โดย ดร. สาทิส อินทรกำแหง
หน้าร้อน นอกจากจะลาพักร้อนเพื่อจะไปเที่ยวกันแล้ว ผลพลอยได้จากหน้าร้อนอีกอย่างหนึ่งก็คือ ป่วยหรือไม่สบายได้ง่ายๆ สองอาทิตย์ที่แล้ว ผมได้คุยกับท่านผู้อ่านถึงเรื่องอาการป่วย 2 เรื่อง คือเรื่องไข้หวัด และท้องเดิน ซึ่งเป็นอาการป่วยซึ่งต่อเนื่องกัน
อาทิตย์นี้ขอต่ออีกเรื่องหนึ่ง เป็นเรื่องสืบเนื่องมาจากเรื่องของหน้าร้อน และการไปเที่ยว นั่นคือเรื่องของการเมาค้าง หรือแฮงค์โอเวอร์
เมาค้างย่อมเกิดจากการกินเหล้า หรือจากเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ทุกชนิด กินมากๆ จนเมา เมาแล้วก็เกิดอาการเมาค้าง ในวันรุ่งขึ้น
แปลกอยู่อย่างหนึ่งตรงที่ว่า เหล้านั้นเป็นของร้อน และเมื่อถึงหน้าร้อน เราน่าจะดื่มของเย็นๆ แต่เรากลับกินของร้อน ซึ่งมีแอลกอฮอล์เข้าไปเต็มที่ เพราะอะไรเอ่ย
อันที่จริงคอเหล้าหรือขี้เหล้านั้น ไม่ว่าหน้าร้อน หน้าหนาว หน้าฝน ก็กินเหล้ากันอยู่ทุกวันอยู่แล้ว แต่กระนั้นก็ดี ความร้อนหรือหน้าร้อน กลับทำให้คนกินเหล้ามากขึ้น
ผมจำได้ว่า หน้าร้อนที่สนามหลวง จะเป็นหน้าที่เรามีการเล่นว่าว และจะมีร้านขายอาหารอยู่รอบขอบสนามหลวง ร้านขายอาหารเหล่านั้น ร้อยทั้งร้อยเป็นร้านขายเหล้าและกับแกล้ม
พอแดดร่มลมตก คนก็เข้าร้านเหล้า หรือไม่ก็ปูเสื่อข้างสนาม กินเหล้าไป ดูแข่งว่าวไป
ค่ำแล้วเขาก็เอาว่าวลงกันหมดเพราะมันมืด แต่คนก็ยังกินเหล้ากันต่อ นอนกันอยู่ที่สนามหลวงทั้งคืนก็ยังมี
นอกไปจากนั้น ตามร้านอาหารอื่นๆ ทั่วเมือง โดยเฉพาะร้านอาหารประเภทสวนอาหาร คนจะแน่นเป็นพิเศษตอนหน้าร้อน และก็กินเหล้ากันสนุกสนานเต็มที่ เช้ารุ่งขึ้นลุกไปทำงานไม่ไหว เพราะเมาค้าง
ถ้ากินเหล้าและเมาค้างอย่างนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหน้าร้อนอย่างนี้ ขอให้ระวังมากๆ นะครับ ดีไม่ดีจะทำให้ป่วยหนักตามมา จากอาการเมาค้างได้
การเมาค้างไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะคนไทย แต่เกิดขึ้นกับนักกินเหล้าทั่วโลก พวกฝรั่งเศสจะมีสำนวนระบุการเมาค้างว่า "ปากเหมือนทำด้วยไม้" พวกเยอรมันว่า "ครวญครางเหมือนแมว" อิตาเลียนว่า "เสียงหลง" และสวีเดนว่า "ปวดรากผม"
ของไทยเราคงจะว่า "เมารากแตกรากแตน" และก็ "เมาค้าง" ในวันรุ่งขึ้น
เมื่อเรากินเหล้าหรือดื่มเครื่องดื่มทุกชนิดที่มีแอลกอฮอล์ มันจะต้องทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเคมี โดยเฉพาะอย่างยิ่งอวัยวะที่จะต้องทำงานหนักที่สุด ก็คือ ตับ ซึ่งจะต้องทำลายพิษจากแอลกอฮอล์ และขับแอลกอฮอล์ออกจากร่างกาย ในขณะเดียวกัน ก่อนที่แอลกอฮอล์จะผ่านตับไปได้ ก็ต้องถูกดูดซึมไปตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย โดยขึ้นไปถึงสมองด้วย
เซลล์ของสมอง จะเริ่มรู้สึกชาจากพิษของแอลกอฮอล์ และโดยเหตุนี้ การรับรู้จากประสาทสัมผัส คือ ตา หู จมูก ลิ้น ยังรู้สึกได้ช้า หรือไม่รู้สึกเลย อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นจากความมึนเมาเกิดขึ้นได้ง่าย ก็เพราะตามองไม่ค่อยเห็น และหูจะไม่ได้ยินเหมือนยามผิดปรกติ
เมื่อกินเหล้าเข้าไปแล้วกล้ามเนื้อมักจะหย่อนคลาย คนกินเหล้าจะรู้สึกเนื้อตัวเบาสบายตอนกินใหม่ๆ แต่เมื่อสมองเริ่มชา การเบาเนื้อเบาตัว จะกลายเป็นรู้สึกชา คนเมาจึงพูดอ้อแอ้เหมือนคนลิ้นไก่สั้น
แอลกอฮอล์จะถูกขับจากตับผ่านไปที่ไต คนกินเหล้าจึงปัสสาวะบ่อย น้ำและแร่ธาตุที่ถูกขับออกจากตัว จะทำให้รู้สึกคอแห้ง และนี่คือลักษณะหนึ่งของการเมาค้าง คนที่เมามากๆ ในตอนกลางคืน รุ่งขึ้นลืมตาขึ้นมาจะรู้สึกเหมือนในปากในคอ มีทรายแห้งๆ อยู่เต็มคอ เขาจึงต้องดื่มน้ำราวกับอูฐเพิ่งกลับจากทะเลทราย
นอกไปจากแอลกอฮอล์ซึ่งคือ ตัวสำคัญของเหล้าแล้ว ยังมีสารประกอบอื่นๆ อยู่ในเหล้า เรียกว่า CONGENER ซึ่งเป็นส่วนผสมที่ทำให้เหล้ามีสี มีรส มีกลิ่นน่ากินขึ้น สารประกอบเหล่านี้ ทำให้ตับต้องทำงานหนักขึ้น เพื่อกำจัดพิษออกจากร่างกาย ทั้งยังมีส่วนทำให้เกิดอาการเมาค้างหนักขึ้นกว่าปรกติ ถ้าเป็นเหล้าขาว สารประกอบในเหล้าจะมีน้อย หรือไม่มีเลย
สารประกอบ CONGENER เหล่านี้แหละ มีส่วนทำให้อาการเมาค้าง มีมากขึ้นและเป็นพิษอยู่นานกว่าปรกติ ถ้าหากเราจะลองเทียบอัตราวัดความเป็นพิษ และอาการเมาค้างจาก 1 ถึง 7 1 หมายความว่า ความเป็นพิษและการเมาค้างต่ำสุด และ 7 หมายความว่าสูงสุด
ถ้าเป็นเช่นนี้เหล้าว้อดก้า จะอยู่ในระดับ 1 เหล้ายิน ระดับ 2 ไวน์ขาวระดับ 2 1/2 เบียร์และเหล้าสกอตช์ ระดับ 3 เหล้ารัมดำและเชอรรี่ 5 ไวน์แดง 6 บรั่นดีและเบอร์เบิน 7
สาร CONGENER ยังมีส่วนทำความระคายเคือง ให้แก่กระเพาะและลำไส้อีก ได้มีการทดลองกับผู้อาสาสมัคร โดยให้กินแต่เครื่องดื่มปราศจากแอลกอฮอล์ แต่มีสารประกอบผสมอยู่ด้วย ปรากฏว่าอาสาสมัครเกิดอาการเมาค้าง และคลื่นไส้ผสมกันได้
อาการของคนเมาค้างจะเริ่มเป็น 2 ระยะ ระยะแรกเมื่อการเมาเต็มที่ คลื่นไส้ อาเจียนซ้ำๆ ซากๆ บางคนเมื่อมีโรคกระเพาะ ลำไส้อยู่ด้วย จะอาเจียนออกมาเป็นเลือด
นอกจากนั้น จะมีอาการปวดหัว เหงื่อออกโทรมตัว ชีพจรเต้นช้าลง และหน้ามืด หมดสติ
ระยะที่สอง คือ อาการเมาค้างในวันรุ่งขึ้น อาการเมาค้างจะเกิดการพะอืดพะอม เรอเอิ้กอ้ากและอาเจียนออกมาอีก หัวใจเต้นช้า การเคลื่อนไหวควบคุมไม่ได้ จะเดินโซซัดโซเซ และปวดหัว ปวดตัว
อาการเช่นนี้จะเหมือนกับ อาการของผู้ป่วยหนักเหมือนกัน หมายความว่าคนเมาเหล้าและเมาค้าง กับผู้ป่วยหนักจากโรคต่างๆ จะมีอาการขั้นสุดท้ายเหมือนกัน
ทั้งหมดนี้เป็นรายงานจากศาสตราจารย์ บอริส ทาบาคอฟ ผู้อำนวยการจากสถาบันค้นคว้าผู้ติดสุราเรื้อรัง
การเมาเหล้าและการเมาค้างนั้น ทำลายภูมิชีวิตของร่างกายดีเหลือเกิน
คำแนะนำสำหรับสมาชิกคอลัมน์นี้ก็คือ เมื่อจะไปเที่ยวหน้าร้อน หรือแม้แต่ไม่ได้เที่ยวเป็นแต่พักผ่อนอยู่ที่บ้าน ก็อย่าให้เหล้าทำลายชีวิตของคุณเลย
ถ้าอยากจะดื่ม ก็ดื่มแต่น้อยๆ พอดีๆ ดื่มเพื่อให้รื่นรมย์ และเป็นประโยชน์ต่อร่างกาย
ดื่มช้าๆ อย่าดื่มพรวดพราด แก้วหนึ่ง (เหล้า 1 เป๊ก หรือประมาณ 3 ช้อนโต๊ะ) ผสมน้ำหรือโซดา พยายามดื่มในเวลาหนึ่งชั่วโมง และวันหนึ่งไม่ควรเกิน 2 แก้ว กินได้ 1 ครั้งต่ออาทิตย์
ถ้าดื่มได้อย่างนี้ จะเป็นประโยชน์ต่อร่างกาย
แต่บางท่านหรือหลายท่าน อาจจะทำตามกฎนี้ไม่ไหว อาจจะ (อ้างว่า) เป็นเพราะต้องกินเลี้ยงกันเป็นกลุ่ม นานๆ ที เมื่อเข้าเพื่อนเข้าฝูง บางครั้งก็หักห้ามใจไม่ได้ จะทำอย่างไรดี
เอาละครับ นานๆ จะเผลอตัวสักที (นานๆทีแน่นะครับ) ก็ต้องช่วยกัน หาม-เอ๊ย แก้กันไปแหละครับ
วิธีแก้ก็ให้แบ่งเป็น 3 ระยะ ก่อนกินเหล้า ระหว่างกินเหล้า และหลังกินเหล้า
1. ก่อนกินเหล้า ประมาณ 1 ชม. กินอาหารประเภทข้าวและนม-ไข่ รองท้องไว้ก่อน ถ้าเป็นไปได้ทำแกงประเภทจับฉ่าย ซึ่งมีกะหล่ำปลีเยอะๆ กินไว้ก่อน
ตำราของกรีกบอกว่า ให้เอาใบกะหล่ำปลีสดๆ จิ้มน้ำส้มสายชูสัก 5 ใบ เคี้ยวกินก่อนกินเหล้าสักครึ่งวัน จะช่วยไม่ให้เมา เพราะน้ำกะหล่ำปลีจะเคลือบเยื่อ ภายในกระเพาะและลำไส้ ทำให้การดูดซึมแอลกอฮอล์เป็นไปได้น้อยลง
ถ้ามีวิตามิน C กินไว้ล่วงหน้า 1 ชม. ใช้วิตามิน 3,000 มก.
2. ระหว่างกินเหล้า เลือกเหล้าขาวๆ หรือสีจางไว้ก่อน ควรจะผสมน้ำ ไม่ควรผสมโซดา เพราะโซดาจะทำให้การดูดซึมแอลกอฮอล์ ผ่านไปถึงสมองเร็วขึ้น
ระหว่างกินเหล้า กินถั่ว หรือของว่าง ประเภทโปรตีนพร้อมๆ กันไปด้วย
3. หลังกินเหล้า ดื่มชาสมุนไพรร้อนๆ (เช่น ดอกคำฝอย ลูกใต้ใบ เป็นต้น) 2-3 แก้ว ก่อนนอนกินของว่าง เช่น ขนมปังกรอบทาแยม หรือน้ำผึ้ง
ตื่นเช้า อาบน้ำเย็น แล้วดื่มชาสมุนไพร แล้วดื่มน้ำ R.C. ร้อนๆ สลับกับน้ำมะนาวคั้น หลังจากนั้นกินแอปเปิ้ล 1 ลูก ตอนสายๆ ตามด้วยแกงเลียงร้อนๆ ถ้าเรอเอิ้กอ้ากได้เมื่อไหร่ ก็หายเมาค้างแน่.
main |