โดย ดร. สาทิส อินทรกำแหง
เมื่อวันเสาร์ที่ 3 เมษายนนี้ ผมได้รับเชิญให้ไปพูดในโปรแกรม "ครึ่งวันเพื่อสวรรค์ในบ้าน" ร่วมกับ พญ.พรรณนิมล หล่อตระกูล ผมพูดเรื่อง "กินอยู่อย่างไรในระดับต่างวัยของครอบครัว" และอาจารย์พรรณนิมล พูดเรื่อง "ภูมิคุ้มกันทางใจภายในบ้าน"
หลังการบรรยายมีคำถามเกี่ยวกับเรื่องอาหาร และการเจ็บไข้ได้ป่วย มีคำถามจากท่านผู้ฟังกลุ่มหนึ่งน่าสนใจ และทำให้ผมประหลาดใจมาก คือคำถามเกี่ยวกับการให้ลูกดื่มนมแม่ และอาหารสำหรับเด็กอ่อน
ที่ผมประหลาดใจก็คือ เดี๋ยวนี้คุณแม่ทั้งหลาย ให้ลูกดื่มนมแม่มากขึ้น ต่างกว่าเมื่อ 10-15 ปี โดยเฉพาะเมื่อสมัยผมกลับมาเมืองไทยใหม่ๆ เมื่อ 14 ปีมาแล้ว ตอนนั้นคุณแม่ทั้งหลาย โดยเฉพาะคุณแม่สาวๆ ให้ลูกกินนมวัวแทบทั้งสิ้น
คำถามจากการบรรยาย และจากการตอบคำถามร่วมกับอาจารย์พรรณนิมล ทำให้ผมตาสว่างขึ้นเยอะ เดี๋ยวนี้คุณแม่สาวๆ ของเราสนใจในเรื่องการให้นมแม่แก่ลูกเยอะแล้วนะครับ
มีคุณแม่ที่สนใจมากๆ แต่ยังไม่สะดวกบางประการที่จะให้นมลูก เป็นเพราะนมมีน้อยบ้าง หรือเพราะอาชีพการงาน ซึ่งจะต้องไปทำงาน และขลุกอยู่ในที่ทำงานตลอดวันบ้าง ก็เลยมีคำถามว่า ความจำเป็นมีอย่างนี้แล้วจะให้ทำอย่างไรดี (จ๊ะ)
ที่อเมริกามีการรณรงค์ให้ดื่มนมแม่มากว่า 20 ปีแล้วครับ สมัยนั้นผมจำได้ว่า การรณรงค์นั้นไม่ได้ชักชวนแต่คุณแม่อย่างเดียว แต่ชักชวนให้เกิดความร่วมมือ ไปถึงสถานพยาบาลเด็กอ่อน สถานที่ทำงาน และพี่เลี้ยงของเด็กด้วย นั่นเป็นการแก้ปัญหาได้ดี สำหรับคุณแม่ที่ต้องไปทำงาน
การแก้ปัญหานั้นก็คือ การบีบนมแม่ใส่ขวดเก็บไว้ในตู้เย็น ได้มีโครงการ การร่วมมือจากทางการ เอกชน และสถานที่ทำงานหลายแห่ง เผยแพร่เรื่องการให้นมลูกสำหรับคุณแม่ ซึ่งต้องไปทำงาน ความเข้าใจขั้นแรก ซึ่งสำคัญมากที่สุดคือ ความสะอาด จะต้องสะอาดตั้งแต่ขวดนม การบีบนมของแม่ใส่ขวด และการเก็บไว้ในตู้เย็นให้แน่ใจว่า นมนั้นสะอาดด้วย
ที่น่าชื่นใจมากก็คือ ความร่วมมือจากสถานที่ทำงานคุณแม่ยังสาว ที่ต้องไปทำงาน ที่ทำงานจะร่วมมือจัดหาตู้เย็น และเจ้าหน้าที่คอยช่วยเหลือ เมื่อคุณแม่จะต้องบีบนมใส่ขวดในที่ทำงาน มีห้องเล็กๆ สำหรับคุณแม่เข้าไปบีบนม โดยไม่ประเจิดประเจ้อ มีเจ้าหน้าที่เก็บขวดนมไว้ให้ นมที่บีบในที่ทำงานนี้ เพื่อว่าคุณแม่จะนำกลับไปให้ลูกกินต่อตอนเวลาเลิกงานแล้ว
ที่ทำงานบางแห่งน่ารักกว่านั้น ที่ทำงานซึ่งบ้านของคุณแม่อยู่ไม่ไกลจากที่ทำงานนัก มีการจัดห้องไว้สำหรับพี่เลี้ยง จะพาลูกมากินนมแม่ที่ทำงานได้ด้วย
และสำหรับพี่เลี้ยง ซึ่งอาจจะเป็นพี่เลี้ยงที่สถานดูแลเด็กอ่อน หรือพี่เลี้ยงจากที่บ้าน (คุณป้า คุณยาย คุณย่า) ก็จะรับคำแนะนำ หรืออบรมในการดูแลนม (นมแม่ในขวดนะครับ) การเก็บนมให้สะอาด วิธีให้นม ตลอดไปจนวิธีอุ้มเด็ก และทำให้เด็กเกิดความอบอุ่น รู้สึกเหมือนได้ดื่มนมจากคุณแม่โดยตรงด้วย
นั่นก็เป็นโปรแกรมซึ่งน่ารักโปรแกรมหนึ่ง ช่วยคุณแม่ และที่สำคัญที่สุด ช่วยลูกได้อย่างดีวิเศษ เพราะนมแม่เป็นยาวิเศษ และเป็นตัวสร้างภูมิชีวิตที่สำคัญให้แก่ลูก
แต่โปรแกรมในอเมริกาตอนนี้ รู้สึกจะไม่มีแล้วนะครับ เหตุผลก็คือ เดี๋ยวนี้หนุ่มๆ สาวๆ นิยมอยู่ด้วยกันโดยไม่แต่งงานมากขึ้น และถ้ายังทำงานอยู่ก็จะไม่ยอมมีลูก ถ้าพร้อมจะมีลูกเมื่อไร คุณแม่ก็มักจะลาออกจากงาน มาเลี้ยงลูกแบบฟูลไทม์กันเลยแหละครับ
ทีนี้ก็มาถึงคำถามสำคัญว่า นมแม่สำคัญกระไรนักเชียวหรือ
ความจริงเป็นเรื่องเก่าแก่โบราณ หรือเกือบจะเชยเสียด้วยซ้ำ ที่จะต้องมาพูดกันใหม่ว่า นมแม่ดีอย่างไร ว่ากันที่จริงผมไม่อยู่ในลักษณะผู้เชี่ยวชาญการให้นมลูก เคยพยายามเหมือนกันครับ แต่พยายามอย่างไรไม่ได้ผล เพราะพ่อไม่มีนม (แฮะๆ ทำเป็นตลก)
แต่ผมมีอาจารย์ 2 ท่าน เป็นผู้หญิง คืออาจารย์เอลิเนอร์ วิทนีย์ และอาจารย์คอริน คาทาลโด ท่านเป็นผู้เชี่ยวชาญทางชีวะเคมี และในด้านคลีนิคัล นิวตริชั่น
ท่านมีลูกแล้ว และที่เชี่ยวชาญการให้นมแม่แก่ลูกดีเหลือเกิน ผมขออนุญาตเอาสิ่งที่ท่านสอนมาคุยกันอีกทีนะครับ
ความสำคัญขั้นแรกของนมแม่ คือ โคลอสตรัม (COLOSTRUM) หรือที่เราเรียกกันแบบชาวบ้านว่า นมเหลือง
นมเหลืองจะออกจากเต้านมของแม่ ตอนแรกของการไหลออกของนม จะมีลักษณะเป็นสีเหลืองอ่อนๆ จะไหลอยู่ประมาณ 2-3 วัน ความสำคัญของนมเหลืองก็คือ มี ANTIBODY ซึ่งสร้างภูมิต้านทาน ในการต่อสู้กับโรคภัยไข้เจ็บได้ดีที่สุด แม้ว่าตอนหลังที่แม่มีนมขาวไหลออกมา จะมี ANTIBODY แต่ก็ยังสู้นมเหลืองไม่ได้
ภูมิต้านทานตัวนี้ จะมีอยู่ในนมเหลืองมากที่สุด หลังจาก 2-3 วัน แล้วนมเหลืองก็จะหมดไป นมขาวจะออกมาตามปรกติ นมขาวก็จะมีภูมิต้านทานอยู่ด้วย แต่ก็ยังน้อยกว่านมเหลือง
มีท่านผู้ฟังการบรรยายเมื่อวันเสาร์ มาคุยกับผมต่อเรื่องนมเหลือง เธอบอกกับผมว่า ไม่ได้ให้นมเหลือแก่ลูก เพราะมันไม่น่ากิน ลองชิมดูปรากฏว่ามีรสขม กลัวว่าลูกจะไม่ชอบ เลยบีบทิ้ง
โธ่ น่าเสียดายจริงๆ คุณแม่สาวๆ ทั้งหลาย ถ้าได้อ่านบทความชิ้นนี้แล้ว ขอร้องนะครับ นมเหลืองนั้นเป็นอาหาร และเป็นยาที่ดีที่สุดสำหรับลูก อย่าเอาทิ้งเสียเป็นอันขาด ต้องให้ลูกกินให้ได้ ออกมากี่วันๆ ต้องให้ลูกกินให้หมดเลย
ทุกคนเคยฉีดวัคซีนป้องกันโรคต่างๆ มาแล้วใช่ไหมครับ นมเหลืองนั่นแหละ คือยอดของวัคซีนที่ดีที่สุดในโลก เป็นยาป้องกันโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ที่ดีที่สุดในโลกเลยแหละครับ
หลังจากนมเหลือง แล้วก็ถึงบทบาทของนมขาว ซึ่งก็ยังมีภูมิต้านทานสำหรับลูกอยู่อีกเหมือนกัน อาจารย์ของผมทั้งสองคนที่กล่าวนามมาแล้ว ทั้งได้ทดลองแยกแยะ ทั้งได้ปฏิบัติด้วยตัวเองมาแล้ว รับรองว่านมแม่มีทั้งยา และคุณค่าทางอาหารครบถ้วน เพื่อที่จะสร้างลูกให้เป็นคนเต็มคนได้สมบูรณ์ที่สุด
ความเป็นยาที่วิเศษของนมแม่นั้น เป็นทั้งยาป้องกันและรักษา การป้องกันนั้นขนาดโรคโปลิโอ ก็ยังป้องกันได้ และการเป็นยารักษา ขนาดที่แม่ยังป่วยอยู่ เช่น เป็นโรคหวัด หรือโรคติดเชื้อบางอย่าง ก็ยังให้ลูกกินนมได้ ลูกจะไม่ติดเชื้อจากแม่ ทั้งนี้เพราะพิสูจน์แล้วว่า เมื่อนมออกจากเต้านมของแม่นั้น มีกลไกในเต้านม ซึ่งสามารถฆ่าเชื้อ หรือทำให้นมนั้นปลอดเชื้อ (STERILED) ได้
นอกจากนั้น ในนมแม่ยังมีคาร์โบไฮเดรต ซึ่งเปลี่ยนเป็นน้ำตาลของนม (LACTOSE) ลูกกินนมแม่จึงอร่อย เพราะมีรสหวานมัน ทั้งยังมีกรดไขมันและกรด (LINOLEIC) และใครๆ อาจจะแปลกใจว่า ทำไมลูกที่กินนมแม่ ซึ่งไม่ท้องอืด และไม่สำรอก นั่นก็เพราะโปรตีนในนมของแม่ เป็นโปรตีนซึ่งมีอัลบูมิน (LACTOALBUMIN) อยู่เป็นส่วนใหญ่ สามารถจะย่อยโปรตีน ที่อยู่ในท้องของลูกได้เป็นอย่างดี ลูกจึงท้องไม่อืด
นอกไปจากนั้น วิตามินและแร่ธาตุ ก็ยังมีครบตามสัดส่วนของร่างกาย ที่ทารกต้องการ แม้แต่วิตามินซี ซึ่งใครๆ จะไม่เชื่อว่านมจะมีวิตามินซี แต่ในนมของแม่ ก็ยังอุตส่าห์แถมวิตามิน C ให้แก่ลูกอย่างเต็มอกเต็มใจ
ความสำคัญของนมแม่ ที่ทำให้ลูกกินแล้วติดใจก็คือ มีโซเดียมต่ำ และอัตราส่วนระหว่างแคลเซียม และฟอสฟอรัสมีอัตรา 2:1 ทำให้เมื่อมีการย่อยเผาผลาญไปใช้เป็นพลังงาน จะทำให้ร่างกายของลูก ดูดซึมแคลเซียมได้อย่างดีเยี่ยม และก็ยังทำให้การดูดซึมธาตุเหล็ก เป็นไปอย่างดีเยี่ยมด้วย
แคลเซียมสำคัญมาก สำหรับโครงสร้างของเด็กก็คือ กระดูกและฟัน และธาตุเหล็กก็สำคัญมากในการสร้างเลือด กระดูกแข็งแรง โครงสร้างทั้งหมดย่อมแข็งแรง เลือดดีก็หมายความถึง ความแข็งแรงสมบูรณ์ของร่างกายดีเยี่ยม
ความสำคัญของสารอาหารวิตามิน และแร่ธาตุในนมของแม่มีอยู่มากมาย เกินกว่าจะมาบรรยายไว้ได้ในคอลัมน์นี้ แต่สรุปสั้นๆ ก็ว่า นมแม่นั้นแหละครับดีที่สุดสำหรับลูก
ความสำคัญอีกประการหนึ่ง ซึ่งอาจารย์สองท่านว่าไว้ก็คือ ความสัมพันธ์ระหว่างแม่และลูก ท่านบอกไว้ว่า ครั้งแรกที่ให้นมลูกนั้นสำคัญที่สุด เมื่อลูกเกิดนั้นสักพักเดียว ลูกจะเริ่มรู้จักการดูดนมโดยอัตโนมัติ (SUCKING G MOTIONS) สมัยนี้คุณแม่สมัยใหม่บางคน อาจจะชอบวิธีคลอดโดยบล็อกสันหลัง หรือผ่าออกทางหน้าท้อง ฤทธิ์ยาชา และยาระงับประสาท จะทำให้คุณแม่สะลึมสะลือ และไม่สามารถให้นมลูกได้
อาจารย์ทั้งสองท่านบอกว่าไม่ต้องรีบร้อน รอให้แม่หายสะลึมสะลือเสียก่อน จึงให้นมลูก ความสัมพันธ์ลึกซึ้งระหว่างแม่กับลูก อยู่ที่การให้นมลูกครั้งแรก ความรักเต็มเปี่ยมจะเกิดขึ้น ตอนลูกดูดนมแม่ครั้งแรก
(ท่านที่ชอบบิดเบือนหาความผม โปรดทราบว่าเอกสารอ้างอิงมีครบถ้วน JOURNAL OF THE AMERICAN DIETETIC ASSOCIATION (1982) หน้า 40-45 AMERICAN JOURNAL OF CLINICAL NUTRITION (1973) 556-562, AMERICAN JOURNAL OF NURSING (1978) 852-855 และ JOURNAL OF THE AMERICAN MEDICAL ASSOCIATION (1980) หน้า 634-635 ETC.)
main |