"ระวังไวอากร้ามีผลต่อตา ใช้มาก ใช้น้อยแค่ไหนจึงจะเหมาะ??"
|
ตั้งแต่ไวอากร้า
ผลิตโดยบริษัทไฟเซอร์
ผ่านการรับรอง
โดยองค์การอาหารและยา
แห่งประเทศสหรัฐอเมริกา
เมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2541
เป็นที่ฮือฮากันทั่ว
ในหมู่ชายสูงอายุทั่วโลก
และแน่นอนไม่เว้น
แม้ในประเทศไทย
จึงมีจำหน่ายในบ้านเรา |
ในเวลาต่อมา คงไม่ต้องพูดถึงราคายาซึ่งค่อนข้างแพง
เมื่อเทียบกับเศรษฐกิจในยุคนี้ ผลประโยชน์ที่ได้ว่าจะคุ้มกันหรือไม่
คงต้องแล้วแต่มุมมองซึ่งแตกต่างกันไป
ไวอากร้ามีคุณสมบัติขยายหลอดเลือด ค้นพบโดยบังเอิญในปี 2535 ขณะนำมาทดลองรักษาผู้ป่วยที่เป็นโรคหัวใจขาดเลือดไปเลี้ยง
ในรายที่มีหลอดเลือดเลี้ยงหัวใจตีบ แต่ปรากฏว่า
ยานี้มีผลทำให้หลอดเลือดในอวัยวะเพศชายขยายด้วย จึงได้นำมาใช้รักษาภาวะเสื่อมสภาพทางเพศในผู้ชาย
โดยยาตัวนี้จะไปยับยั้งเอนไซม์ Phoshodiesterase
ไม่ให้ไปสลาย cyclic GMP (ไซคลิกจีเอ็มพี -cyclic monophosphate- สารที่มีฤทธิ์ทำให้กล้ามเนื้อเรียบในอวัยวะเพศคลายตัว) ซึ่งมีปริมาณน้อยในชายที่มีปัญหาเสื่อมสมรรถภาพ
จึงเสมือนทำให้มี cyclic GMP มากขึ้นเมื่อใช้ยาตัวนี้ ทำให้มีการขยายตัวของหลอดเลือดบริเวณอวัยวะเพศชาย
สามาราถมีเพศสัมพันธ์ได้
อย่างไรก็ตาม ยาตัวนี้เช่นเดียวกับยาตัวอื่น นอกจากจะมีประโยชน์แล้วมักมีผลข้างเคียงที่ไม่ต้องการร่วมด้วย เพียงแต่ต้องดูว่าข้อดีมีมากกว่าข้อเสีย หรือข้อเสียที่ว่าไม่รุนแรง
ก็ถือเป็นยาที่น่าใช้ อาการข้างเคียงของไวอากร้า
อาจเกิดเกือบทุกระบบของร่างกาย เช่น ปวดศีรษะ
ร้อนวูบวาบที่ใบหน้า ท้องอืด อาหารไม่ย่อย ปวดกล้ามเนื้อ และที่สำคัญห้ามใช้ร่วมกับยาในกลุ่มไนโตรกลีเซอรีน
ซึ่งใช้เป็นยาขยายหลอดเลือดหัวใจ การใช้ร่วมกันอาจทำให้
ความดันเลือดลดต่ำมาก จนเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ จึงเป็นข้อห้ามหรือใช้อย่างระมัดระวังในชายที่มีโรคหัวใจ (ทั้งจากขาดเลือดมาเลี้ยงหรือหัวใจล้มเหลวจากสาเหตุอื่น)
ผู้ที่ได้ยาลดความดันโลหิต ตลอดจนผู้ที่ได้รับยาหรือเป็นโรค
ซึ่งอาจทำให้ตัวยาไวอากร้าอยู่นานกว่าปกติ ผลข้างเคียงอีกอันหนึ่ง
ที่มีผู้กล่าวถึงคือ สายตา เป็นที่ฮือฮาว่าการบริโภคยาตัวนี้
อาจทำให้ตาบอดได้เป็นความจริงหรืออย่างไร
ตัวเอนไซม์ Phosphodiesterase มีอยู่ในเนื้อเยื่อหลายๆ ส่วนของร่างกายและตัวไวอากร้าสามารถสะกัดกั้นการทำงานของเอนไซม์ตัวนี้ ทั้งที่มีอยู่ในจอประสาทตา คือ phosphodiesterase-6 และ
phosphoesterase-5 ที่มีในเกล็เลือด ตลอดจนกล้ามเนื้อเรียบในร่างกาย ในจอประสาทตาตัวเอนไซม์ phosphodiesterase จะเป็นตัวควบคุม
cyclic GMP ที่มีอยู่ไม่ให้มีมากเกินไป ถ้าตัว cyclic GMP
ในจอประสาทตามีมากกว่าปกติ จึงทำลายเซลล์รับรู้การเห็น
ทำให้สายตามัวลง แต่เนื่องจากยานี้มีฤทธิ์อยู่ชั่วคราว
ก็น่าจะทำให้ระดับ cyclic GMP สูงขึ้นชั่วคราว จึงอาจมีผลต่อสายตาชั่วครู่
อย่างไรก็ตาม มีผู้พบตัวยานี้จะอยู่ในจอประสาทตาได้นานกว่าอวัยวะอื่น
กล่าวคืออยู่ได้นานถึง 24 ชั่วโมง ในการทดลองในหนูและในสัตว์ทดลอง และเป็นที่สงสัยว่าถ้ามีผู้บริโภคยาตัวนี้มากเกินไป
หรือบริโภคคิดต่อกันนานๆ จะเป็นเหตุให้ cyclic GMP สูงตลอด
จนทำลายเซลล์รับรู้การเห็นอย่างถาวรหรือไม่ คงยังไม่มีคำตอบ
สำหรับคำถามนี้ การรายงานจากผู้ใช้ยาตัวนี้ออกมาเรื่อยๆ
จะทำให้เรามีความรู้มากขึ้น
มีรายงานจากผู้เชี่ยวชาญทางจักษุวิทยาในสหรัฐอเมริกา
พบว่า ประมาณร้อยละ 3 ของผู้ป่วยที่ใช้ยาไวอากร้าในขนาด 2 เท่า ของขนาดที่แนะนำจะเกิดความผิดปกติของการมองเห็นขึ้น โดยจะมองอะไรเป็นสีฟ้าตลอดจนความรู้สึกเวลาเห็นแสงเปลี่ยนไป แต่อาการดังกล่าวจะเป็นอยู่ไม่กี่ชั่วโมง เข้าใจว่า
ตัวยาไวอากร้ามีฤทธิ์ไปกระตุ้น cone cell สีน้ำเงิน
หรืออาจจะไปยับยั้ง cone cell สีแดงและเขียว
จึงทำให้ผู้ใช้เห็นอะไรเป็นสีฟ้าชั่วคราว
จากการที่คิดว่าผลข้างเคียงที่ทำให้การเห็นผิดไป
หลังใช้ยาไวอากร้าน่าจะมาจากการมี cyclic GMP มากไป
หรือมีความผิดปกติของเอนไซม์ phosphodiesterase ทำให้นึกถึงผู้ป่วยโรคตาบางชนิดที่มีความผิดปกติของเอนไซม์
และมีสาร cyclic GMP มากกว่าปกติอยู่แล้ว ได้แก่
โรค retinal-conedysplasis, retinitis pigmentosa
ซึ่งผู้ป่วยเหล่านี้เป็นโรคทางกรรมพันธุ์ มีอาการตาพร่ามัวในระยะแรก
เป็นมากเวลากลางคืน เป็นโรคที่ไม่ทราบสาเหตุชัดเจน
ผู้ป่วยเหล่านี้จึงไม่ควรจะใช้ยาไวอากร้า
เพราะจะยิ่งทำให้โรคตาที่เป็นอยู่กำเริบขึ้น
ถ้าท่านเป็นผู้สูงอายุที่สนใจจะบริโภคยาตัวนี้ โดยที่ท่านมีประวัติของโรคตามัวตอนกลางคืน จึงควรได้รับการตรวจตาหรือปรึกษาจักษุแพทย์ก่อนเพื่อความปลอดภัย
กล่าวโดยรวมๆ การบริโภคยานี้ที่ปลอดภัย คงต้องเริ่มจากการใช้ยา
ในปริมาณที่แจ้งไว้ อย่าใช้มากหรือบ่อยเกินไป
หากมีโรคหัวใจรับประทานยาบางตัวเป็นประจำ
โดยเฉพาะยาลดความดันโลหิต ตลอดจนเป็นโรคตาบอดกลางคืน
ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญก่อนตัดสินใจใช้ยา
ศ.พญ.สกาวรัตน์ คุณาวิศรุต
|