โดย ดร. สาทิส อินทรกำแหง
อาทิตย์นี้นึกว่าจะเขียนเรื่อง FASJAMM ตัวที่ 5 คือ Anger หรือความโกรธต่อ แต่พอดีตรงกับเทศกาลตรุษจีน ซึ่งเป็นช่วงเวลาแห่งการ "ห้ามโกรธ" ของธรรมเนียมจีน ผมจึงขออนุญาตพูดถึงเรื่องตรุษจีนสักนิดนะครับ คิดว่าเป็นเรื่องที่รวมกันไว้ใน FASJAMM ได้
เมื่อเป็นเด็กผมอยู่ที่โคราช บ้านที่ผมอยู่ห้อมล้อมไปด้วยครอบครัวของคนจีน เราอยู่กันอย่างญาติสนิท
ผมเห็นคนจีนทำงานหนักมาก และทำกันอย่างเอาจริงเอาจัง เขาทำงานกันตลอดทั้งปี ไม่เคยมีวันหยุด จะหยุดกัน ก็ต่อเมื่อเทศกาลตรุษจีนมาถึง
ตลอดทั้งปี สุดยอดของชีวิตทีวันตรุษจีนนี้แหละ เขาจะได้หยุดพักผ่อนกันอย่างจริงจัง ญาติพี่น้องจะได้พาครอบครัวมาเยี่ยมเยียน พบปะกันลูกจ้างก็จะได้เงินแจกก้อนใหญ่ประจำปี อาหารหมู เห็ด เป็ด ไก่ รวมทั้งเหล้ายาปลาปิ้งเลี้ยงกันเต็มคราบเป็นวันแห่งการพักผ่อน และรื่นเริงกันโดยแท้
ผู้ใหญ่จะสั่งลูกหลานให้ทำตัวดี ๆ ให้เรียบร้อย พูดจาไพเราะอ่อนหวาน ห้ามพูดคำหยาบโดยเด็ดขาด
และวันตรุษจีนจะเป็นวันของการให้ นายจ้างให้เงินพิเศษลูกจ้าง ผู้ใหญ่แจกเงินลูกหลานและเด็ก ๆ นอกจากนั้นยังต้องนำอาหารหมูเห็ดเป็ดไก่ ของหวานของคาวไปแจกเพื่อนบ้าน และผู้ใหญ่ที่เคารพนับถือ
วันตรุษจีนจึงเป็นวันของการให้ วันของการเอื้อเฟื่อเผื่อแผ่ วันของการแสดงความเคารพ ระลึกถึงผู้ใหญ่และบรรพบุรุษ ตลอดจนเป็นวันแห่งความรักด้วย
ผมไม่ใช่คนจีน แต่ผมก็รักวันตรุษจีน
ผมยังเสียดายอยู่ไม่หายว่า วันแห่งความรักและวันแห่งความไม่โกรธของตรุษจีนสมัยนี้นั้น ความรู้สึกและประเพณีเก่า ๆ ไม่ค่อยจะมีเหลือกันแล้ว
ไม่เชื่อก็ลองไปดูสีหน้าแววตาและท่าทางของพ่อค้าสมัยนี้ดู ก็คงจะบอกได้ว่า ความรักและความไม่โกรธนั้นมันหายไปไหนหมด
เพราะฉะนั้น ตรุษจีนปีนี้ผมจึงขอชักชวนว่า ช่วยกันนำความรักและความไม่โกรธกลับมาเถิด
"ความไม่โกรธ" ก็คือ การระงับไม่ให้ "ความโกรธ" มันเกิดขึ้น ความโกรธในที่นี้ ไม่ได้หมายถึงความโกรธเกรี้ยวโมโหโกรธา แต่เพียงอย่างเดียว แต่หมายถึง ความคิดต่าง ๆ ในทางลบ คือ ความเกลียด ความอิจฉาริษยา ความพยาบาทและความหดหู่ เป็นต้น
ไม่มีประโยชน์อะไรหรอกครับ ที่คุณจะเก็บความรู้สึกในทางลบต่าง ๆ เหล่านี้ไว้ในตัว เพราะคุณจะไม่ได้อะไรขึ้นมา แต่ความรู้สึกเหล่านั้น มันจะทำร้ายตัวคุณเอง
เป็นธรรมดาที่คุณจะต้องโกรธเมื่อขัดใจ และทำอะไรไม่ได้ดังใจ แต่พอคุณโกรธหรือโมโหขึ้นมา อากัปกิริยาของคุณก็เปลี่ยนไป หน้าตาขมึงทึงน่าเกลียดน่ากลัวดูไม่ได้
ข้างในกายตัวก็เกิดการเปลี่ยนแปลง อย่างที่ได้เล่าให้ฟังมาแล้ว หายใจไม่ออก ความดันโลหิตสูง น้ำตาลในเลือดต่ำ ปวดหัว ปวดข้อ ปวดท้อง ปวดตัวมั่วไปหมด
เหล่านี้เป็นอาการซึ่งเกิดขึ้นแก่ตัวคุณเอง เวลาคุณโมโห และอาการเหล่านี้จะสะสมอยู่ในตัวคุณ จนกระทั่งคุณป่วย ตอนแรกก็อาจจะป่วยน้อย ๆ แต่ต่อไปก็ถึงป่วยหนักจนรักษาไม่ได้
ลองดูตัวอย่างง่าย ๆ อย่างเช่นคนที่โมโหจนความดันโลหิตขึ้นสูง เขาจะปวดหัว มึนหัว กินไม่ได้ นอนไม่หลับ ถึงเวลากินเขาก็จะตื้นตัดคอหอย กลืนอะไรไม่ลง
แต่เมื่ออาการปวดหัวของเขาทุเลาลง ก็ถึงเวลาที่เขากินอะไรได้ เขาก็จะกินอย่างไม่บันยะบันยัง เพราะเขาต้องการกินทดแทน การที่เขาถูกบีบคั้นหรือไม่สบายใจ ถ้าเป็นผู้ที่ชอบคบเพื่อนคบฝูงเที่ยวเตร่เป็นทางออกประจำตัว เขาก็มักจะเที่ยวด้วย ดื่มด้วย
อาการประจำของโรคกระเพาะ จะแทรกเข้ามาเป็นโรคประจำตัวกับเขาด้วย ความดันโลหิตสูงก็ยังสูงตามเดิม และถ้าเขายังกินนอนไม่เป็นเวลาและยังเที่ยวอยู่ต่อไป สักวันหนึ่งก็คงถึงขีดเส้นเลือดในสมองแตก ตายทันที หรือไม่ก็เป็นอัมพาตพิการไปตลอดชีวิต
นั่นคือการทำร้ายตัวคุณเอง เพราะคุณระงับความโกรธไม่ได้
ยิ่งถ้าความโกรธของคุณ มีสาเหตุร่วมกับความโลภความหลงอยู่ด้วย ผมว่าคุณจะอยู่ในสภาพฆ่าตัวตายแบบผ่อนส่งโดยคุณไม่รู้ตัว ดูนักการเมืองเลว ๆ เป็นตัวอย่าง ความโลภของเขามากมายมหาศาล โลภทั้งทรัพย์สินเงินทอง และโลภทั้งอำนาจวาสนา ได้มาแล้วมากมายก็ไม่พอ อยากได้มากยิ่งขึ้นไปอีก
พอใครขัดใจหรือขัดผลประโยชน์ ก็โมโหโกรธาจนตัวสั่น คิดได้อย่างเดียวว่าต้องฆ่า ต้องกำจัดผู้ขัดผลประโยชน์ให้พินาศวอดวายไป
ยิ่งมาบวกเข้ากับความหลงเข้าด้วยอีก หลงว่าตัวกูนั้นยิ่งใหญ่วิเศษวิโส ใครจะมาแตะต้องไม่ได้ ความโมโหของเขาก็เพิ่มพูนเป็นทวีคูณ
การดับโมโห หรือดับความโกรธของเขา จะต้องมุ่งไปที่กำจัดศัตรูของเขาให้หมดไปให้ได้ ความคิดที่จะต้องกำจัดศัตรูของเขาให้ได้ นั่นแหละ คือการทำร้ายตัวคุณเอง เพราะจิตใจของเขาไม่มีวันสงบนิ่ง แต่จะเหมือนใจนี้ถูกไฟเผาร้อนรนอยู่ตลอดเวลา
ถ้าเขากำจัดศัตรูได้ ความโลภความหลงเขาจะยิ่งเพิ่มขึ้น และเขาจะยิ่งเครียดมากขึ้น เพราะกำจัดศัตรูไปได้คนหนึ่ง แต่ศัตรูใหม่อีก 10 คน จะเกิดขึ้นเขาจะต้องคิดหาหนทางกำจัดศัตรูอีก 10 คนต่อไป และคนใหม่อีกร้อยอีกพันต่อไป ไม่มีวันสิ้นสุด
แต่ถ้าเขาล้มเหลว กำจัดศัตรูไม่ได้ เขาก็จะเหมือนคนหล่นจากยอดเขา หล่นมาถูกเสียบบนคมหอกคมดาบ ซึ่งปักรออยู่บนพื้นดิน
ตายอย่างทรมาน
เพราะฉะนั้นตรุษจีนปีนี้ ผมขอชักชวนให้หันกลับมา สู่วันแห่งความรักและความไม่โกรธ ของคนจีนแบบเก่า แทนที่จะเป็นความโกรธผสมความโลภความหลง เหมือนอย่างคนดัง ๆ หลายคนขณะนี้
แพทย์และนักจิตวิทยาหลายคนให้ความเห็นว่า ความโกรธนั้นเป็นพลัง เพราะฉะนั้น เราสามารถเปลี่ยนความโกรธให้มันเป็นพลังที่ดีต่อตัวเราได้
ทฤษฎีเจมส์-แลนจ์ ในด้านจิตวิทยาซึ่งมาจาก วัลเลียม เจมส์ และคาร์ล แลนจ์ กล่าวไว้ว่า ความโกรธนั้นมักจะเกิดจากการกระตุ้นจากการรับรู้ทางกาย คือ จากตา จากหู จากจมูก จากลิ้น จากกาย
ความโกรธซึ่งเกิดขึ้นแบบนี้ ศาสตราจารย์วิลเลียม เจมส์ เห็นว่า เป็นความโกรธตามธรรมดาอย่างเช่น เราถูกใครขว้างด้วยก้อนหิน เจ็บตัวเราก็คงจะโกรธ ความโกรธเช่นนั้น เป็นความโกรธตามธรรมดา
เขาสอนว่า อย่าให้โกรธนั้นกลายเป็นความโกรธแค้น เพราะเมื่อหลุดจากความโกรธมาถึงความแค้นแล้ว นั่นคือ การทำลายตนเอง
วิธีแก้ก็คือ หยุดความโกรธไว้แค่นั้น แล้วเปลี่ยนเป็นพลังงานที่ดีแก่ตัวเรา
main |