โดย ดร. สาทิส อินทรกำแหง
ด้วยความหวังอย่างจริงใจ ที่จะให้ท่านผู้อ่านได้มีความสุขอย่างเต็มที่ ในปี 2542 นี้ ผมขอร้องให้ท่านผู้อ่านได้โปรดย้อนกลับไป อ่านข้อเขียนของผมเมื่ออาทิตย์ที่แล้วด้วย
ผมขอให้ท่านผู้อ่าน สำรวจสุขภาพตัวเองด้วยวิธี FASJAMM นั่น ก็คือการสร้างสุขภาพของเรา ให้แข็งแรง ในช่วงวิกฤติทางเศรษฐกิจ และในสภาพที่ความทารุณโหดร้ายของสังคม มารุมล้อมเรา อยู่ทุกด้านทุกมุมเช่นนี้ เราคงต้องดูแลตัวเองให้มากยิ่งขึ้น มีภัยต่างๆ มีความกดดันต่างๆ มากมายก็จริง แต่ถ้าเราสร้างสุขภาพของเราให้ดี ให้กายแข็งแรง และใจก็จะแข็งแกร่งตามไปด้วย สุขภาพที่ดีสำหรับตัวเอง คงจะเป็นพรที่ดีที่สุด ที่จะช่วยคุ้มครองเราให้อยู่ยืนคงทน อย่างมีความสุขไปตลอดปีใหม่นี้น่ะครับ
ขอต่ออาทิตย์นี้ด้วยตัว A ซึ่งเป็นตัวที่สองของ FASJAMM นะครับ A ย่อมาจากคำว่า APPETITE ซึ่งแปลว่าความอยาก ความหิว ความอยากความหิวในที่นี้ไม่ได้ หมายความถึงความหิวอาหาร แต่อย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังหมายรวมไปถึงความอยากรู้ ความหิวกระหายในด้านความอยากรู้ ความสนใจในสิ่งต่างๆ รอบตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งความสนใจในเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน
ขอพูดถึงเรื่องความอยากอาหารก่อนครับ นายแพทย์แม็กซ์ เกอร์สัน ผู้ซึ่งได้รับความสำเร็จ เป็นคนแรก ที่รักษาโรคมะเร็ง โดยวิธีใช้การเพิ่มภูมิชีวิต และการเปลี่ยนอาหารให้ถูกต้อง ตามสูตรของเขา
เขาได้รับความสำเร็จอย่างสูง โดยมีรายงานและการพิสูจน์ให้เห็นอย่างชัดแจ้งว่า คนไข้ที่เขารักษาหายนั้น มีไม่ต่ำกว่า 50 คน การรักษาของเขาเริ่มตั้งแต่ปี 1945 จนมาถึงปี 1959 นั่นคือเวลาซึ่งผ่านมาแล้วกว่า 50 ปี
และในสมัยนั้น ใครที่เป็นมะเร็งก็มักจะถึงแก่ชีวิตทั้งนั้น ไม่มียาศักดิ์สิทธิ์ใดๆ ซึ่งรักษามะเร็งให้หายได้
แต่นายแพทย์แม็กซ์ เกอร์สัน รักษาคนไข้มะเร็งให้หายได้แน่นอนกว่า 50 คน โดยใช้วิธีเพิ่มอิมมูน ซิสเต็มและการใช้สูตรอาหารที่ถูกต้องเท่านั้น
อาหารนั้น แม็กซ์ เกอร์สัน ยืนยันว่า จะต้องเป็นอาหารที่ช่วยไปบำรุงตับ และรักษาตับให้ดีขึ้น
หัวใจในการรักษาของแม็กซ์ เกอร์สัน อยู่ที่ตับ เขายืนยันว่า ตราบใดที่ตับคนไข้ยังทำงานได้ดีอยู่ ตราบนั้นคนไข้มะเร็งมีโอกาสหาย
เขาจะระวังเหลือเกินที่จะสร้างสูตรอาหารสำหรับคนไข้ ซึ่งจะต้องบำรุงตับและไม่ไปทำลายตับ
แม็กซ์ เกอร์สัน ยืนยันว่า อาหารซึ่งดีสำหรับการทำงานของตับ คืออาหารประเภทข้าว และต้องเป็นข้าว ซึ่งไม่ได้ขัดขาว นั่นก็คือข้าวซ้อมมือนั่นเอง
และศัตรูตัวสำคัญของตับ ก็คืออาหารประเภทไขมัน
ในรายงานของแม็กซ์ เกอร์สัน ในหนังสือชื่อ A CANCER THERAPY ได้ระบุถึงการค้นคว้า ทำงานร่วมกันของนายแพทย์อีกสองคน ชื่อ แทนเนอบอม และซิลเวอร์สโตน การทดลองของแพทย์สองคนนี้ คือการให้อาหารแก่หนูทดลอง
เมื่อให้อาหารประเภทไขมันแก่หนู ในอัตราตั้งแต่ 2% ไปจนถึง 20% แล้ว ปรากฏว่า หนูกลับมีอัตรามะเร็งตับเพิ่มขึ้นถึง 37-53%
อาหารที่ว่านี้คือ RIBOFLAVIN ซึ่งเป็นวิตามินซึ่งอยู่ในอาหารประเภท เนื้อ นม ไข่
นั่นก็หมายความว่า โปรตีนจากเนื้อสัตว์นั้น เป็นอันตรายต่อผู้ที่เป็นมะเร็งตับ
แม็กซ์ เกอร์สัน ยังได้รายงานว่า ได้มีการทดลองติดต่อกันไปอีกว่า เมื่อได้ลดอาหารประเภทเนื้อ นม ไข่ลง และเพิ่มอาหารประเภทข้าวให้มากขึ้น กลับปรากฏว่าเนื้องอกของตับไม่ได้เพิ่มขึ้นเลย
หมายความว่า อาหารประเภทข้าว ไม่ใช่ตัวส่งเสริมให้มะเร็งตับกำเริบมากกว่าเดิม
นอกไปจากนั้น ยังได้มีการทดลองสืบต่อมาของนายแพทย์อื่นๆ คือ มิตเชลส์ สเปลเบอร์ก อีก โดยทดลองให้ แมธิโอนีน ซึ่งเป็นแอมมิโน แอซิด ซึ่งแตกตัวออกมาจากโปรตีนเนื้อสัตว์ ซึ่งมีกำมะถันอยู่ในเนื้อสัตว์นั้น
ปรากฏว่ามะเร็งตับของหนูทดลองขยายใหญ่ขึ้นทันที ข้อสรุปของแพทย์ที่ทดลองรุ่นหลังๆ นี้ ลงเอยตรงที่ว่าแมธิโอนีน ซึ่งบำรุงร่างกายนั้น ขณะเดียวกันก็ไปบำรุงก้อนเนื้อมะเร็งนั้นด้วย
นี่คือข้อสรุปของนายแพทย์แม็กซ์ เกอร์สัน และเพื่อนๆ เกี่ยวกับอาหารซึ่งจะไปสร้างมะเร็งตับ
ในเรื่องของ A หรือ APPETITE ซึ่งเกี่ยวกับความอยาก และความชอบของการกินอาหารนี้ ผมจึงอยากจะเสนอข้อทดลองและข้อสรุปของนายแพทย์กลุ่มนี้ ให้ท่านผู้อ่านได้พิจารณาด้วย
การเสนอเรื่องนี้ ไม่ใช่เป็นการห้ามท่านผู้อ่านไม่ให้กินเนื้อ นม ไข่
แต่ขอให้ท่านพิจารณาและระวังอาหารประเภทนี้ ขอให้กินด้วยการพิจารณาและระวังให้ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่านที่มีทีท่าว่า อาจจะเป็นมะเร็งตับได้
มีวิธีสังเกตง่ายๆ ว่า ถ้าท่านเคยกินอาหารอย่างนี้อยู่แล้ว โปรดสังเกตว่าท่านรู้สึกสบายท้องสบายตัว หรือเปล่า ถ้ากินแล้วสบายดี แข็งแรงสมบูรณ์ทุกอย่าง ก็แสดงว่า เนื้อ นม ไข่ เป็นอาหารเหมาะสำหรับท่าน
แต่ถ้ากินแล้วไม่สบาย มีอาการต่างๆ ที่แสดงว่า เนื้อ นม ไข่ อาจจะเป็นอาหารที่ไม่เหมาะสำหรับท่าน เป็นต้นว่า กินอาหารเหล่านี้เข้าไปแต่ละมื้อ รู้สึกอึดอัด รู้สึกแน่นท้อง รู้สึกมีลม มีแก๊สอยู่ในท้อง
หรือรู้สึกว่าท่านกำลังอ้วนมากเกินไป ไขมันมากเกินไป ก็ขอให้ลองพิจารณากินอาหารต่างๆ เหล่านี้ให้น้อยลงหรือไม่กินเลย
ถ้าหากกินน้อยลง แล้วจะมีเรี่ยวมีแรงได้อย่างไร หลายท่านคงจะถามเช่นนี้
ขอตอบว่า แทนที่จะใช้โปรตีนจากเนื้อสัตว์ แต่เพียงอย่างเดียว ลองใช้โปรตีนจากพืชดูบ้างซิครับ
โปรตีนจากพืชก็อย่างเช่นถั่วต่างๆ ถั่วเหลือง ถั่วเขียว ถั่วแดง ถั่วดำ เหล่านี้ล้วนเป็นโปรตีนอย่างดีทั้งนั้น และยังให้พลังงานดีกว่าโปรตีนจากเนื้อสัตว์ด้วยซ้ำ
ได้มีการทดลองดูว่าระหว่างโปรตีน จากพืชกับโปรตีนจากเนื้อสัตว์ อย่างไหนจะให้พลังงานมากกว่ากัน
ใช้โปรตีนจากถั่วเหลือง 200 กรัม และโปรตีนจากเนื้อสัตว์ 200 กรัม ปรากฏว่าโปรตีนจากถั่วเหลือง ให้พลังงาน (แคลอรี) มากกว่าเนื้อสัตว์ถึง 2/12 เท่า
และตามสูตรของพลังงานซึ่งได้จากสารอาหารนั้น เราได้สูตรมาดังนี้
1 กรัมโปรตีน (เนื้อสัตว์และพืช) = 4 แคลอรี
1 กรัมคาร์โบไฮเดรต = 4 แคลอรี
1 กรัมไขมัน = 9 แคลอรี
ถ้าเราใช้สูตรตามหลักวิทยาศาสตร์ทางอาหารเช่นนี้ ก็จะเห็นว่าไขมันให้พลังงานสูงสุด คือมากกว่าโปรตีนและคาร์โบไฮเดรตกว่า 2 เท่า
แต่ไขมันนั้นมีทั้งไขมันชนิดเลว และไขมันชนิดดี ไขมันชนิดเลวนั้นคือ ไขมันอิ่มตัว ซึ่งมีอยู่มากในเนื้อสัตว์และไขมันชนิดไม่อิ่มตัวนั้น มีอยู่มากในพวกพืช
นอกไปจากนั้น ระหว่างโปรตีนจากพืชและโปรตีนจากเนื้อสัตว์ ยังปรากฏว่า โปรตีนจากพืช ให้พลังงานมากกว่าเนื้อสัตว์ถึง 2 เท่าครึ่ง
อย่าเพิ่งปวดหัวกับตัวเลขเหล่านี้นะครับ ขอต่ออีกนิดหนึ่งว่า โปรตีนจากพืช (คือพวกถั่วต่างๆ) นั้น และคาร์โบไฮเดรต (คือข้าวและแป้ง) จะมีพลังงานพอๆ กัน
สรุปกันตรงนี้นะครับ เรื่อง A ซึ่งเกี่ยวกับการอยากอาหารนั้น ถ้าคุณชอบกินพวกเนื้อสัตว์ หรือเนื้อ นม ไข่ มากๆ ก็ขอความกรุณาลดลงเสียก่อน (ไม่ได้ห้ามกินทันทีนะครับ เราค่อยๆ ปรับตัวตามความสะดวก)
แล้วเพิ่มพวกถั่วเหลือง ถั่วเขียว ถั่วแดง ถั่วดำให้มากขึ้น
เพิ่มข้าวให้มากขึ้นด้วย ข้าวซ้อมมือนะครับ
ขอให้ท่านผู้อ่านมีสุขภาพดี ในปี 2542 นี้ครับ.
main |