พีรยุ ดีประเสริฐ
ทุกครั้งที่ใช้ถุงยางอนามัย เคยคิดบ้างไหมว่าวัตถุชิ้นเล็ก ๆ ที่ใช้เป็นเครื่องป้องกันโรค และเป็นเกราะกำบังสำหรับผู้ที่ไม่ต้องการมีบุตรนั้น มีที่มาและที่ไปอย่างไร เพราะกว่าที่จะกลายมาเป็นถุงยางอนามัยนั้นเส้นทางการผลิตล้วนแล้วแต่เต็มไปด้วย ความยุ่งยาก และมีความลับซุกซ่อนอยู่เป็นจำนวนมาก
หากถามว่ารู้จัก "ถุงยางอนามัย" หรือไม่? ร้อยทั้งร้อยคงตอบว่ารู้จัก ยิ่งเป็นสุภาพบุรุษ ด้วยแล้วละก็ ย่อมต้องเคยได้ใช้กันบ้าง ไม่มากก็น้อย ยิ่งในยุคที่โรคเอดส์ได้กลายเป็น ปัญหาใหญ่ ที่คร่าชีวิตพลเมืองโลกไปเป็นจำนวนมหาศาล ถุงยางอนามัยยิ่งถือเป็นสิ่งจำเป็น สำหรับบุรุษเพศที่ชื่นชอบในกามกรีฑาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในประเทศไทย ที่สัดส่วนการใช้ถุงยางในธุรกิจบริการทางเพศ ยังคงมีตัวเลขอยู่ที่ประมาณ ร้อยละ 70
อย่างไรก็ตามถุงยางอนามัยไม่ใช่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อ 10-20 ปี แต่วิธีการคุมกำเนิดที่เก่าแก่ที่สุด แบบหนึ่งนี้ มีประวัติความเป็นมา ที่สามารถนับย้อนหลังไปได้หลายร้อยหลายพันปีเลยทีเดียว เท่าที่ได้มีการบันทึกเอาไว้ ถุงยางอนามัยปรากฏตัวขึ้นเป็นครั้งแรกในโลกราว 807-677 ปี ก่อนคริสตกาล โดยชายชาวอียิปต์ในสมัยโบราณ สวมปลอกประเภทนี้เอาไว้เพื่อป้องกัน การติดเชื้อ การบาดเจ็บ และการถูกแมลงสัตว์กัดต่อย
จากนั้นถุงยางอนามัยได้มีการวิวัฒนาการมาเป็นลำดับจนกระทั่งถึงปัจจุบัน เทคโนโลยี ใหม่ ๆ ได้เข้ามาช่วย ปรับปรุงการผลิตถุงยางอนามัยให้มีความทันสมัยขึ้นกว่า ที่บรรพบุรุษเคยใช้ เป็นอย่างมาก
ตัวอย่างที่ถือว่าเป็นสุดยอดของถุงยางอนามัยในขณะนี้ก็คือ การนำวัสดุโพลียูรีเทน ที่มีคุณสมบัติโดดเด่นเฉพาะตัว มีความเหนียวกว่ายางดิบถึงสองเท่า มาใช้ จนทำให้สามารถผลิตแผ่นฟิล์มที่บางและไวต่อความรู้สึกได้กว่าเดิม
เทคโนโลยีการผลิตเหล่านี้ ผู้ผลิตแต่ละค่ายต่างหวงแหนและถือเป็น "ความลับทางการค้าขั้นสุดยอด" ที่ต้องปกปิดเอาไว้ไม่ให้รั่วไหลออกไปสู่ภายนอก โดยเด็ดขาด ชนิดที่เรียกว่า ยิ่งกว่าไข่ในหินเลยก็คงจะว่าได้ เพราะมิฉะนั้นแล้ว อาจนำไปสู่การลอกเลียนแบบ และสร้างความเสียหายอย่างใหญ่หลวงกับทางบริษัท
ด้วยเหตุนี้ ระเบียบปฏิบัติในการเข้าเยี่ยมชมโรงงานผลิตถุงยางอนามัยแต่ละแห่ง จึงถูก กำหนดเอาไว้อย่างรัดกุมโดยเฉพาะอย่างยิ่งบริษัทยักษ์ใหญ์ที่ครองความเป็นเจ้าตลาด ของสินค้าประเภทนี้
สุรเกียรติ เกษมสุวรรณ ผู้จัดการฝ่ายผลิต บริษัทลอนดอน รอยัล คอนซูเมอร์ โปรดักท์ส (ประเทศไทย) จำกัด อธิบายให้ฟังว่า ทุกครั้งที่เปิดโอกาสให้บุคคลภายนอก เข้าเยี่ยมชม โรงงานนั้น ถือเป็นเรื่องใหญ๋ ที่ทางบริษัทให้ความสำคัญ และพิจารณาอย่างละเอียดถี่ถ้วน บริษัทต้องทำเรื่องขออนุญาต ไปที่บริษัทแม่ที่ลอนดอน ประเทศอังกฤษ ล่วงหน้าอย่างน้อย ไม่ต่ำกว่า 1 สัปดาห์ ก่อนที่บุคคลภายนอก จะได้รับการอนุมัติ ให้เข้าเยี่ยมชมเทคโนโลยี การผลิตถุงยางอนามัยเป็นครั้งแรกในประเทศไทย ด้วยเงื่อนไขที่ว่า ห้ามถ่ายรูปภายในโรงงานเป็นอันขาด
"จริง ๆ แล้วในทุกขั้นตอนการผลิต ล้วนแล้วแต่เต็มไปด้วยความลับตลอด ไม่ว่าจะเป็น ในส่วนของสูตรน้ำยางที่ทางดูเร็กซ์คิดค้นและพัฒนามาเป็นเวลาไม่ต่ำกว่า 10 ปี หรือแนวองศาในการเอียงของแท่งแก้ว เพราะฉะนั้น เราถึงต้องควบคุมเรื่องภาพถ่าย อย่างเข้มงวด เนื่องจาก ถ้าภาพถูกเผยแพร่ออกไป ผู้ผลิตรายอื่นที่มีปัญหา และยังแก้ไขไม่ตก เขาเห็นภาพเพียงแค่นิดเดียว เขาก็จะสามารถแก้ปัญหาได้ในทันที"
นอกจากความลับที่ต้องมีการควบคุมอย่างเข้มงวดแล้ว กระบวนการผลิตถุงยางอนามัย ยังเต็มไปด้วยความสลับซับซ้อน มิหนำซ้ำยังต้องผ่านการตรวจสอบคุณภาพ อย่างละเอียด ถี่ถ้วน ตั้งแต่ขั้นตอนแรกถึงขั้นตอนสุดท้ายเช่นกัน เพราะฉะนั้น กว่าที่ถุงยางอนามัย แต่ละชิ้น จะหลุดออกมา ให้เรา ๆ ท่าน ๆ ได้ใช้นั้น จึงไม่ใช่เรื่องง่าย ที่เพียงแค่เอาแท่งแก้ว สำหรับขึ้นรูป จุ่มไปในน้ำยาง อบให้แห้ง ก็สามารถนำมาใช้งานได้แล้ว
กระบวนการผลิตถุงยางอนามัยเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่ในสวนยางพาราในประเทศมาเลเซีย ก่อนที่จะมีการส่งยางดิบเข้ามาที่โรงงาน จะต้องมีการนำตัวอย่างมาตรวจสอบเสียก่อน ถ้าตัวอย่างดังกล่าวไม่ผ่านการตรวจสอบ บริษัทฯ จะไม่รับยางในครั้งการผลิตนั้น เข้าสู่โรงงาน
กรณีที่ผ่านการตรวจสอบ จะมีการกำหนดรหัสประจำตัวที่ใช้ในทุกขั้นตอนการผลิต จากนั้นส่วนผสมต่าง ๆ ที่เป็นสูตรเฉพาะที่ส่งตรงมาจากอังกฤษ จะถูกนำมาผสมกับ น้ำยางดิบ เพื่อให้ยางมีความคงตัวและทนทาน หลังจากที่ใช้เวลาบ่มตัวไม่น้อยกว่า 10 วัน เพื่อให้เกิดปฏิกิริยาเคมีอย่างสมบูรณ์ ซึ่งส่วนผสมนี้จะถูกนำไปใช้ในขั้นตอนการผลิตต่อไป
ถัดมาคือขั้นตอนการจุ่มขึ้นรูป ขั้นตอนนี้จะต้องทำภายในห้องปลอดฝุ่นละออง ซึ่ง ติดตั้งระบบกรองอากาศไฟฟ้าสถิต โดยแท่งแก้วสำหรับขึ้นรูปที่เรียงต่อกันเป็นแถวจะค่อย ๆ เคลื่อนตัวลงจุ่มในถังที่มีส่วนผสมน้ำยางธรรมชาติที่ต้องควบคุมอุณหภูมิให้เหมาะสม
แท่งแก้วแต่ละแท่งจะหมุนไปรอบ ๆอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้ส่วนผสมนี้ กระจายตัว ติดแท่งแก้ว ด้วยความหนาเท่า ๆ กันทั้งชิ้น จากนั้นแท่งแก้วจะเคลื่อนตัวผ่านเข้าตู้อบ อินฟาเรด เพื่อให้น้ำยางแห้ง
เมื่อออกจากตู้อบ แท่งแก้วจะต้องจุ่มน้ำยางอีกเป็นครั้งที่สอง เพื่อให้ถุงยางอนามัย มีความหนาและทนทานเพียงพอ และเมื่ออบแห้งครั้งที่สองแล้ว แท่งแก้วจะเคลื่อนที่ ผ่านแปรงขนนุ่มที่ทำหน้าที่ม้วนขอบถุงยาง ก่อนที่จะผ่านเข้าสู่ตู้อบครั้งสุดท้าย เพื่อให้สารประกอบต่าง ๆ ในส่วนผสม น้ำยางธรรมชาติ ทำปฏิกิริยากันอย่างสมบูรณ์ รวมทั้ง ทำให้ชั้นของน้ำยางธรรมชาติ ที่เกิดจากการจุ่มครั้งที่สอง หลอมรวมเป็นเนื้อเดียวกัน
หลังจากนั้นแท่งแก้วจะผ่านขั้นตอนการล้างน้ำที่ผสมสารเคมีเพื่อให้ถุงยางอนามัย ลื่นหลุดออกได้โดยง่าย เมื่อขั้นตอนการขึ้นรูปเสร็จเรียบร้อย ในระหว่างนั้น ถุงยางจะถูกนำไป ล้างสารเคมีต่าง ๆ ให้หลุดออกจากผิวยางถุงยางอนามัยให้หมด พร้อมทั้งใส่แป้งเข้าไป เพื่อป้องกัน การจับตัวเป็นก้อน เมื่อล้างเสร็จก็จะนำเข้าตู้อบ อบให้แห้งต่อไป ขณะเดียวกันถุงยางบางส่วน จะถูกสุ่มตัวอย่าง เพื่อนำมาตรวจสอบคุณภาพ ใน 3 ส่วนด้วยกัน คือ ตรวจความรั่ว ทดสอบแรงดันอากาศ และทดสอบความทนทาน
พนักงานจะสุ่มตัวอย่างบางส่วนมาตรวจความรั่ว ด้วยการเติมน้ำเข้าไป 300 ซีซี แขวนทิ้งไว้ประมาณ 1-2 นาที แล้วนำมาคลึงบนกระดาษสีซับน้ำ ถ้าถุงยางเกิดรอยรั่วจะสามารถสังเกตเห็นรอยน้ำรั่วซึมบนกระดาษสีได้ชัดเจน
จากนั้นถุงยางก็จะถูกส่งต่อไปยังส่วนที่ทำการทดสอบแรงดันอากาศ อากาศจะถูกอัดเข้าไปในถุงยาง โดยมาตรฐานกำหนดเอาไว้ว่า จะต้องทนแรงอัดอากาศได้ไม่ต่ำกว่า 18 ลิตร ก่อนที่จะระเบิดแตกออก
บางส่วนจะนำไปทดสอบความทนทานด้วยการยืดชิ้นส่วนถุงยางอนามัยที่ตัดเป็นชิ้น กว้างประมาณ 20 มิลลิเมตร ชิ้นส่วนถุงยางจะต้องยืดออกได้ยาวถึง 8 เท่าของความยาวปกติ ก่อนจะขาด
"นอกจากฝ่ายผลิตจะควบคุมคุณภาพเองแล้ว เรายังมีฝ่ายควบคุมคุณภาพ เข้ามาตรวจสอบ อีกชั้นหนึ่ง ซึ่งเขาไม่ได้ขึ้นกับฝ่ายเรา ถ้าฝ่ายควบคุมคุณภาพเจอรูรั่ว ไม่ผ่านคือไม่ผ่าน ผมไปต่อรองกับเขาไม่ได้ เพราะว่าจริง ๆ แล้วเขามีสายงานของการตรวจสอบ ที่ขึ้นตรง กับบริษัทแม่ที่ลอนดอน เขาสามารถรายงานฝรั่งที่อังกฤษได้เลย แม้แต่ผมเอง ซึ่งควบคุม โรงงานทั้งหมด ยังไม่สามารถเข้าไปก้าวก่ายได้เลย" มาร์ติน เบอร์เชลล์ ผู้อำนวยการ ฝ่ายปฏิบัติการ ยืนยันคุณภาพของดูเร็กซ์
ก่อนที่จะนำถุงยางมาบรรจุกล่องในขั้นตอนสุดท้าย ถุงยางทุกชิ้นที่ผลิตได้ จะต้องผ่านการตรวจสอบด้วยเครื่องอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อตรวจหารอยรั่วหรือสิ่งผิดปกติอื่น ๆ ถุงยางแต่ละชิ้นจะถูกครอบลงบนแท่งโครเมียม จากนั้นจะปล่อยกระแสไฟฟ้าแรงดันสูง ขนาด 2,000 โวลต์เข้าไปสู่แท่งโลหะนี้ และจะมีสัญญาณเตือนให้ทราบ เมื่อถุงยางอนามัย ชิ้นใดชิ้นหนึ่ง มีรอยรั่ว หรือสิ่งผิดปกติ ซึ่งถุงยางอนามัยชิ้นนั้น จะถูกแยกออกมาต่างหาก เพื่อคัดทิ้งต่อไป
"เราเคยเจอเหมือนกันนะ มีบางครั้งเกิดอุบัติเหตุแท่งแก้วสำหรับขึ้นรูปไประแทกกับกระจก แล้วเศษแก้วหล่นลงไปในน้ำยาง พอเรานำไปตรวจสอบรอยรั่ว ด้วยวิธีการทาง อิเล็กทรอนิกส์ ปรากฏว่า เกิดรั่วร้อยละ 50-60 เราก็จะไม่เสียเวลาคัด เราจะทิ้งไปทั้งลอตเลย นอกจากนี้แล้ว ในทุกๆ ชั่วโมง เราจะเอาถุงยางที่รั่ว มาเจาะรูให้รั่ว 12 ชิ้น แล้วนำไปผ่าน เครื่องอิเล็กทรอนิกส์อีกครั้ง เพื่อดูว่าเครื่องยังทำงานดีอยู่หรือไม่ ซึ่งทุกชิ้นจะต้องลงไปที่ ช่องรีเจกต์หมด ถ้าไม่รีเจกต์ทั้ง 12 ชิ้น เราจะหยุดเครื่อง แล้วให้ช่างมาทำการแก้ไข จนกว่าทั้ง 12 ชิ้น ถูกรีเจกต์หมด เราถึงมาใช้เครื่องนั้น อีกครั้ง" สุรเกียรติยกตัวอย่างให้ฟัง
อย่างไรก็ตาม แม้กระบวนการตรวจสอบคุณภาพจะดำเนินไปอย่างละเอียดถี่ถ้วนเพียงใด แต่ก็ใช่ว่าถุงยางอนามัยทุกชิ้นจะสมบูรณ์แบบและปลอดภัย 100% เพราะจากข้อมูล ที่ทางบริษัทผู้ผลิต บันทึกเอาไว้ เปอร์เซ็นต์ความผิดพลาดที่เกิดขึ้นจากกระบวนการผลิต ก็มีความเป็นไปได้ เช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของ รูรั่ว
"ผมพูดตรง ๆ เลยว่าไม่มีหรอกครับที่สินค้าชนิดไหนในโลกจะสมบูรณ์ โดยไม่มีข้อผิดพลาด ไม่ว่าคุณจะซื้อสินค้าราคาเป็นล้าน ก็ไม่ได้เป็นเครื่องการันตีว่า คุณจะได้ของดีทุกอย่าง ซื้อรถยนต์ราคาเป็นล้านมาใหม่ ๆ ขับไปอยู่ดี ๆ เกิดเครื่องดับก็มี "แต่ว่าเราพยายามถึงที่สุดที่จะให้เปอร์เซ็นต์รั่วออกมาต่ำที่สุด ปกติทั่วไปแล้ว มาตรฐาน ของ อย. กำหนดเปอร์เซ็นต์การรั่วเอาไว้ที่ 0.25% แต่ดูเร็กซ์ ทำได้ 0.0002% เรียกว่าต่ำกว่านั้นไปไม่รู้เท่าไร เพราะฉะนั้นความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจากการใช้ถุงยางอนามัย ของเรา ก็ยิ่งต่ำมากขึ้นไปด้วย" ผู้จัดการฝ่ายผลิต อธิบายความปลอดภัยของการใช้ ถุงยางอนามัย
จากนั้นถุงยางอนามัยที่ตรวจสอบคุณภาพแล้วจะถูกนำไปบรรจุฟอยล์และเติมสารฆ่าเชื้อ หรือกลิ่นต่าง ๆ เป็นขั้นตอนสุดท้าย
จะเห็นได้ว่า กว่าที่จะมาเป็นถุงยางแต่ละชิ้นนั้น เต็มไปด้วยความลับและความยุ่งยาก ในส่วนของผู้ใช้เอง ก็ต้องมีความระมัดระวัง และใช้ให้ถูกวิธีเช่นกัน เพราะมิฉะนั้นแล้ว แม้สินค้าจะมีคุณภาพ มากมายสักเพียงใด แต่ถ้าผู้ใช้ใช้ไม่เป็นแล้ว อันตรายก็ย่อมอาจ เกิดขึ้นได้ ที่สำคัญคื อต้องพึงสังวรเอาไว้ว่า ไม่มีวิธีคุมกำเนิดใด ที่สามารถคุมกำเนิด หรือป้องกันเชื้อไวรัสเอชไอวี หรือโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้ 100%
พีรยุ ดีประเสริฐ
main |