โดยทั่วไปเรามักถือว่าน้ำตาเป็นเครื่องหมายของความอ่อนแอ
ความพ่ายแพ้ผิดหวัง เป็นความทุกข์ความเศร้าที่ไม่อยากพบ อยากได้
จึงไม่มีใครอยากจะคิดถึงรวมทั้งหาคำตอบใดๆ เกี่ยวกับน้ำตา
หรือการร้องไห้เลย แม้ว่าอาจเคยมีความสงสัยอยู่บ้าง ทำไมผู้หญิงจึงร้องไห้ง่ายกว่าผู้ชายหรือสงสัยว่า
น้ำตานอกจากจะใช้ในการร้องไห้แล้วจะใช้ประโยชน์อย่างอื่น
ได้อีกหรือไม่
ที่จริงธรรมชาติสร้างน้ำตามาให้มนุษย์ได้ใช้ประโยชน์หลายประการ ตั้งแต่มีน้ำตาไว้ทำความชุ่มชื้นแก่ดวงตา ช่วยป้องกันการอักเสบ
ติดเชื้อของดวงตา ใช้ล้างสิ่งระคายเคืองออกจากตา
ใช้เรียกร้องความเห็นอกเห็นใจ ความสงสารจากผู้พบเห็น ใช้เป็นเครื่องมือในการระบายเอาความทุกข์โศกออกไปจากจิตใจ
นอกจากนี้น้ำตายังทำให้กวี และนักประพันธ์เพลงหลายยุคหลายสมัย
ได้ใช้ประโยชน์ในการสร้างสรรค์วรรณกรรมชิ้นเอก
ที่ประทับใจผู้คนไว้มากมาย
นักชีวเคมีแห่งศูนย์วิจัยน้ำตา ชื่อ วิลเลี่ยม เฟรย์ ได้ให้ความสนใจและทำการศึกษาวิจัยเรื่องของน้ำตา
มาเป็นเวลานานกว่า 15 ปี ได้เขียนผลการวิจัยไว้น่าสนใจคือ
การหลั่งน้ำตาของคนเรานั้นถูกควบคุมโดยต่อมน้ำตา
ซึ่งจะเป็นผู้กำหนดความเข้มของน้ำตา และควบคุมปริมาณ
การขับถ่ายธาตุแมงกานีส รวมทั้งแร่ธาตุอื่นๆ ที่ร่างกายสร้างขึ้นขณะที่อารมณ์เปลี่ยนแปลงออกไปจากร่างกาย
และพบว่า ปริมาณของแร่ธาตุต่างๆ ที่มีในน้ำตานั้น
มากกว่าที่มีในกระแสเลือดถึง 30 เท่า และได้อธิบายว่า
การที่ผู้ร้องไห้จะสบายขึ้น เป็นเพราะว่าร่างกายได้ขจัดเอาสารเคมีต่างๆ ที่เกิดขึ้นในขณะที่มีความทุกข์ออกไปจากร่างกายพร้อมน้ำตานั่นเอง ในการศึกษาของเฟรย์พบว่าผู้ชาย 73% และผู้หญิง 75%
ที่กล่าวว่ารู้สึกสบายขึ้นหลังการร้องไห้
สิ่งที่น่าสนใจอีกประการหนึ่งคือ
ในเรื่องส่วนประกอบทางเคมีของน้ำตาที่หลั่ง
เนื่องจากสาเหตุที่แตกต่างกันพบว่า ประกอบด้วยสารเคมีบางอย่าง
ที่เหมือนกันและบางอย่างที่แตกต่างกัน ซึ่งได้มีการทดลอง
โดยใช้ชายหญิงจำนวนร้อยคนหลั่งน้ำตาด้วยสาเหตุที่แตกต่างกัน 2 วิธีคือ วิธีแรกโดยการหั่นหัวหอมสดทำให้เกิดการระคายเคืองตา
น้ำตาก็จะไหลออกมา กับอีกวิธีหนึ่งก็คือกระตุ้นให้เกิดความรู้สึก
สะเทือนอารมณ์โดยให้ดูภาพยนต์ 3 เรื่อง ที่ดูแล้วจะกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ แล้วนำน้ำตาที่หลั่งเนื่องจากสาเหตุทั้งสอง
มาวิเคราะห์หาส่วนประกอบดูความเหมือนและความแตกต่าง
พบว่าส่วนประกอบที่แตกต่างกันก็คือ ปริมาณของโปรตีนในน้ำตา น้ำตาที่หลั่งเนื่องจากความรู้สึกสะเทือนอารมณ์จะมีโปรตีนสูงกว่า
น้ำตาที่หลั่งเนื่องจากการระคายเคืองตาถึง 24%
และเราสามารถสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจนก็คือ
ผู้ที่ร้องไห้มากสาเหตุจากสะเทือนอารมณ์มักจะมีสุขภาพทรุดโทรมลง
อย่างรวดเร็ว ซึ่งน่าจะเป็นเพราะร่างกายต้องสูญเสียโปรตีนสูง
ประกอบกับในภาวะดังกล่าวมักจะมีอาการนอนไม่หลับร่วมด้วยนั่นเอง
จะเห็นได้ว่าน้ำตานั้นมิได้เป็นสิ่งที่ไร้ค่าไร้ประโยชน์เอาเสียเลยทีเดียว
และการร้องไห้ก็ไม่น่าจะถือเป็นเรื่องเสียหายอะไร
จนจำเป็นต้องใช้ความพยายามในการสะกดกั้นหลีกเลี่ยง ในยามที่มีความทุกข์เราก็ควรจะร้องไห้เพื่อระบายความทุกข์นั้น
ออกไปเสียบ้างแต่ที่สำคัญต้องไม่ลืมที่จะถนอมรักษาสุขภาพไว้บ้าง เพื่อเก็บแรงเก็บกำลังไว้คิดหาหนทางต่อสู้แก้ไขปัญหาที่มีอยู่
ให้ลุล่วงไปโดยเร็วน่าจะถือว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้องมากกว่า
ส่วนประกอบของน้ำตา
น้ำตานั้นประกอบด้วยสารเคมี 3 ชนิดที่ทราบกันดีว่า
เป็นสารเคมีที่เกิดขึ้นใน ขณะที่ร่างกายอยู่ในภาวะตึงเครียดได้แก่
สารเอนโดฟิน ซึ่งเชื่อว่าเป็นตัวรู้สึกผ่อนคลายความรู้สึกเจ็บปวด
ชนิดที่ 2 คือ เอซีพีเอช (ACPH) ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ถือได้ว่า
เป็นตัวบ่งชี้ได้มากที่สุดว่าร่างกายกำลังอยู่ในภาวะถูกกดดัน
และสารเคมีตัวที่ 3 ซึ่งเป็นตัวสำคัญที่นำมาใช้อธิบาย
ความแตกต่างระหว่างเพศในเรื่องการร้องได้คือ โพรแลกติน
ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่มีหน้าที่โดยตรงในการผลิตน้ำนม
ในสัตว์ที่เลี้ยงลูกด้วยน้ำนม โพรแลกตินนี้
จะเป็นตัวส่งเสริมการผลิตน้ำตาด้วย
จากข้อค้นพบนี้ได้ถูกนำมาอธิบายความแตกต่าง
ระหว่างเพศชายและหญิงในเรื่องการร้องไห้ว่า
เพราะผู้หญิงที่โตเป็นผู้ใหญ่มีระดับฮอร์โมนโพรแลกติน
ในกระแสเลือดสูงกว่าในวัยเดียวกันถึงเกือบ 60%
จึงทำให้ผู้หญิงร้องไห้ง่ายกว่าผู้ชาย สำหรับในวัยเด็กจนถึงวัยแรกรุ่น
เด็กชายและเด็กหญิงจะมีระดับทางฮอร์โมนโพรแลกติน
ใกล้เคียงกันจึงพบว่าเด็กชายและเด็กหญิงร้องไห้บ่อยพอๆ กัน
สำหรับผู้หญิงในวัยหมดประจำเดือน ซึ่งมีระดับของฮอร์โมนโพรแลกตินลดลงอย่างรุนแรงนั้นมักจะพบว่า
มีอาการตาแห้ง ซึ่งเนื่องมาจากต่อมน้ำตา หลั่งน้ำตามาหล่อลื่นได้ไม่เพียงพอ ผู้ที่มีอาการเช่นนี้ความสามารถในการหลั่งน้ำตาเสียไปบ้าง
จึงทำให้หลั่งน้ำตาได้ช้า แม้จะเกิดความรู้สึกสะเทือนอารมณ์ และด้วยเหตุผลนี้คนไข้บางรายจึงรักษาอาการตาแห้ง
โดยวิธีคิดถึงเรื่องที่สะเทือนอารมณ์ จนน้ำตาไหลออกมา และนี่ก็คงนับได้ว่าเป็นประโยชน์อีกประการหนึ่งของน้ำตาคือ
ใช้รักษาโรคทางกายบางโรคได้
|