่ หรือคุณสมบัติเปลี่ยนไป ก้าวร้าวมากขึ้น เกเร เบียดเบียนเซลล์ข้างเคียงค่อย ๆขยายตัว ไม่มีหยุดหย่อนเหมือนคอมมูนิสต์ไม่ผิดเพี้ยนคือค่อย ๆ ส่งกำลังพลแทรกซึมเข้ามา ตั้งฐานปฏิบัติการแล้วก็เริ่มสร้างเสริมแนวร่วมซึ่งมีอุดมการณ์เดียวกันขยายชุมชน ใหญ่ขึ้น ๆ ค่อย ๆ กลืนกินคนรวมทั้งบ่อนทำลายไปเรื่อย ๆ เท่านั้นยังไม่พอ ยังส่งคนไปหรือกระจายไปยังหมู่บ้านอื่น ๆ ในมะเร็งของมนุษย์ก็คือส่งไปยังอวัยวะอื่น ๆ ที่ห่างไกลออกไปแล้วก็ขยายเผ่าพันธุ์ซ่องสุมกำลังพลเพิ่มมากขึ้น
มะเร็งปฐมภูมิหรือที่เกิดที่กำเนิดแรกก็ดี มะเร็งทุติยภูมิหรือที่แพร่กระจายไปยังบริเวณ ห่างไกลก็ดี จะมีผลในทางทำลาย 2 ประการ ประการแรก คือ ผลจากการขยายตัว มากมายเกินควบคุมทำให้ไปกดเบียดอวัยวะข้างเคียงให้เสียหาย ผลจากก้อนโดยตรง อีกลักษณะหนึ่งเนื่องจากคุณสมบัติที่ก้อนเนื้อเยื่อมะเร็งโตมากและเร็ว จนการส่งกำลัง บำรุง คือการส่งข้าวส่งน้ำให้ไม่ทันทำให้เกิดการตายของเนื้อมะเร็งเกิดขึ้น ผลที่ตามมา ก็คือเกิดการฉีกขาดของเส้นเลือดที่มาเลี้ยงทำให้เกิดการเน่าเปื่อยของก้อนมะเร็ง เกิดได้ง่ายและมีเลือดออก เส้นเลือดเปาะบาง ผลที่ตามต่อมาก็คือเกิดการติดเชื้อได้ง่าย เพราะเนื้อตายก็ดี น้ำเลือดน้ำเหลืองก็ดี ล้วนแต่เป็นอาหารชั้นเลิศของเชื้อโรค ก็เกิด การเน่าเหม็นมากขึ้น จะพบเห็นในคนไข้ที่ป่วยเป็นมะเร็งมักจะมีกลิ่นเน่าเหม็น ปนออกมา ถ้าไม่ได้รับการดูแลแก้ไขที่ถูกต้อง การอักเสบติดเชื้อที่เกิดขึ้นอีก จะลุกลามได้ง่าย ทำให้เกิดการติดเชื้อเข้าสู่กระแสโลหิตและช็อกเสียชีวิตในที่สุด
ผลแทรกซ้อนของก้อนเนื้อเยื่อมะเร็งอีกประการหนึ่งคือ การที่ก้อนมะเร็งจะสร้างสารหลั่ง ออกมามีมากมายหลายชนิดจนบางครั้งเรียกว่า "ฮอร์โมน" เพราะออกมามีปริมาณ เล็กน้อย แต่ก็มีผลกว้างขวางที่กำลังฮือฮาคือสารที่เรียก "แองจิโอเจนเนซิส" สารนี้จะถูกสร้างออกมามีผลให้มีเส้นท่อเลือดมาเลี้ยงก้อนมะเร็งเพิ่มมากขึ้นเพื่อให้ พอเพียงกับการเจริญแบ่งตัวของเนื้อเยื่อมะเร็ง ซึ่งแบ่งตัวไม่หยุดหย่อน ต้องใช้สารอาหาร และออกซิเจน ซึ่งส่งผ่านมาทางท่อเลือดมากกว่าปกติ แต่เส้นเลือดเหล่านี้เป็นเส้นเลือดที่ ไม่สมบูรณ์แบบจะเปราะบางเพราะ ถูกเร่งให้สร้างมารับใช้อันธพาลคือมะเร็ง เรียกว่า ถูกบีบบังคับมา ก็เป็นสัจธรรม อะไรที่เร่งรีบสร้างย่อมไม่เรียบร้อยเป็นธรรมดา ไม่เท่านั้นยังสร้างสารคัดหลั่งออกมาอีกมากมาย บ้างก็เป็นฮอร์โมน บ้างก็เป็นสารที่มีผล ต่ออวัยวะส่วนอื่น ๆ ที่เกี่ยวพันกัน เช่น ทำให้เกิดความดันสูง ทำให้เกิดการละลายของ แคลเซี่ยมในกระดูก ทำให้มีผลต่อสมองลักษณะต่าง ๆ ที่พบประจำคือทำให้เบื่ออาหาร อ่อนเพลีย
ไม่เพียงแต่ผลของเซลล์มะเร็งที่มีต่อร่างกายเท่านั้น ร่างกายเราก็ฮึดสู้เช่นกัน โดยได้ พยายามต่อต้านในรูปแบบต่าง ๆ กันเพื่อจะกำจัดหรือหยุดยั้งมะเร็งร้ายนั้นอยู่ตลอดเวลา ตามสัญชาติญาณของสิ่งมีชีวิตโดยเราไม่รู้สึกตัว เป็นไปตามกลไกของธรรมชาติเอง ในร่างกายจึงทำให้การเกิดมะเร็งเป็นไปไม่ได้ง่ายนัก และหรือเมื่อเป็นแล้วก็จะพบว่า มะเร็งไม่ใช่โรคที่เป็นขึ้นมาแล้วแพร่กระจายขยายใหญ่โตอย่างโรคติดเชื้อก็หาไม่ ค่อยเป็นค่อยไปอย่างช้า ๆ บางโรคเช่น มะเร็งปากมดลูกหรือคอมดลูกกว่าจะกลายเป็น มะเร็งสมบูรณ์แบบต้องใช้เวลาเป็นปี ๆ โดยประมาณก็ 5-7 ปี ที่ต้องใช้เวลานานก็เพราะ ร่างกายเราได้ดิ้นร้นต่อสู้กับเนื้อเยื่อมะเร็งอยู่ตลอดเวลา ตั้งแต่เริ่มโดยขบวนการสองอย่าง แรก ก็โดยการเข้าต่อสู้ทำลายด้วยเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิดต่าง ๆ ซึ่งอยู่ในกระแสเลือด วนเวียนอยู่มีลักษณะคล้ายกับสายตรวจตำรวจนั่นเอง เพียงแต่ไม่รับส่วย โดยเมื่อออกจาก แหล่งผลิต ซึ่งมีหลายแหล่งจากต่อมน้ำเหลืองก็มี จากต่อมใต้คอก็มี ที่เรียกเซลล์ เม็ดเลือดขาว ก็เพราะเป็นเซลล์ขนาดใหญ่กว่าเม็ดเลือดแดงและไม่ติดสี ก็เลยเห็น เป็นสีขาวมีหลายชนิด หน้าที่ก็แตกต่างกันไป
ชนิดหนึ่งทำหน้าที่เป็นทหารหรือตำรวจคอยตรวจตราหาผู้ร้ายหรือสิ่งแปลกปลอม ในร่างกายคือ สิ่งที่เซลล์ที่ไม่เคยมีในร่างกายปกติพอพบเข้าก็จะเข้ากลุ้มรุมทำร้าย แห่เข้าไปล้อมสิ่งแปลกปลอม (ซึ่งอาจจะเป็นเชื้อจุลินทรีย์ เซลล์มะเร็งหรือวัตถุ เช่น เสี้ยนไม้ที่ตำเท้า เศษแก้วที่บาดและฝังเข้าไป) แล้วปล่อยสารไปย่อยสลายเซลล์มะเร็ง หรือเชื้อจุลินทรีย์หรือบางก็กลืนกินย่อยสลายไปเป็นสิ่งแปลกปลอมที่เป็นวัตถุ เม็ดเลือดขาวก็มาล้อมและย่อยสลายตัวเองทำให้เกิดเป็นฝีหนองแล้วก็แตก ขับสิ่งแปลกปลอม เหล่านั้นออกมา สังเกตเห็นได้เวลาถูกของมีคมทิ่มตำแล้วตกค้าง ไม่ได้เอาออก จะก่อให้เกิด การระคายเคือง และกลายเป็นฝีหนองได้ อีกลักษณะหนึ่ง ของการต่อสู้ทำลาย คือการสร้างสารคัดหลั่งออกมาสารเหล่านี้ส่วนใหญ่ จะเป็น ส่วนประกอบของโปรตีน หรืออนุมูลคาร์โบไฮเดรตหลั่งออกมาจากเซลล์เม็ดเลือดขาว เพื่อเข้าทำปฏิกริยากับเซลล์ มะเร็ง หรือสิ่งแปลกปลอมแล้วทำให้เกิดการทำลายต่อ เซลล์นั้น ๆ โดยตรง หรือบางชนิด ก็ออกฤทธิ์ทางอ้อมคือไปเกาะสิ่งแปลกปลอมแล้วล่อให้ เม็ดเลือดขาวเข้ามากลุ้มรุมทำร้าย เซลล์มะเร็งหรือสิ่งแปลกปลอมนั้นจนหายไป
ขบวนการเหล่านี้นักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบมาหลายทศวรรษแล้วและก็ได้ค้นพบมากขึ้น ๆ ตามลำดับจนปัจจุบันมีมากมายและเป็นที่น่าอัศจรรย์ว่ามนุษย์เรานั้น ธรรมชาติช่างวิเศษ มาก สร้างขบวนการต่าง ๆ ที่ละเอียดอ่อนมากมายสลับซับซ้อนศึกษาเท่าไรก็ไม่หมด มนุษย์ โดยเฉพาะนักวิทยาศาสตร์การแพทย์ก็พยายามศึกษากลไกธรรมชาติและนำมา พัฒนา เพื่อสร้างเป็นอาวุธต่อสู้กับโรคร้ายด้วยกลไกที่ร่างกายสร้างขึ้นมาต่อต้าน สิ่งแปลกปลอม นี้เอง นักวิทยาศาสตร์เรียกขบวนการนี้ว่า "แอนตี้บอดี้" (แอนตี้ = ต่อต้าน, บอดี้ = สิ่งแปลกปลอม สิ่งชั่วร้าย) ซึ่งนับเป็นกลไกที่สำคัญต่อมนุษยชาติมาก มนุษย์สมัยโบราณกว่าเราในยุค 100 ปีเศษ ฉลาดกว่าปัจจุบันมาก ท่านไม่มีเครื่องมือ ช่วยงานมากมายเช่นปัจจุบัน โดยเฉพาะ หมอเจนเน่อซึ่งเป็นผู้พิชิตโรคฝีดาษ นับเป็นนักวิทยาศาสตร์คนแรก ๆ ที่เข้าใจกลไกของ การสร้างภูมิคุ้มกันสิ่งแปลกปลอม ที่เรียกว่า "แอนตี้ บอดี้" ได้นำขบวนการดังกล่าว มาช่วยมนุษยชาติไว้โดยคิดค้นขบวนการ ปลูกฝี ซึ่งต่อมาก็ได้พัฒนาไปมากมาย จนทำให้มีการคิดค้นวัคซีนในการป้องกันโรคต่างๆ
ในขบวนการสร้างภูมิต้านทานในระยะแรก ๆ ที่นักวิทยาศาสตร์การแพทย์ใช้นั้น ต้องใช้ขบวนการ "หนามยอก หนามบ่ง" คือการเอาเชื้อที่ก่อโรคนั่นแหละมาฉีด เข้าใต้ผิวหนังหลอกล่อให้ร่างกายใช้ขบวนการสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นมาต่อต้านตัวเชื้อนั้น ซึ่งถูกทำให้พิการอ่อนแอไม่สามารถจะก่อโรครายด้วยขบวนการทางเคมีที่สลับซับซ้อน บางครั้งก็ใช้ขบวนการเลี้ยงเชื้อให้มันมีการแบ่งตัวแพร่พันธุ์ไปเรื่อย ๆ ในสภาพแวดล้อม ที่จำกัดจนอ่อนเปลี้ย คือลดความดุดันลงแต่ยังคงมีรูปร่างหรือโครงร่างเดิม ร่างกายก็จะส่ง เม็ดเลือดขาวมาประกบและเข้าทำปฏิกิริยามากมายหลายขั้นตอนจนช่วงระยะเวลาหนึ่ง ก็จะสร้างสารต่อต้านเชื้อโรคนั้นขึ้น ถ้าสารแปลกปลอมนั้นคงสภาพอยู่ในร่างกายนาน ก็จะยิ่งกระตุ้นให้ร่างกายสร้างสารภูมิคุ้มกันต่อสิ่งนั้นมากขึ้น
นักวิทยาศาสตร์การแพทย์เข้าใจเคล็ดลับนี้ก็เลยจับเอาเชื้อโรคหรือสิ่งแปลกปลอม ซึ่งภาษาแพทย์เรียกว่า "แอนตี้เจน" (Antigen) มาเข้าขบวนการเคลือบด้วยสารบางชนิด เพื่อให้สภาพคงทนมากขึ้น ตัวอย่างที่เห็นชัดเจนคือการปลูกฝีที่ต้นแขน ซึ่งสมัยก่อน โรคฝีดาษเคยระบาดในประเทศไทยรุนแรงมากเสียชีวิตมากมาย ที่รอดมาก็มีแผลเป็นปุปะ เต็มหน้า ซึ่งยังคงมีหลงเหลือให้เห็นในคนที่สูงอายุมาก ๆ (มากกว่า 60 ปี) แต่พบได้น้อยมาก ในปัจจุบันเพราะประเทศไทยได้ทำการปลูกฝีให้กับคนทั้งประเทศมาหลายทศวรรษ จนโรคฝีดาษถูกจำกัดหมดไปจากประเทศไทย นับเป็นผลงานชิ้นโบว์แดงของ การสาธารณสุขไทย จนหมอไทยยุคใหม่ต้องไปเรียนโรคฝีดาษจากอินเดีย บังคลาเทศ
การให้วัคซีนปลูกฝีป้องกั้นโรคฝีดาษนั้น เชื้อที่ก่อภูมิคุ้มกันจะอยู่ในผิวหนังนานบริเวณ ที่ลึก เช่นเดียวกับการให้วัคซีนป้องกันวัณโรค ซึ่งเป็นโรคที่ระบาดในทั่วโลก เงียบสงบไป ช่วงหนึ่ง พอมีโรคเอดส์เข้ามาก็ระบาดรุนแรงขึ้นอีก เพราะเชื้อโรคเอดส์เป็นแหล่ง เพาะเชื้อที่ดี วัคซีนป้องกันวัณโรคก็มีลักษณะเดียวกัน ถูกเลี้ยงให้อยู่ในร่างกายได้นาน เชื้อวัคซีน จะกระตุ้นให้เกิดปฏิกิริยาเฉพาะที่ ที่รุนแรงมาก จะพบว่าคนที่ฉีดวัคซีน จะมีแผลหนอง ที่ตำแหน่งฉีดอยู่นานจนแผลเป็นในบางรายใหญ่โตไม่น่าดู จากการที่มีปฏิกิริยาเฉพาะที่ ๆ รุนแรง นักวิทยาศาสตร์การแพทย์ก็ได้เอาคุณสมบัติข้อนี้มาใช้รักษามะเร็งของผิวหนัง บางชนิด โดยการฉีดเชื้อวัคซีนวัณโรคเข้าไปเฉพาะที่ทำให้เกิดปฏิกิริยาต่อต้านเกิดขึ้น และก้อนมะเร็งผิวหนังถูกทำลายไปได้ ไม่เท่านั้นได้ทดลองฉีดเชื้อวัคซีนวัณโรค เข้าเส้นคนไข้มะเร็งบางชนิด ก็พบว่าร่างกายก็มีปฏิกิริยารุนแรงต่อต้าน บางรายมีไข้สูงจนเพ้อถึงชักก็พบได้ และก็พบว่ามีการตอบสนองของร่างกายสร้าง สารต่อต้านบางชนิดไปทำให้ก้อนมะเร็งยุบหรือลดขนาดลง
สารต่อต้านทำลายมะเร็งที่เกิดจากวัคซีนนั้นก็ได้มีการศึกษาค้นคว้าขยายผลไปมากมาย พบว่าเม็ดเลือดขาวในร่างกายมนุษย์นั้นแสนจะวิเศษ มีการสร้างสารคัดหลั่งออกมา มากมายหลากหลายชนิดตั้งแต่ที่ค้นพบแรก ๆ เช่น พวก "อินเตอร์เพียรอน" ซึ่งเป็นการค้นพบสารต่อต้านไวรัสยุคแรก ๆ ต่อมาก็มี "อินเตอร์ลูคิน" และอื่น ๆ อีกมากมายจนจำแทบไม่หมด สารเหล่านี้มีปริมาณน้อยนิดแต่มีฤทธิ์มากมายในการที่จะ เข้าต่อสู้ทำลายสิ่งแปลกปลอมและเซลล์มะเร็ง แต่ที่มะเร็งยังคงสภาพและก่อให้เกิดโรค ได้ เพราะตัวมะเร็งสร้างมากกว่าทำลาย ทำให้ตัวมะเร็งรบชนะกลไกป้องกันตัวเอง ของร่างกาย ก็จำเป็นที่หมอต้องเข้ามาช่วยสู้รบในขบวนการต่อสู้ของแพทย์ ระยะแรก ๆ ก็ใช้หนามยอก เอาหนามบ่งอย่างตรง ๆ คือเอาเซลล์มะเร็ง มาทำให้ตายแต่ยังคง สภาพอยู่ แล้วนำเข้าสู่สัตว์ ที่ใช้ทดลองเพื่อยืมให้ร่างกายสัตว์นั้นสร้างสารต่อต้านเกิดขึ้น แล้วก็นำน้ำเหลืองน้ำเลือดของสัตว์ทดลองมาสกัดเอาสารต่อต้านนั้นมาใช้รักษา ในผู้ป่วยมะเร็งแต่ค่อนข้างยุ่งยากเพราะสารต่อต้านที่ได้มาครั้งละน้อยต้องทำการปฏิบัติการ ขบวนการดังกล่าวหลาย ๆ ครั้ง กว่าจะได้พอเพียงมาใช้ในทางปฏิบัติ
มนุษย์เป็นสัตว์ที่ไม่ยอมแพ้ปัญหาโดยเฉพาะพวกนักวิทยาศาสตร์ก็คิดค้นจนเอาชนะ อุปสรรคจนได้ โดยปัจจุบันได้ใช้ขบวนการที่เรียกว่า วิศวกรรมพันธุศาสตร์ หรือ Genetica Engineering คือขบวนการวิศวพันธุกรรมที่ล้วงลึกลงไปถึงขบวนการสร้าง โปรตีน ของเซลล์กันเลย โดยลอกเลียนแบบลักษณะของสารคัดหลั่งที่ร่างกายสร้าง แต่ละชนิด มาดูองค์ประกอบการเรียงตัวแล้วสร้างขึ้นในห้องปฏิบัติการ คือขบวนการสังเคราะห์ คือทำเทียมนั่นเอง บ้างก็ใช้วิธีที่สลับซับซ้อนลงไปอีก ล้วงลูกลงไปศึกษาถึงว่าหน่วยพันธุกรรม หน่วยไหนที่อยู่ในเม็ดเลือดขาว ที่เป็นตัวกำหนดการสร้างสารคัดหลั่งที่ต้องการ ก็ใช้เทคนิคทางวิศวกรรมพันธุศาสตร์ที่จะตัดต่อเอาหน่วยพันธุกรรมส่วนนั้นไปฝากไว้ ในเซลล์อื่น ๆ ที่สามารถเลี้ยงไว้ในห้องปฏิบัติการ บ้างก็เอาไปฝากใส่ในเซลล์ของยีสต์ หรือราชนิดหนึ่งเจ้ายีสต์พอมีหน่วยพันธุกรรมดังกล่าวใส่เข้าไปก็ทำหน้าที่เป็นโรงงาน ผลิตสารคัดหลั่งออกมามากมาย ตัวอย่างที่เด่นชัดคือ วัคซีนตับอักเสบบางชนิด ถูกสร้างจากยีสต์แทนที่จะสกัดเอาจากเลือดมนุษย์ ซึ่งยุคปัจจุบันยุคที่เอดส์ครองโลก จะเป็นการเสี่ยงมากที่จะใช้สารสกัดจากเลือดมนุษย์เพราะโอกาสติดเอดส์จะสูง
จากขบวนการ "หนามยอก เอาหนามบ่ง" พัฒนาจนเป็นขบวนการ "ล้วงลูก" คือลงไปใช้เทคนิคของวิศวกรรมพันธุศาสตร์ ทำให้สารคัดหลั่งที่มีฤทธิ์ต่อต้านมะเร็ง ถูกสร้างออกมามากมายในเชิงพาณิชย์ได้ในราคาที่ถูกลง แต่ไม่ใช่ราคาถูกเพราะเมื่อนำ มาใช้ก็ยังมีราคาที่แพงมาก ยิ่งในยุค IMF คนไข้บางรายพอเห็นราคายาก็แทบจะ เสียชีวิตเสียก่อนที่จะได้รักษา แต่ก็คาดหมายว่าต่อๆ ไป ราคาก็คงจะถูกลง ๆ เพราะเทคนิคทางวิศวกรรมพันธุศาสตร์ได้ก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็วจนถือเป็นกิจวัตร ประจำปีที่แพทย์ในแต่ละสาขาวิชาจะต้องเดินทางเข้าประชุมทางวิชาการในด้านที่ตัวเอง รับผิดชอบเพื่อที่จะได้ก้าวทันวิทยาการที่รุดหน้าปานจรวด ทำให้คนไข้ในโรคมะเร็ง ซึ่งเคยเชื่อว่าเป็นโรคที่รักษาไม่ได้นั้น ปัจจุบันแพทย์ได้พยายามทำความเข้าใจ กับสาธารณชนให้เข้าใจเสียใหม่
มะเร็งเป็นโรคที่รักษาได้และรักษาหายและที่สำคัญเป็นโรคที่ อาจจะป้องกันได้
น.พ. วีระ สุนเศรณีวงศ์
main |