มาที่นี่ที่เดียว ได้อ่านบทความทางด้านการแพทย์ ภาษาไทย จากเกือบทุกโฮมเพจที่มีใน INTERNET
http://geocities.datacellar.net/Tokyo/Harbor/2093/
จำสั้นๆ i.am/thaidoc



ยาเม็ดรักษาตับอักเสบบี


โรคตับอักเสบบี เป็นปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญของประเทศไทย คาดการณ์ว่าคนไทยมีสถิติเป็นโรคตับอักเสบบีเรื้อรังถึงร้อยละ 6-10 เคยมีข่าวการตื่นกลัวโรคนี้และสุดท้ายมีการผลิตวัคซีนเพื่อป้องกันโรคนี้ แล้วทำให้คนไทยได้สบายใจขึ้นแต่สำหรับผู้เป็นพาหะ (ป่วยเป็นโรคนี้ แต่ไม่แสดงอาการ) ของเชื้อไวรัสตับอักเสบบี ยังไม่มียาใดๆ ที่สามารถรักษาโรคนี้ให้หายขาดได้

ผู้ป่วยโรคตับอักเสบเรื้อรัง คือ ผู้ที่มีเชื้อไวรัสตับอักเสบ อยู่ในร่างกายนานเกิน 6 เดือน ซึ่งแบ่งผู้ป่วยได้เป็น 2 กลุ่ม

กลุ่มที่เป็นพาหะจะไม่มีอาการอักเสบของตับ คนไทยที่ป่วยเป็นโรคตับอักเสบส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มนี้ และในขณะนี้ยังไม่มียาใดๆ ที่จะใช้รักษาผู้ที่เป็นพาหะ ซึ่งสามารถแพร่เชื้อไปสู่ผู้อื่นได้โดยง่าย

กลุ่มที่ตับอักเสบบีเรื้อรังแบบลุกลาม จะมีปริมาณของเชื้อตับอักเสบบีอยู่ในร่างกายจำนวนมาก และมีอาการอักเสบของตับอยู่ตลอดเวลา ปรากฏอาการเป็นพักๆ ผู้ป่วยมีจำนวนน้อยและมีโอกาสเป็นตับแข็งได้

การปฏิบัติตนของผู้ที่เป็นพาหะต้องหมั่นรักษาสุขภาพของตัวเอง ให้แข็งแรงอยู่เสมอ หลีกเลี่ยงการดื่มสุรา พักผ่อนให้เพียงพอ เข้าพบแพทย์อย่างสม่ำเสมอ ส่วนในกลุ่มที่เป็นแบบลุกลาม ต้องอยู่ในความดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด

ในระยะเวลาที่ผ่านมาผู้ป่วยโรคตับอักเสบบีเรื้อรังแบบลุกลาม มีทางเลือกในการรักษา คือการใช้ยาฉีดอินเตอเฟอรอนเท่านั้น ซึ่งวิธีการดังกล่าวมีค่าใช้จ่ายสูง ต้องใช้ติดต่อกันอย่างน้อย 4-6 เดือน และมีผลข้างเคียงมาก ผู้ป่วยร้อยละ 30-40 จะมีอาการตับอักเสบ และปริมาณของไวรัสลดลง ล่าสุดได้มีการพัฒนายาชนิดใหม่ ที่ต้านไวรัสตับอักเสบบี ด้วยการรับประทานเพียงวันละเม็ด ซึ่งจะช่วยควบคุมปริมาณของไวรัสในร่างกายให้ลดต่ำลง โดยคำนึงถึงความปลอดภัย ความสะดวกและช่วยลดค่าใช้จ่ายลง ยาชนิดนี้ได้รับการอนุมัติจากสำนักงานคณะกรรมการอาหาร และยาให้ใช้กับผู้ป่วยในประเทศต่างๆ ได้แก่ สหรัฐอเมริกา แคนาดา, สวิตเซอร์แลนด์, ออสเตรเลีย, นิวซีแลนด์, อิสราเอล, อาร์เจนตินา, จีน, อินโดนีเซีย, ปากีสถาน, ฟิลิปปินส์, เกาหลี, ฮ่องกงและไทย

เป็นการค้นคว้าวิจัยที่ดีที่จะช่วยให้ผู้ป่วยได้ดำเนินชีวิตได้สบายขึ้น แต่ก็ต้องระวังการแพร่กระจายเชื้อสู่ผู้อื่น ทั้งทางเลือด, น้ำเหลือง, เพศสัมพันธ์ และการใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน และอีกทางที่เคยกังวลกัน คือ น้ำลาย ถึงแม้จะมีรายงานว่าพบเชื้อไวรัสในน้ำลาย แต่ก็ไม่เพิ่มอัตราการเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้



[ที่มา..นิตยสาร fitness ปีที่ 10 ฉบับที่ 107]

[ BACK TO LIST]
main พบแพทย์ คอมพิวเตอร์ เรื่องบ้าน เรื่องรถ เรื่องกฏหมาย เรื่องของผู้บริโภค เรื่องเบาๆ คลายเครียด

มีปัญหาสุขภาพ ที่นี่มีคำตอบ ห้องสมุดE-LIB[ hey.to/yimyam ][ i.am/thaidoc ]

Best view with [IE3.02][NETSCAPE 4.05][OPERA 3.21]resolution 800x600
1