โดย ดร. สาทิส อินทรกำแหง
เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว เราคุยกันถึงเรื่องแร่ธาตุ 18 อย่าง จำได้ไหมครับ และผมได้ชี้ให้เห็นว่าแร่ธาตุ 18 อย่างนี้สำคัญอย่างไร เราต้องมีครบ ขาดอย่างใดอย่างหนึ่งไม่ได้
ถ้าขาดแม้แต่อย่างใดอย่างหนึ่งเราก็ป่วย
และแร่ธาตุ 18 นี้เมื่อเรามีครบทุกตัวแล้ว บางตัวก็มีอิทธิพลต่อตัวอื่นๆ มันต้องทำงานร่วมกัน และต้องได้สัดส่วนกัน อย่างเช่นแคลเซียมกับฟอสฟอรัส แคลเซียมต้องเป็น 2 เท่าของฟอสฟอรัส หรือโซเดียมต้องเป็น 38-39 เท่าของโปรแตสเซียม อย่างนี้เป็นต้น
ถ้าสัดส่วนผิดไปเราก็ป่วย
ความสำคัญของแร่ธาตุต่อร่างกายของเรา และจิตใจของเรามีอยู่มากมายนะครับ ในด้านร่างกายเราทราบดีกันอยู่แล้วว่า แร่ธาตุเหล่านี้ เป็นตัวสำคัญในการสร้างความแข็งแรง ให้แก่ร่างกายของเราอย่างไร แต่ในขณะเดียวกันแร่ธาตุนี้สร้างร่างกายเรานั้น ก็ยังสร้างส่วนประกอบของจิตใจ หรือสภาพบางอย่างของจิตใจเราด้วย
อย่างเช่นแคลเซียมสร้างความแข็งแรง และความสมบูรณ์ของกระดูก ฟันและเล็บ แต่ในด้านจิตใจเวลาคุณเกิดอารมณ์ หรือมีความรู้สึกรุนแรง แคลเซียมก็จะเป็นตัวกระตุ้นทำให้หัวใจของคุณเต้นแรงขึ้น หรือถ้าคุณตื่นเต้นจนนอนไม่หลับ แคลเซียมก็จะทำงานร่วมกับแมกนีเซียม ทำให้จิตใจของคุณสงบลง และคุณก็นอนหลับสบาย อย่างนี้เป็นต้น
หรืออย่างเช่นโครเมียม ช่วยในการสร้างความเจริญเติบโตของร่างกาย แต่คุณเกิดอารมณ์รุนแรงบ่อยๆ ความดันโลหิตของคุณก็จะขึ้นสูง หรือว่าคุณเป็นเบาหวาน ความดันโลหิตก็จะสูงขึ้นได้เหมือนกัน แต่ถ้าในร่างกายของคุณมีโครเมียมเพียงพอ (โดยในอาหารประจำวันตามปรกติของคุณ มีโครเมียมในอาหารประมาณวันละ 50-200 ไมโครแกรม) โครเมียมก็จะช่วยควบคุมความดันโลหิตสูงของคุณได้
หรืออย่างเช่น ไอโอดีน เป็นตัวสำคัญในการเผาผลาญอาหารและไขมันในตัวคุณ ช่วยสร้างความเจริญเติบโตและสร้างพลังงานให้แก่คุณ สร้างผิวหนัง ผม เล็บ และฟันให้สมบูรณ์ แต่ไอโอดีนก็ช่วยสร้างและเสริมสมรรถภาพ ของสมองอย่างดียิ่งให้แก่คุณ และสร้างความฉับไว ความตื่นตัวของสมองให้แก่คุณด้วย
นี่คือตัวอย่างซึ่งแสดงให้เห็นความสำคัญของแร่ธาตุ 18 อย่าง ซึ่งเป็นตัวสำคัญในการสร้างความแข็งแรง และความสมบูรณ์ให้แก่ร่างกาย และในขณะเดียวกันก็ช่วยให้สมองและจิตใจของคุณ ได้ทำงานอย่างสมบูรณ์เช่นกัน
ตอนนี้เรามาคุยกันถึงวิธีง่ายๆ ที่จะใช้อาหารเป็นยาโดยยึดเอาอาหารเป็นตัวหลัก ให้ทำหน้าที่ครบ 3 อย่าง คือ 1. บำรุงเลี้ยงร่างกาย 2. ซ่อมแซมสิ่งสึกหรอ
และ 3. ใช้อาหารเป็นยา
นี่เป็นตัวอย่างนะครับ และตัวอย่างนี้ก็เป็นอาหารง่ายๆ ซึ่ง ปู่ ย่า ตา ยาย ของเราท่านเชี่ยวชาญในเรื่องอาหาร ซึ่งจะบำรุงเลี้ยงร่างกาย และในขณะเดียวกันก็เป็นอย่างดีสำหรับร่างกายและจิตใจของเราด้วย
อาหารนั้นก็คือ แกงขี้เหล็ก ไงละครับ
แกงขี้เหล็กเป็นอาหารโบราณนะครับ สมัยโบราณเราใช้ใบขี้เหล็ก และดอกขี้เหล็กล้วนๆ เราไม่ใช้กะทิ แต่เราใช้แกงแบบแกงป่า และใส่ปลาแห้งประเภทปลากรอบ หรือปลาน้ำจืดพื้นเมืองอย่างเช่น ปลาหลดแห้งใส่ลงไปด้วย
มาสมัยนี้เราปรับปรุง วิธีปรุงและวิธีแกงให้อร่อยขึ้น โดยใส่กะทิและใส่เนื้อย่างลงไปด้วย
แต่ถ้าเราจะแกงแบบชีวจิต เราก็เปลี่ยนแปลงจากตำรับปรับปรุงให้อร่อยแล้ว มาปรับปรุงแกงแบบชีวจิตโดยไม่ต้องใช้กะทิแล้ว เราจะเห็นว่าแกงได้อร่อยไม่แพ้กัน
ชีวจิตจะไม่ใช้กะทินะครับ แต่เราจะใช้น้ำเต้าหู้แทนกะทิ และเราจะใช้น้ำ R.C. และข้าว ข้าว R.C. ปั่นผสมลงไปด้วยเพื่อให้ข้นด้วย
และแทนที่จะใช้เนื้อย่าง เราก็ใช้โปรตีนเกษตรอย่างก้อนทอดให้กรอบโรยหน้าแทน
วิธีทำนะครับ คุณก็ต้องหายอดใบอ่อนของใบขี้เหล็ก และดอกขี้เหล็กมาก่อน ดอกขี้เหล็กถ้าได้อย่างตูมๆ จะอร่อยมากเวลาเคี้ยวกรุบและมันเหมือนถั่ว
เมื่อคุณได้ใบอ่อนและดอกมาแล้วก็ต้องมาต้มน้ำเคี่ยวสัก 2 น้ำ ถ้าชอบขมก็ต้มแต่เพียงน้ำเดียว เมื่อขี้เหล็กเย็นแล้วคุณก็คั้นน้ำออก บีบใบขี้เหล็กและดอกไว้เป็นก้อนให้สะเด็ดน้ำ
หลังจากนั้น เราก็เอาเครื่องแกงมาผัดกับน้ำเต้าหู้แตกมัน
น้ำพริกก็คือ พริกขี้หนูและพริกชี้ฟ้าเขียว หอม กระเทียม ข่า ตะไคร้ ผิวมะกรูด ใบพริกเขียว ตำให้เข้ากันละเอียด
เราผัดพริกแกงกับน้ำเต้าหู้แตกเป็นมันแล้ว พอเครื่องแกงหอมก็ใส่ใบขี้เหล็กและดอกขี้เหล็กลงไป ผัดจนเครื่องแกงกับขี้เหล็กคลุกเคล้าเข้ากันดี
ต่อจากนั้นเติมน้ำ อาร์ ซี และน้ำข้าวอาร์ ซี ลงไปให้ข้นตามใจชอบ เติมรสเค็ม และถ้าชอบรสกลมกล่อม ให้ใส่น้ำผึ้งนิดหน่อย
เคี่ยวจนหอมได้ที่ แล้วเติมโปรตีนเกษตรทอดกรอบลงไป
แกงขี้เหล็กจะออกมาเป็นสีเขียว เป็นมันน่ากิน
คลุกกับข้าวแดงซ้อมมือ สวยๆร้อนๆ และก็น่าจะมีสะตอผัดกุ้งร่วมด้วย
แถมด้วยปลาแห้ง หรือปลาสลิดทอดกรอบสักชิ้นสองชิ้น
รับรองว่าอาหารมื้อนั้นอร่อยเหาะไปเลย
คงจะสงสัยนะครับว่า เรื่องอะไรผมจึงมาแนะให้กินของโบราณ อย่างแกงขี้เหล็กกับสะตอและปลาแห้ง
อ้าว! ก็มันอร่อยและก็เป็นยาด้วยไงละครับ
และราคาถูกสมยุค IMF ด้วย แกงขี้เหล็กหม้อหนึ่ง คุณกินได้ 2-3 วันเชียวนะครับ
และแกงขี้เหล็กกับสะตอนั้นกินแล้ว ระบายท้องแบบธรรมชาติ (ไม่ใช่ท้องเดิน) ทั้งเนื้อทั้งตัวคุณจะโล่งโกงโปร่งสบายดีเหลือเกิน
นอกจากนั้น คุณยังจะนอนหลับสบายดีด้วย เพราะขี้เหล็กจะช่วยให้คุณนอนหลับสนิท
ความจริงขี้เหล็กเป็นยาทั้งต้นเลยนะครับ คือตั้งแต่รากไปถึงลำต้น กิ่ง เปลือก กะพี้ แก่นใบดอก ฝักใช้เป็นยาได้ทั้งนั้น
แร่ธาตุในขี้เหล็ก ตัวสำคัญก็คือ ธาตุเหล็ก ทองแดง สังกะสี แคลเซียม และโปรแตสเซียม
ล้วนแต่แร่ธาตุตัวสำคัญๆทั้งนั้น
ขี้เหล็กใช้เป็นยาแก้ไข้ ยาระบาย ขับปัสสาวะ ขับระดูขาว ขับเสมหะ บำรุงน้ำดี ช่วยให้เส้นเอ็นหย่อน แก้ริดสีดวงทวาร ขับถ่ายโลหิตเสีย รักษาโรคผิวหนังบางชนิด บำรุงประสาททำให้หลับสบาย
และเมื่อเอาขี้เหล็กมาทำเป็นอาหาร คุณก็ได้อาหารแสนอร่อย และได้ยาธรรมชาติแสนวิเศษไปในตัวด้วย
และถ้าหากอยากรักษาบรรยากาศเก่าๆของปู่ ย่า ตา ยาย เราไว้ ก็ลองหาขี้เหล็กมาปลูกในบ้านสักต้นซิครับ
เอาเมล็ดมาหว่าน พอฝนลงสัก 2-3 ครั้ง ต้นมันก็ขึ้นง่ายดาย เผลอๆสักปีสองปี คุณก็ได้กินใบกินดอก
เวลามันออกดอกสีเหลือง กลิ่นหอมกรุ่นๆ ผึ้งแมลงมาบินตอมว่อน เป็นภาพน่ารักซึ่งหาดูยากนะครับ.
.
main |