มาที่นี่ที่เดียว ได้อ่านบทความทางด้านการแพทย์ ภาษาไทย จากเกือบทุกโฮมเพจที่มีใน INTERNET
http://geocities.datacellar.net/Tokyo/Harbor/2093/

[ จาก หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ฉบับวันอาทิตย์ เริ่ม อาทิตย์ที่ 6 กันยายน 2541 ]

ปั้นชีวิตใหม่ด้วยชีวจิต

โดย ดร. สาทิส อินทรกำแหง


27 ต้านไวรัส

รู้สึกว่าไข้หวัดใหญ่กำลังจะระบาดอีก หรืออย่างไรไม่ทราบ เรากำลังมีประชุมกันเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว เพื่อนและกรรมการหลายคน มาประชุมไม่ได้ เพราะโดนไข้หวัดเล่นงาน

เพื่อนคนหนึ่งพาลูกไประยอง กลับมาติดหวัดกันมาทั้งสองคน พอถึงบ้านคนที่บ้านก็ติดหวัดต่อกันงอมแงม อีกคนหนึ่งกลับจากต่างประเทศ กลับมาถึงบ้านปรากฏว่า ที่บ้านเป็นหวัดกันหมด ตัวเองก็พลอยติดหวัดตามเขาไปด้วย

อีกคนหนึ่งนัดหมายกันแล้วว่า จะต้องมาประชุมให้ได้ แต่พอถึงเวลาก็ต้องบอกเลิก เพราะลูกๆ ไปติดหวัดมาจากโรงเรียน ไข้สูงทุกวัน ต้องลาโรงเรียน และไม่มีใครดูแลลูก

อาทิตย์ที่แล้วทั้งอาทิตย์ ผู้ที่ผมรู้จักเป็นไข้หวัดกันหมดไม่ต่ำกว่าสิบคน แต่ละคนอยู่กันคนละทิศละทาง ในกรุงเทพฯ และอยู่ต่างจังหวัดก็มี ที่ต่างจังหวัดนั้นจากอีสานและภาคเหนือ

ได้เห็นไข้หวัดจากเพื่อนๆ กลุ่มต่างๆ แล้วผมรู้สึกเป็นห่วง ในขณะเดียวกันผมก็ต้องคิดอยู่หลายวันว่า ผมควรจะพูดเรื่องนี้ดีหรือไม่ดี เพราะถ้าพูดออกไปแล้วเกิดคนตื่นตกใจ ผมก็คงถูกเหยียบเละไปหมดทั้งตัว เพราะถูกคนคอยเฝ้าดู และคอยเล่นงานอยู่จากแหล่งต่างๆ หลายแห่ง ซึ่งคงจะทราบกันอยู่แล้ว

แต่ในที่สุดผมก็ตัดสินใจที่จะเขียน เพราะผมเชื่อในความบริสุทธิ์ใจของผม และความปรารถนาดีของผมที่มีต่อผู้อ่าน และในขณะเดียวกันก็มั่นใจ ในความรู้ และประสบการณ์ของผม ในเรื่องของสุขภาพดีพอสมควร

ที่ผมอยากจะเตือนก็คือ ต้องช่วยกันระวังตัว และรักษาสุขภาพให้ดีกว่าเดิมนะครับ เพราะหวัด ทั้งหวัดธรรมดาและไข้หวัดใหญ่ เดี๋ยวนี้มันพัฒนาตัวมันเอง ให้ร้ายแรงขึ้นกว่าเดิมมาก เมื่อประมาณ 15 ปีที่แล้วมา เชื้อหวัดซึ่งเป็นเชื้อไวรัสนั้น ถูกค้นพบประมาณ 200 ชนิด แต่ปัจจุบันนี้ได้มีเชื้อแปลกๆ เพิ่มขึ้นมากกว่าเดิม นับร้อยชนิด และพัฒนาตัวเองจนร้ายแรงกว่าเดิมมาก

อาการของไข้หวัดใหญ่สมัยก่อนจะมีไข้ น้ำมูกไหล เจ็บคอ ปวดเนื้อปวดตัว และอ่อนเพลีย ปรกติถ้าเราเริ่มติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ เราจะรู้สึกครั่นเนื้อ ครั่นตัว อยู่ 2-3 วัน นั่นก็คือระยะฟักตัวของเชื้อไวรัส พอต่อจากนั้น อาการต่างๆ คือมีไข้ น้ำมูกไหล เจ็บคอ ไอ ก็จะเริ่มรุนแรงขึ้น ตามด้วยอาการปวดเนื้อปวดตัว และระยะที่เราโดนไข้หวัดเล่นงาน ก็จะอยู่ราวๆ 10 วัน ถึง 15 วัน แล้วเราก็จะค่อยยังชั่ว

แต่เดี๋ยวนี้การโจมตีของไข้หวัดใหญ่ พัฒนาการมากกว่าเดิม นอกจากอาการประจำดังกล่าวแล้ว อาการทางระบบย่อย เกี่ยวแก่ท้องไส้ของเรา ก็จะเพิ่มขึ้น เราจะรู้สึกกระอักกระอ่วน ปั่นป่วนในท้อง เบื่ออาหาร และบางคนก็อาเจียนและท้องเดินตามไปด้วย

การพัฒนาและการเกิดของไวรัสใหม่ๆ จะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว จนกระทั่งในวงการแพทย์ และการทดลองในห้องแล็บตามไม่ทัน ไวรัสตัวใหม่ๆจะถูกค้นพบมากขึ้น และยังไม่ทันที่จะวางมาตรการ การรักษาตัวใหม่ๆ จะเกิดขึ้น หรือตัวเก่านั้นก็จะพัฒนาตัวเอง จนการตรวจด้วยการค้นคว้าตามหาตัวกันไม่ทัน

ความลำบากอีกอย่างหนึ่งในวงการแพทย์ก็คือ เราไม่มียาที่จะรักษาโรคไข้หวัดต่างๆ เหล่านี้ ในตำราการแพทย์ทุกฉบับ จะระบุไว้ว่า เมื่อเชื้อไวรัสหมดระยะฟักตัว ถึงเวลาที่จะโจมตีร่างกายของเราแล้ว ก็เป็นหน้าที่ของอิมมูนซิสเต็ม(IMMUNE SYSTEM) หรือภูมิชีวิตของร่างกาย ที่จะต้องจัดการกับเชื้อไวรัสนั้นๆ ต่อไป

การคิดวัคซีนเพื่อป้องกันโรคไข้หวัดนั้น มีทางที่จะทำได้ แต่การสร้างวัคซีน ก็จะไม่ทันกาลที่จะคิดค้นขึ้นมา เพื่อจัดการกับไวรัสใหม่ๆ ได้สำเร็จ เพราะในขณะที่เราคิดวัคซีนป้องกันไวรัสตัวหนึ่ง หรือกลุ่มหนึ่งได้ ไวรัสตัวใหม่และกลุ่มใหม่ก็จะเกิดขึ้น ไม่มีทางที่เราจะคิดค้นหรือทดลองในห้องแล็บ เพื่อสร้างวัคซีนตัวใหม่ได้ทัน การสร้างวัคซีนขึ้นได้สำเร็จแต่ละตัวต้องใช้เวลาเป็นปี และต้องใช้เงินมหาศาล แต่ไวรัสตัวใหม่และกลุ่มใหม่เกิดขึ้นได้ทุกวัน ทำอย่างไรก็ตามกันไม่ทัน

ที่น่าห่วงมากอีกอย่างหนึ่งก็คือ การเกิดโรคแทรก หรือโรคตาม โดยเฉพาะกับผู้ที่ไม่แข็งแรง เช่น เด็ก หรือผู้สูงอายุ

โรคหวัดหรือไข้หวัดใหญ่ จะโจมตีระบบหายใจของผู้ป่วยก่อน นั่นก็คือ จมูก ปาก คอ ปอด และหลอดลม ยิ่งถ้าคนมีระบบหายใจอ่อนแอ เช่น ไอเรื้อรัง หรือหอบหืด หรือเป็นนิวมอเนีย โอกาสไข้หวัดใหญ่จะลุกลาม และโรคเกี่ยวกับระบบหายใจ ก็จะร้ายแรงมากขึ้น และอาจจะหนักหนาสาหัสอย่างน่าเป็นห่วงอย่างยิ่งก็เป็นได้

เพราะฉะนั้น การป้องกันที่ดีที่สุด หรือแม้แต่ป้องกันไม่ได้ มันจะต้องติดเชื้อหวัดเข้าให้จนได้ ก็ต้องแก้โดยทันทีไว้ก่อน ก็คือการสร้างภูมิต้านทาน หรือภูมิชีวิต หรือ IMMUNE SYSTEM ให้ดีขึ้นทันที

ถ้าเกิดติดหวัดขึ้นมา สิ่งแรกที่ควรจะทำก็คือ พักผ่อน หรือถ้าคุณเห็นว่าสมาชิกในบ้านบางคนเริ่มเป็นหวัด คุณเองก็ต้องพักผ่อนและบำรุงตัวทันที

การพัก ถ้าได้พักจริงๆ และได้ปฏิบัติตัวในชีวิตประจำวันให้ถูกต้องเสียที ก็จะทำให้คุณดีขึ้น นั่นก็คือกินให้ถูก นอนให้ถูก

และวิตามินตัวสำคัญตัวหนึ่ง ซึ่งจะช่วยให้อิมมูน ซิสเต็ม ของคุณแข็งแรงขึ้นก็คือ วิตามิน C การใช้วิตามิน C ก็อยู่ที่ขนาดที่กินด้วย

เพราะวิตามิน C ตามปรกตินั้น จะทำตามคำแนะนำของกระทรวงสาธารณสุข ของอเมริกา คือ 60 ม.ก. ต่อวัน (ตาม RDA หรือ RECOMMENDED DAILY ALLOWANCE)

ถ้ากินตามอัตรา RDA เช่นนี้ไม่สามารถจะเพิ่มภูมิต้านทานได้ทันท่วงที อาจารย์ LINUS PAULING ซึ่งเป็นอาจารย์ทางฟิสิกส์เคมี และได้รับรางวัลโนเบลของโลกถึง 2 ครั้ง ได้แนะนำว่าต้องกินจำนวน DOSE สูง จึงจะเพิ่มภูมิต้านทาน หรือภูมิชีวิตเพื่อต่อสู้กับไข้หวัดใหญ่ได้ทัน

อาจารย์ไลนัส พอลลิ่ง แนะนำให้ใช้ วิตามิน C อย่างน้อยมื้อละ 1,000-2,000 มิลลิกรัม และควรจะใช้วิตามิน C 3 มื้อต่อวัน

นอกไปจากนั้น ผมเคยแนะนำผู้สูงอายุว่า ควรจะกินวิตามินประเภทแอนตี้ ออกซิแดนท์เป็นประจำ วิตามินเหล่านี้คือวิตามิน A, C, D และ E สำหรับวิตามิน C เมื่อเวลาคุณเป็นหวัดต้องกิน DOSE สูงอยู่แล้ว แต่ตัวอื่นๆ กินตามอัตราธรรมดา เพียงวันละเม็ดก็เพียงพอแล้ว

นอกไปจากนั้นก็อย่าลืมตำราไทยของเรา คือวิธีที่เราเรียกว่าจับหวัด ใช้หัวหอมทุบสัก 5-10 หัว ใส่ในน้ำเดือด ถ้ามีใบมะขามสดใส่ลงไปด้วยก็ดี แล้วสูดไอหัวหอมเข้าปอดลึกๆ เวลาสูดใช้ผ้าขนหนูคลุมหัวด้วยก็จะดี

พอน้ำเดือดเย็นลงแล้ว ใช้น้ำหัวหอมและใบมะขามที่ใช้แล้ว ผสมน้ำเย็นพอเป็นน้ำอุ่นโกรกหัวเสียสัก 2-3 ทีจะสบายขึ้น จมูกโล่งขึ้น และหายใจมีแรงขึ้น

ควรจะงดของหวานของมันโดยเด็ดขาดนะครับ เพราะของหวานมันเป็นศัตรูกับระบบหายใจของคุณ

รักษาเนื้อรักษาตัวให้ดีหน่อยนะครับ ระยะที่ไข้หวัดกำลังระบาดอย่างนี้.

สาทิส อินทรกำแหง


[กลับไปสารบัญชีวจิต]   [BACK TO LISTS - FOODS]
main พบแพทย์ คอมพิวเตอร์ เรื่องบ้าน เรื่องรถ เรื่องกฏหมาย เรื่องของผู้บริโภค เรื่องเบาๆ คลายเครียด

มีปัญหาสุขภาพ ที่นี่มีคำตอบ ห้องสมุดE-LIB[ hey.to/yimyam ][ i.am/thaidoc ]

Best view with [IE3.02][NETSCAPE 4.05][OPERA 3.21]resolution 800x600
1