โดย ดร. สาทิส อินทรกำแหง
ผมโชคดีมีโอกาสได้เข้าไปร่วมงานวันเปิด งานมหกรรมพระมหาชนก เมื่อวันที่ 10 ธันวาคมนี้
รายการซึ่งถือว่าเป็นหัวใจของงานคือ การอภิปรายหัวข้อ "ทฤษฎีพระมหาชนก กับการสร้างเศรษฐกิจและสังคมที่เข้มแข็ง" โดยมีผู้ร่วมอภิปราย คุณอานันท์ ปันยารชุน อดีตนายกรัฐมนตรี ศาสตราจารย์สุมน อมรวิวัฒน์ ศ.นพ.ประเวศ วะสี คุณโสภณ สุภาพงษ์ และอาจารย์เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง เป็นผู้ดำเนินรายการ
ขอเล่าต่อให้ท่านผู้อ่านแฟนชีวจิตทราบว่า รายการอภิปรายครั้งนี้ดีมากจริงๆ ครับ ด้วยความสามารถของท่านผู้อภิปรายทุกท่าน ทำให้เราเห็นได้ชัดว่า ในหลวงท่านทรงเป็นห่วง และรักเมืองไทย คนไทยมากมายเพียงไหนและพระองค์ท่านได้ทรงชี้ให้เห็นว่า ปัญหาของเมืองมิถิลานั้นคืออย่างไร ถ้าผู้อ่านใช้สติ ปัญญาสักนิดจะเข้าใจได้อย่างแจ่มชัดว่า ปัญหาของเมืองมิถิลา ซึ่งเป็นเมืองอวิชชานั้นแท้จริงก็คือ เมืองไทยขณะนี้นั่นเอง
ความสำคัญในมหาชนกชาดก อยู่ที่ต้นมะม่วงสองต้นที่ทางเข้าสวนหลวง ต้นหนึ่งมีผล อีกต้นหนึ่งไม่มีผล พระมหาชนกทรงลิ้มรสมะม่วงอันโอชา แล้วเสด็จเยี่ยมอุทยาน ตอนเสด็จกลับ ทอดพระเนตรเห็น ต้นมะม่วงที่มีผลรสดี ถูกข้าราชบริพารดึงทึ้งจนโค่นลง ส่วนต้นที่ไม่มีลูก ยังคงอยู่ตามเดิม แสดงว่าสิ่งใดที่มีคุณภาพ จะเป็นเป้าหมายของการยื้อแย่ง และจะเป็นอันตรายในท่ามกลางผู้ที่ขาดปัญญา
ในคำพระราชปรารภของหนังสือเล่มนี้กล่าวว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระราชดำริว่า การที่พระมหาชนกจะเสด็จจออกทรงแสวงโมกขธรรม ยังไม่ถึงวาระเวลาอันสมควร เพราะว่าได้สร้างความเจริญแก่มิถิลายังไม่ครบถ้วน กล่าวคือ ข้าราชบริพาร "นับแต่อุปราชจนถึงคนรักษาช้างรักษาม้า และนับตั้งแต่คนรักษาม้าจนถึงอุปราช และโดยเฉพาะเหล่าอำมาตย์ ล้วนจาริกในโมหภูมิทั้งนั้น ไม่มีความรู้ทั้งทางวิทยาการ ทั้งทางปัญญา ยังไม่เห็นความสำคัญของผลประโยชน์แท้ แม้ของตนเอง จึงต้องตั้งสถานอบรมสั่งสอนให้เบ็ดเสร็จ"
และด้วยเหตุนี้เอง ในหลวงจึงทรงดัดแปลงเนื้อเรื่องในมหาชนกชาดก ให้เหมาะสมกับสังคมปัจจุบัน
ผู้อภิปรายทุกท่านได้อภิปรายถึงสภาพและฐานะของเมืองไทย เปรียบเทียบกับสภาพของมิถิลา และมะม่วงสองต้น ในชาดกพระมหาชนก เราจะเห็นได้ชัดว่า ในหลวงท่านได้ทรงเตือนแล้วเตือนอีก ถึงภัยต่างๆ โดยเฉพาะภัยทางเศรษฐกิจ ซึ่งกำลังจะทำให้เมืองไทยล่มจมขณะนี้ ท่านได้ทรงเตือน ไว้ล่วงหน้าก่อนจะเกิดภัย IMF ด้วยซ้ำ แต่ไม่มีใครสนใจ
คุณอานันท์ ปันยารชุน ได้กล่าวไว้ประโยคหนึ่งว่า ในชั่วชีวิต การเป็นนายกรัฐมนตรีสองสมัยของท่าน สิ่งที่ท่านภูมิใจมากที่สุดก็คือ ได้มีโอกาสใกล้ชิดกับพระองค์ท่าน และได้รู้จักพระองค์ท่านอย่างแท้จริง ได้เห็นพระปรีชาสามารถของพระองค์ ได้เห็นพระราชอุตสาหะบำเพ็ญพระราชกรณียกิจนานัปการ เพื่อประโยชน์สุขของประชาชนชาวไทย และความเจริญมั่นคงของบ้านเมือง คุณอานันท์คงจะตื้นตันใจ จนพูดไม่จบ แต่ผมพอจะเดาจากท่าทางของคุณอานันท์ได้ว่า เมื่อได้รู้จักในหลวงท่านอย่างใกล้ชิดแล้ว คงจะไม่มีใครที่จะอดรักท่านยิ่งขึ้น จงรักภักดียิ่งขึ้นสุดชีวิตได้
คุณโสภณ สุภาพงษ์ ดูเหมือนจะเป็นผู้ที่ซาบซึ้งมากที่สุดกับนโยบายใหม่ "เศรษฐกิจพอเพียง" ซึ่งในหลวงท่านพระราชทานมาเมื่อปีที่แล้ว คุณโสภณได้ย้ำเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงไว้มากว่า เป็นแต่เพียงเริ่มปฏิบัติตามคำแนะนำของในหลวงบ้างเท่านั้น บ้านเมืองของเราก็จะไปรอด แทนที่จะยอมให้ IMF เหมาประเทศไทยไปหมด เหมือนกับจะปลูกมะม่วง ก็ต้องเอาเม็ดเขามาปลูก ปลูกพอเป็นต้น เป็นลูก เขาก็เอาไปหมดทั้งต้นทั้งลูก เราไม่ได้อะไรเลย
ผู้อภิปรายในวันนั้น พูดอะไรที่สะใจผมหลายอย่าง แต่ที่ผมรู้สึก "มัน" อย่างที่สุด ก็ตอนที่ทุกคนร่วมกันพิจารณาดูรูปประกอบ ในหนังสือหน้า 126-127-128
ใครที่ยังไม่ดูรูปประกอบนี้ ผมขอแนะนำให้รีบไปดูเสีย เป็นภาพพระมหาชนกทรงช้าง มาประพาสอุทยาน มาหยุดอยู่ใต้ต้นมะม่วงที่ไม่มีลูก ต้นมะม่วงด้านตรงข้ามซึ่งมีผลดกกำลังถูกคนโค่นต้น แย่งชิงผลมะม่วงเป็นการใหญ่ ศาลาตรงกลางเป็นที่ทำการของเมืองอวิชชา มีภาพเจ้าเมืองหัวล้าน กำลังกกอีหนู มีอีหนูอีกเหมือนกันสองคน กำลังบรรเลงมโหรีตีกลองอยู่ข้างล่าง ตรงข้ามอีกมุมหนึ่ง เป็นรูปเด็กผู้หญิงแต่งเครื่องแบบนักเรียน เอาของกินใส่ถาดมาถวายเจ้าเมือง (หรือจะเป็น ตัวอาจารย์ใหญ่โรงเรียนก็ไม่ทราบ ต้องแปลเอาเองให้มันๆ)
ศาลาเล็กด้านซ้ายเป็นศาลาสำหรับถ่ายหนังโป๊ มีฝรั่งหรือแขกดูไม่ออกกำลังถ่ายภาพ นางแบบเปลือยนั่งยองๆ หน้ากล้อง และที่มันพอประมาณก็คือ เด็กหญิงชายสองคนกำลังคุกเข่า แหวกม่าน ดูการถ่ายรูปโป๊นั้น ศาลานี้ชื่อศาลา "โลภ"
ติดกันเป็นศาลา "โกรธ" ในศาลามีผู้ชายพุงพลุ้ยหัวล้านนุ่งผ้าขาวม้าลายแดงขาว มีผู้หญิงทั้งตัวแก่ตัวอ่อนหลายคนปรนนิบัติ และยกของกินมาเพียบ
ข้างๆศาลาโกรธ เป็นกลุ่มฝรั่งชายหญิงกำลังลีลาศกันอย่างสุดเหวี่ยง
ศาลาข้างขวาเป็น ศาลา "หลง" มีป้ายโฆษณาผู้หญิงแก้ผ้า และป้าย SHOW พร้อมมีลูกศรชี้ทางเข้า ประตูศาลามีฝรั่งนั่งคอย มีเด็กนักเรียนไปขายของที่ระลึก
ทางออกข้างศาลา "หลง" ชาวบ้านกำลังหาบถัง ถือถาดเตรียมไปเก็บไปถึงผลมะม่วงจากต้นที่ถูกโค่นลงแล้ว มีภาพพราหมณ์ผู้เชี่ยวชาญ (ดูเหมือนจะเป็น) การถอนกำลังใช้เครื่องดันต้นมะม่วงให้ล้ม เมียพราหมณ์ และลูกพราหมณ์ก็ผสมรอยเก็บมะม่วง กับเขาเหมือนกัลลล์
ด้านหลังกำแพงจะเห็นเป็นทะเลทราย และซากตอไม้ มีหัวควายระหว่างตอไม้นั้น
หน้ากำแพงเป็นคลอง มีเรือแจวนักท่องเที่ยวไทย ฝรั่งพร้อมด้วยอีหนูนั่งพายเรือและดื่มเหล้ากัน แถมด้วยนายหนวด ไม่ทราบว่าไทยหรือฝรั่งนั่งดีดกีตาร์อยู่บนเรือ
ที่ท่าน้ำมีเด็กกำลังโดดน้ำ เด็กคนหนึ่งกำลังขี้ลงคลอง มีหมานั่งเฝ้าอยู่ข้างๆ ในคลองมีหมาเน่าและขยะลอยอยู่เต็ม
มีแม่บ้านและลูกยืนเทขยะลงไปสมทบกับขยะเน่าในคลอง
ที่สะใจที่สุดก็คือ มีป้อมตำรวจอยู่ริมคลองนั้น ตำรวจคนหนึ่งนั่งหลับหรือไม่หลับไม่ทราบอยู่ในป้อม มือหนึ่งถือแก้วเหล้า
มีโต๊ะเล่นไพ่อยู่ข้างป้อมตำรวจ ตำรวจคนหนึ่งนั่งอยู่ในโต๊ะวงไพ่นั้น คนเล่นมีทั้งเด็กและผู้ใหญ่
มีขยะอยู่เรี่ยราดข้างกำแพงเมืองเต็มไปหมด ก็ข้างๆ ต้นมะม่วงงามที่ไม่มีผลนั่นแหละ
ผู้ที่เขียนภาพนี้คือ คุณปรีชา เถาทอง
ผมขอคำนับในฝีมือความคิดและความละเอียดของท่าน ภาพนี้เป็นอมตะครับ อาจารย์ปรีชา
ท่านที่มีหนังสือแล้วรีบดูรายละเอียดให้สะใจนะครับ ขอย้ำว่าเป็นภาพเมืองอวิชชานะครับ แต่ทำไมมันถึงได้เหมือนภาพเมืองไทยนัก ผมก็ไม่ทราบ นับว่าเป็นความบังเอิญอย่างแสนประหลาดเลยนะครับ
ถ้าหากเราจะลบภาพสะเทือนตาสะเทือนใจ ในเมืองอวิชชานั้นออกเสียให้หมด แล้วใส่ภาพชีวิตเก่าๆ ซึ่งปู่ ย่า ตา ยาย ของเราเคยปฏิบัติมาแล้ว ภาพซึ่งมีแต่ความสุขสงบ หรือกำแพงเมือง แทนที่จะเป็นทะเลทราย ตอไม้ และหัวกะโหลกควาย ก็เปลี่ยนเป็นทุ่งนาซึ่งเต็มไปด้วยข้าว มีควายเป็นๆ แทนที่จะมีกะโหลกควาย มีน้ำในแม่น้ำลำคลองใสสะอาดปราศจากขยะ
และลองแถมชีวิตตามบัญญัติ 5 ประการของชีวจิตเข้าไปด้วย คือการใช้ชีวิตตามแนวธรรมชาติ มีความพอดีและเรียบง่าย มีสุขภาพกายและใจที่ดี มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อกัน และมีสังคมที่ยุติธรรม ไม่เอารัดเอาเปรียบกัน เพียงแค่นี้แหละครับ "เศรษฐกิจพอเพียง" ก็จะเป็นจริงเป็นจังขึ้นมาได้ทันที
เชื่อไหมครับ ว่าเมืองไทยจะเป็นเมืองที่น่าอยู่ที่สุดในโลก.
main |