มาที่นี่ที่เดียว ได้อ่านบทความทางด้านการแพทย์ ภาษาไทย จากเกือบทุกโฮมเพจที่มีใน INTERNET
http://geocities.datacellar.net/Tokyo/Harbor/2093/

[ คัดลอก จากหนังสือพิมพ์มติชนรายวันวันอาทิยต์ที่ 22 พฤศจิกายน 2541 ]

ใครเป็นสิวเชิญทางนี้

เภสัชกรสรจักร ศิริบริรักษ์


ชายหนุ่มคนหนึ่งยืนตะโกนที่สี่แยกไฟแดง "สิวเป็นเรื่องธรรมชาติ…" ธรรมชาติจริงหรือครับ ?

มีหลักฐานว่า สิวเป็นโรคของชาวศิวิไลซ์ซึ่งอาจมีความสัมพันธ์กับอาหารยุคใหม่ และสิ่งแวดล้อมเสื่อมโทรม นักวิทยาศาสตร์พบว่า ชาวพื้นเมืองเผ่าต่าง ๆ ที่อยู่ในป่าลึก จะเป็นสิวน้อยกว่าคนเขตเมือง และเมื่อคนป่าหันมากินอาหารตามวัฒนธรรมแบบใหม่ จะมีสิวมากขึ้น

น่าสนใจนะครับว่า แท้ที่จริงสิวมีความสัมพันธ์กับอาหารที่เรารับประทานด้วย

สิวกับอาหาร
ดังที่ผมได้กล่าวว่าไว้ในสัปดาห์ที่แล้วว่า การเลือกใช้อาหารเป็นยา เสริมฤทธิ์การรักษาป้องกันโรค และส่งเสริมสุขภาพ จัดเป็นการแพทย์ทางเลือกกระแสหลักที่หลาย ๆ คนพยายามเรียนรู้ เพื่อการดูแลสุขภาพด้วยตนเองโดยใช้สารสำคัญใกล้ตัว คือ สารเคมีในอาหารที่เรารู้จักกันดี เป็นส่วนใหญ่ เพราะนอกจากปลอดภัย ไม่สิ้นเปลืองเงินทองแล้ว ยังเข้าปรัชญาสุขภาพดีที่เริ่มตนเอง

สิวเป็นโรคสำหรับหนุ่มสาวก็ว่าได้ เพราะมักพบมากในหมู่วัยรุ่น และค่อยทุเลาเมื่ออายุยี่สิบห้า บางคนเกิดมาทั้งชีวิตมีสิวเม็ดเดียว ผิวผ่องเป็นยองใยก็โชคดีไป

แต่บางคนสิหน้าเหวอะ หมอไม่รับเย็บ แบบนี้ก็วิ่งวุ่นหายาสารพัด ชนิดมาประเคน จนหน้าลายเป็นตุ๊กแก

อย่ากระนั้นเลย เรามาเรียนรู้การปรับปรุงการบริโภคอาหารเพื่อบรรเทาสิวกันเถิด

แม้จนถึงวันนี้ วงการแพทย์เข้าใจกลไกในการเกิดสิวไม่แจ่มชัดนัก เพราะมีเหตุปัจจัยเกี่ยวข้อง หลายประการ แต่ในแง่ความสัมพันธ์กับอาหาร เราพอทราบว่า อาหารแบบตะวันตก อาหารขัดขาว อาหารที่ผลิตเชิงอุตสาหกรรม สามารถกระตุ้นให้สิวกำเริบในคนบางคน

สิวมีความสัมพันธ์กับผิวหน้าที่เป็นมัน ซึ่งเกิดจากต่อมไขมันที่ใบหน้าผลิต Sebum มากเกินไป
Sebum คือ ไขมันที่ถูกขับจากต่อมที่เรียก Sebaceou gland

การผลิต Sebum มากเกิดจากฮอร์โมนเพศเป็นหลัก โดยเมื่อย่างเข้าวัยรุ่น ร่างกายจะหลั่งเทสเทอโรน ซึ่งสร้างจากอัณฑะชายหนุ่มและต่อมหมวกไตของหญิงสาว

ฮอร์โมนนี้เองเป็นตัวกระตุ้นต่อมน้ำมันที่ผิวหน้า ให้สร้างน้ำมันออกมามากจนอาจทำให้รูขุมขน เกิดอุดตัน กระตุ้นให้เกิดสิวในที่สุด

ในแง่ความสัมพันธ์ระหว่างสิวกับอาหารพบว่า เมื่อคุณทานอาหารไขมันมาก Sebum ก็จะถูกผลิตมากขึ้น สำหรับคนปกติ เมื่อทานอาหารมัน Sebum จะถูกผลิตไม่มากนัก แต่สำหรับคนผิวมัน จะเห็นปรากฏการณ์นี้ชัดเจน

ดังนั้น คนเป็นสิวจึงควรทานอาหารมันให้น้อยที่สุด หรืออาจกล่าวว่าอาหารมันแสลงโรคสิว ก็ว่าได้

นอกจากนี้ ผู้เชี่ยวชาญหลายท่านยังเสนอแนะว่า คนเป็นสิวมาก ควรเลือกใช้เฉพาะน้ำมันพืชชนิดที่ มีไขมันไม่อิ่มตัวมาก ๆ หน่อย และลดไขมันสัตว์กับน้ำมันพืชชนิด จำพวกไฮโดรจิเนต (Hydrogenated Vegetable Oil)

เฮ้อ!…เจอศัพท์วิชาการชักมึนหัวแล้วสิเรา

ไขมันไม่อิ่มตัวคืออะไร ?
ไขมันในอาหารมี 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ หนึ่ง ไขมันอิ่มตัว (Saturated) พบในไขมันสัตว์ นม ครีม เนยแท้ และผลิตภัณฑ์จากสัตว์ สอง ไขมันไม่อิ่มตัว (Unsaturated) พบในน้ำมันข้าวโพด น้ำมันดอกทานตะวัน น้ำมันปลาทะเล น้ำมันมะกอก น้ำมันถั่วลิสง เป็นต้น

ดังนั้น น้ำมันพืชที่ใช้ปรุงอาหาร สำหรับคนมีสิวมากควรเลือกชนิดที่ไม่อิ่มตัว
ประเภทน้ำมัน ไขมันอิ่มตัว ไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว ไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน
มะกอก14 % 76%9%
ถั่วลิสง 17%47% 32%
ถั่วเหลือง15% 24% 59%
ข้าวโพด13% 25% 59%
ทานตะวัน11% 20% 67%
มะพร้าว89% 6%2%
หมู 83% 45% 11%
และในบรรดาน้ำมันพืชที่ยกตัวอย่างมา น้ำมันมะพร้าว ดูจะอเนจอนาถอนาถาที่สุด เพราะมีไขมันอิ่มตัว ถึง 89% สูงกว่าน้ำมันหมูเสียอีก

บางท่านอาจบอกว่า ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยใช้น้ำมันมะพร้าวปรุงอาหาร จะไปกลัวมันทำไม

โถ…กะทิไงล่ะครับ วันละสามมื้อ เช้าเที่ยง เย็น ไขมันไฮโดรจิเนตที่แสลงสำหรับโรคสิวนั้น เรียกอีกอย่างว่า ไขมันแปลงสภาพ

เรารู้กันแล้วว่า ไขมันอิ่มตัวทำให้เกิดการอุดตันของรูขุมขนที่ผิวหน้าได้ง่าย มีมากในไขมันสัตว์ทุกชนิด รวมทั้งนม เนย ไข่ แต่มีน้อยในน้ำมันพืช

หลาย ๆ คนจึงเลี่ยงไปหาน้ำมันพืช ซึ่งเชื่อว่าปลอดภัยต่อสุขภาพ ใช้เนยเทียมซึ่งทำจากน้ำมันพืช แทนเนยแท้ แต่หาทราบไม่ว่าผู้ผลิตเชิงอุตสาหกรรมได้ใช้ขบวนการ ไฮโรจีเนชั่น (Hydrogenation) ทำให้น้ำมันพืชซึ่งมีราคาถูกและปลอดภัย เปลี่ยนรูปไปเป็นไขมันก้อน กลิ่น รส สีสันคล้ายไขมันสัตว์

อาหารสำเร็จรูปส่วนใหญ่จะใช้ ไขมันแปลงสภาพผสมแทนไขมันสัตว์ เพื่อลดต้นทุน สามารถวางขายในตลาดได้นาน โดยไม่เหม็นหืน ทำให้อาหารสำเร็จมีหน้าตาดี และรสดีกว่าการใช้น้ำมันพืช

ไขมันแปลงสภาพจึงเป็นที่นิยมมากในอุตสาหกรรมผลิตอาหารจำพวกฟาสต์ฟู้ด ขนมปัง เค้ก ของขบเคี้ยว ของหวานประเภทสอดไส้และพิซซ่า ซึ่งวัฒนธรรมการบริโภคของคนเมืองทุกวันนี้กำลังเปลี่ยนไป มีการบริการส่งพิซซ่าถึงบ้าน ไอศกรีม แฮมเบอร์เกอร์ ชีสเบอร์เกอร์ มีขายริมถนนไม่น้อยหน้า ขนมครกหน้ากะทิข้นคลั่ก หรือปาท่องโก๋ทอดน้ำมันปาล์ม

ไม่แปลกอะไร ที่สิวในคนเมืองจึงมากกว่าสิวชาวป่าชาวเขา ไขมันอิ่มตัวจะมีคุณสมบัติเป็นไขง่าย คุณอาจเคยเห็นโฆษณาชิ้นหนึ่ง ที่เอาน้ำมันพืชไปแช่ตู้เย็นเปรียบเทียบกัน ยิ่งไขมันอิ่มตัวมากเท่าไร ยิ่งมีโอกาสเกาะแข็งตัวได้ง่ายเท่านั้น

ด้วยเหตุนี้ผู้เชี่ยวชาญจึงแนะนำ ให้ลดไขมันอิ่มตัวลง เพื่อมิให้รูขุมขนที่หน้าอุดตันเพราะไขมัน อันจะเพิ่มความเสี่ยงให้สิวเห่อกำเริบมากขึ้น

และสำหรับชายหนุ่ม พบว่าการทานของหวาน แป้งน้ำตาลปริมาณมาก โดยเฉพาะขนมหวาน จำพวกทองหยิบ ทองหยอด ฝอยทอง ชุ่มน้ำเชื่อมนั้น จะเพิ่มการผลิตไขมันที่หน้าได้มากขึ้น อย่างน่ากลัว ของหวานจึงเป็นอาหารแสลง สำหรับคนเป็นสิวอีกประการหนึ่ง

แต่อย่างไรก็ตาม มีงานวิจัย 3 ชิ้น ที่ไม่พบว่า การงดของหวานเด็ดขาดจะระงับการอักเสบของสิวได้

สรุปง่าย ๆ คือ ว่าอย่ากินของหวานจัด ถ้าจะกินก็ลองสังเกตดูว่าสิวกำเริบหรือไม่

นอกจากนี้ ยังพบว่าคนบางคนจะแสลงกับอาหารบางชนิด เช่น กาแฟ โกโก้ ช็อกโกแลต โค้ก เป๊ปซี่ เม็ดมะม่วงหิมพานต์ ลูกก่อ เกาลัด ถั่วลิสง ซึ่งเป็นคุณสมบัติเฉพาะบุคคล ต้องหมั่นสังเกตด้วยตนเอง เสมอ ๆ

อย่าเอาแต่วิ่งไปคลินิกให้หมอกดสิวแล้วจ่ายสตางค์ โดยไม่ค้นหาสาเหตุด้วยตนเอง

ดังที่กล่าวตอนต้นว่า ชาวป่าชาวเขาไม่ค่อยเป็นสิว นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า เป็นเพราะอาหารที่พวกเขากินมีไฟเบอร์สูงนั่นเอง

ไฟเบอร์อะไรอีกแล้วล่ะ ?
ลองจิตนาการถึงมนุษย์ยุคดึกดำบรรพ์ดูสิครับ อาหารของพวกเขาคงเป็นผักผลไม้สด ๆ ที่เก็บหน้าถ้ำ หรือเนื้อที่ล่าได้ ย่างหอมฉุย อาหารสมัยโบราณล้วนมีไฟเบอร์-เส้นใย กากอาหาร เป็นองค์ประกอบ

นักวิทยาศาสตร์ประมาณว่า อาหารที่มนุษย์ดึกดำบรรพ์รับประทานม่ไฟเบอร์จากพืช เจือปนถึง 65% แต่วิวัฒนาการของอาหารยุคอุตสาหกรรม เราได้ประดิษฐ์เครื่องมือที่สามารถขจัดไฟเบอร์ ออกจากอาหารโดยการขัดสี บด ขยี้ สกัดจนเจ้าไฟเบอร์ และวิตามินที่มีประโยชน์หลายชนิด ถูกกำจัดเกือบหมด

ข้าวขัดขาวอร่อยกว่าข้าวซ้อมมือใช่ไหมครับ
เพราะมันไม่มีไฟเบอร์ แข็งกระด้างติดคอน่ารำคาญ ขนมแป้งทั้งหลายทุกวันนี้ ไม่ว่าจะเป็นบัวลอย สาคู สอดไส้ ขนมกวน ขนมปัง ขนมเค้ก บะหมี่สำเร็จ ก๋วยเตี๋ยวล้วนทำจากแป้งที่ไม่มีไฟเบอร์ เรียกว่าอาหารมนุษย์ยุคใหม่คือ อาหารไร้ไฟเบอร์

ตรงข้ามกับอาหารของชาวเขาชาวบ้านในชนบทที่มีไฟเบอร์สูงมาก ไม่มีการกินข้าวขัดขาว น้ำตาลฟอกขาว หรือขนมคบเคี้ยวไร้สาระแต่อย่างไร พวกเขาอยู่กับพืชผักธรรมชาติ

หากคุณกินผักผลไม้ให้ได้วันละห้าถ้วยตวง กินข้าวซ้อมมือ คุณจะได้ไฟเบอร์เพียงพอ ใกล้เคียงกับ คนสมัยก่อน นอกจากจะช่วยบรรเทาอาการสิวแล้ว มันยังช่วยปกป้องคุณจากมะเร็งบางชนิด ลดอัตราเสี่ยงจากอาการหลอดเลือดเลี้ยงหัวใจตีบตัน ช่วยลดความอ้วน และควบคุมเบาหวาน และยังประโยชน์ต่อผู้ที่มีอาการท้องผูก และริดสีดวงทวารด้วยครับ

ใครอยากหายจากสิว ก็ลองทานอาหารอิงธรรมชาติดูสิ นอกจากสิวยุบแล้วยังเป็นคุณอเนกอนันต์ กับร่างกาย สุขภาพดีต้องเริ่มที่ตัวเรา

ใครเป็นสิว…เชิญทางนี้
สิวเป็นโรคของคนหนุ่มสาว มีทั้งสิวเสี้ยน หัวดำ หัวขาว หัวช้างหรือขยายลุกลามเหวอะหวะ กลายเป็นแผลเป็นที่หน้าได้ เราได้พูดถึงอาหารบางชนิด ที่มีส่วนกระตุ้นให้สิวกำเริบได้ คราวนี้เราลองมาเรียนรู้กันนะครับว่า การใช้วิตามิน และเกลือแร่ในการเสริมการรักษาสิว และช่วยลดการกำเริบของสิวนั้น เขาทำกันอย่างไร

วิตามินเอ
เรามักรู้จักวิตามินเอ ในรูปของน้ำมันตับปลา กลิ่นคาวบรรจุในแคปซูลใส ๆ นิ่ม ๆ ในบรรดาตำรับยารักษาสิวที่ใช้ โลกวงการแทพย์ให้น้ำหนักกับวิตามินเอมากที่สุด

งานวิจัยระยะแรกพบว่า คนเป็นสิวส่วนใหญ่ จะหายดีด้วยการใช้วิตามินเอในขนาดสูงมาก ๆ คือ 300,000-500,000 หน่วยสากล แต่ขนาดสูงมากเช่นนี้ ย่อมก่ออันตรายได้เช่นกัน เพราะวิตามินเอจะถูกเก็บสะสมไว้ที่ตับ เมื่อรับประทานต่อเนื่อง

ดังนั้นจึงไม่ควรซื้อหาวิตามินเอ มารับประทานเอง ในขนาดสูงเกิน 10,000 หน่วยสากล เว้นแต่อยู่ในความดูแลของแพทย์ ในขนาดต่ำกว่าที่กล่าว วิตามินเอค่อนข้างปลอดภัย แต่ฤทธิ์การรักษาก็ลดลงเช่นกัน ปัญหานี้แก้ได้บางส่วน หากจ่ายวิตามินเอร่วมกับวิตามินอี

การทานวิตามินเอไม่เกินวันละ 100,000 หน่วยสากล ร่วมกับวิตามินอี 800 หน่วยสากล พบได้ว่าผลพอควรในการรักษาสิว พร้อมกับช่วยลดพิษจากวิตามินเอ ด้วย

หลายปีมานี้ มีการค้นพบผลิตภัณฑ์จากวิตามินเอ ที่ช่วยรักษาสิว และเป็นที่นิยมในวงการแพทย์ 2 ตัว คือ Isotretinoni กับ Tretinoin ซึ่งตัวหลังมีจำหน่ายในประเทศไทยในรูปครีม

เทรทิโนอิน (Tretinoin) เรียกอีกอย่างว่า กรดวิตามินเอ หรือ เรติโนอิน แอซิด เป็นวิตามินเอ ที่เปลี่ยนรูปให้สามารถใช้ทาผิวหนังได้โดยตรง ได้ผลค่อนข้างดี

แต่มีข้อเสียคือ ให้ผิวหนังระคายเคืองได้ง่าย คนจึงไม่นิยม ต่อมาภายหลังมีการปรับปรุงสูตรตำรับ ลดความแรงเปลี่ยนรูปเป็นครีมและเจล จึงเริ่มกลับมานิยมอีกครั้ง

ข้อด้อยอีกประการหนึ่งของเทรทิโนอิน คือ มันใช้ได้ดีกับสิวทั่วไป แต่ในกรณีที่กำเริบหนัก วิตามินเอกับวิตามินอี ชนิดรับประทานจะมีฤทธิ์แรงกว่า

ปัจจุบันแนวทางการใช้วิตามินเอ ชนิดรับประทานรักษาสิว คือ วิตามินเอ วันละ 100,000 หน่วยสากล ร่วมกับวิตามินอี วันละ 800 หน่วยสากล และควรให้แพทย์ดูแลสม่ำเสมอ นอกจากนี้เพื่อป้องกันพิษจากวิตามินเอ เมื่อเห็นว่าอาการสิวทุเลาลงแล้ว ให้ลดวิตามินทั้งสองชนิดลง เป็นลำดับ จนเหลือขนาดเพียงพอ ที่จะไม่ทำให้อาการกำเริบอีก และไม่ควรใช้วิตามินเอ ชนิดรับประทาน นานเกิน 4 เดือน

สำหรับวิตามินเอชนิดครีม หรือเทรทิโนอินนั้น หากทาแล้วอาจทำให้เกิดระคายเคืองแสบร้อน หน้าเป็นขุย แก้ด้วยการหลีกเลี่ยงแสงแดดจัด และใช้มอยซ์เจอร์ไรซิ่งครีม หรือโลชั่นทาชโลมผิว ก็ช่วยได้ และควรทาครั้งเดียวก่อนนอนหรือลดขนาดความแรงลง

วิตามินบี
ในหญิงหลายราย จะเกิดอาการหงุดหงิด เศร้าซึม มีสิวมากในช่วงก่อนประจำเดือนมา บางรายอาจเหนื่อยง่าย เจ็บหน้าอก ท้องอืด นิ้วมือและข้อเท้าบวม

งานวิจัยหลายชิ้นให้ผลตรงกันว่า วิตามินบี 6 ช่วยลดอาการสิวกำเริบในช่วงก่อนมีประจำเดือน ในหญิงวัยรุ่นได้เป็นอย่างดี รวมถึงอาการผิดปกติในรอบเดือนด้วย เช่น อาการร้อนวูบวาบ หงุดหงิด

คุณอาจได้รับวิตามินบี 6 จากอาหารประเภทเนื้อ ตับ ไต สำหรับในพืช คุณจะพบวิตามินบี 6 สูง ในข้าวซ้อมมือ แต่พืชทั่วไปมีวิตามินบี 6 ไม่มากนัก เช่น กล้วย ลูกพรุน ลูกเกด ถั่วต่าง ๆ นมและผักต่าง ๆ เป็นแหล่งอาหารที่มีวิตามินนี้น้อยกว่าแหล่งอื่น ๆ

ตัวอย่างการทดลอง มีการให้วิตามินบี 6 ขนาด 50 มิลลิกรัม แก่หญิง 106 คน ก่อนมีประจำเดือนหนึ่งอาทิตย์ และให้กินขณะมีประจำเดือนด้วย พบว่าผู้ทดลองมีอาการดีขึ้น (คือ เป็นสิวลดลง) ถึงร้อยละ 72

กล่าวได้ว่า วิตามินบี 6 ไม่มีพิษ ไม่เคยมีผู้ป่วย รายใดซึ่งได้รับวิตามินบี 6 ในปริมาณระดับสูง แล้วเกิดอาการพิษ

แร่ธาตุซีลีเนียม
ปัญหาประการหนึ่งของคนเป็นสิวคือ การสร้างสิ่งที่เรียกเป็นภาษาการแพทย์ว่า pustules มีลักษณะเป็นกระเปาะสีขาวเล็กข้างในเป็นหนอง เกิดจากการติดเชื้อ ถ้าลองบีบแรง ๆ หนองก็จะทะลักออกมา

มีการศึกษาพบว่า ซิลีเนียม สามารถลดกระเปาะหนองพวกนี้ได้ อาจเป็นเพราะแร่ธาตุซิลีเนียม ช่วยต้านการติดเชื้อ แต่มีข้อสังเกตว่าคนที่ทานซีลีเนียมแล้วอาการดีขึ้น คือ คนที่ตามปกติมีซีลีเนียมในกระแสเลือดต่ำ เมื่อกินซีลีเนียมเข้าไปอาการก็ดีขึ้นทันตาเห็น

ตามปกติซีลีเนียมจะทำงานร่วมกับวิตามินอีอย่างใกล้ชิด ดังนั้นในสูตรยารักษาสิว ส่วนใหญ่ จึงนิยมจ่ายซีลีเนียม และวิตามินอีร่วมกัน ขนาดที่นิยมคือ ซีลีเนียมอินทรีย์ (เช่น Selenomethionine) ขนาด 200 ไมโครกรัม ต่อวันร่วมกับวิตามินอี 400 หน่วยสากลต่อวัน เช่นกัน แนวการรักษาเช่นนี้ จะดีต่อเมื่อมีสิวติดเชื้อ

แร่ธาตุสังกะสี
คนที่เป็นสิวมาก จะมีระดับสังกะสีในเลือดต่ำกว่าคนที่เป็นสิวน้อย การค้นพบนี้ให้คำแนะนำว่า สังกะสีอาจมีผลต่อการเกิดสิว โดยเฉพาะสิวที่อักเสบเป็นหนอง

การทดลองบางชนิดแสดงว่า การให้เกลือแร่เสริมที่มีสังกะสีเป็นส่วนประกอบ ช่วยลดการอักเสบของสิวลงได้ การทำงานของมันคล้ายซีลีเนียม คือ ช่วยลดการติดเชื้อ

อาหารในชีวิตประจำวันที่มีแร่ธาตุสังกะสี ในปริมาณมากพอสมควรได้แก่ ข้าวซ้อมมือ อาหารที่มีส่วนผสมของยีสต์ เช่น ข้าวหมากหรือขนมปัง อาหารทะเล เนื้อสัตว์ เป็นแหล่งสังกะสีที่ดี เพราะดูดซึมง่ายกว่าพวกพืชผัก

กรณีที่ท่านเลือกท่านวิตามิน เกลือแร่ ชนิดเม็ด ขอแนะนำให้เลือกสูตรที่มีส่วนผสมของสังกะสี ทองแดง และซีลีเนียมอยู่พร้อมหน้ากัน เพื่อช่วยเสริมประสิทธิภาพ

ในเมืองไทย มีผลิตภัณฑ์เสริมสังกะสีวางจำหน่ายหลายยี่ห้อ เลือกให้เหมาะกับเงินในกระเป๋านะครับ โฆษณามากก็แพงมากขึ้นเป็นเงาตามตัว ปรึกษาเภสัชกรประจำร้านยาดูได้ครับ

สังกะสีกับวิตามินเอ อย่างไหนให้ผลดีกว่ากัน?
เรื่องนี้ยังไม่มีข้อสรุป ต้องมีการวิจัยสนับสนุนอีกมาก อย่างไรก็ตามงานวิจัยชิ้นหนึ่งทำโดย แยกคนเป็นสิวเป็น สามกลุ่ม ให้กินวิตามินเอ สามแสนหน่วยสากลต่อวัน กินสังกะสีซัลเฟต 135 มิลลิกรัมต่อวัน และกินยาหลอก พบว่าสังกะสีให้ผลดีที่สุดอย่างเห็นได้ชัด ดังนั้นขนาดรักษาสิวในการแพทย์ทางเลือกคือ 135 มิลลิกรัมต่อวัน

คำแนะนำเพิ่มเติม
  1. ควรล้างหน้าและซับไขมันออกจากใบหน้าวันละ 3-4 ครั้งต่อวัน เพื่อชะล้างไขมันสะสม และขจัดเศษเซลล์สกปรกที่ตายแล้ว เป็นการช่วยลดความเสี่ยงจากการติดเชื้อ
  2. ขณะทำความสะอาดผิวหน้า ใช้น้ำเปล่าหรือสบู่อ่อนที่ไม่ระคายเคืองและสามารถชะล้างไขมันได้ดี
  3. การใช้เครื่องสำอางทาผิวหน้าอาจไปทำให้ต่อมไขมันอุดตัน จึงควรหลีกเลี่ยง

สรุป
หลักการรักษาสิวโดยการแพทย์ทางเลือก เน้นการปรับตัวเข้าหาธรรมชาติเป็นสำคัญ กินผักผลไม้ ให้ได้ห้าถ้วยต่อวัน ระวังอย่าให้ท้องผูก ฝึกกินอาหารธรรมชาติที่ไม่ขัดขาว เช่น ข้าวซ้อมมือ งดอาหารหวานจัด และพยายามค้นหาด้วยตนเองว่า อาหารชนิดใดน่าจะแสลงโรค เพราะสิ่งเหล่านี้ได้รับการพิสูจน์ระดับหนึ่งแล้วว่า มีผลต่อการเกิดสิว

คุณอาจใช้หลายวิธีที่กล่าวมาเพื่อบรรเทาสิวร่วมกัน แต่หากสามเดือนผ่านไปไม่มีอะไรดีขึ้น แสดงว่าวิธีเหล่านี้ไม่เหมาะกับคุณ หากดีขึ้นจงพิจารณาลดวิธีที่อาจไม่เป็นประโยชน์ต่อตัวคุณลง ทดลองอย่างใจเย็นแล้วคุณอาจพบวิธีที่ดีที่สุดสำหรับตัวเอง

ผู้หญิงที่มักมีอาการสิวกำเริบช่วงก่อนมีประจำเดือน ควรเน้นการรับประทานวิตามินบี 6 เป็นอันดับแรก และอาจเสริมด้วยแมกนีเซียม จะได้ผลยิ่งขึ้น ส่วนคนที่เป็นสิวอักเสบเป็นหนอง สังกะสี ซีลีเนียม และวิตามินอีน่าจะเหมาะที่สุด

การใช้วิตามินเอ ขนาดสูงนาน ๆ ควรหลีกเลี่ยงเว้นแต่จะได้รับความเห็นชอบจากแพทย์
กรรมพันธุ์เอง ก็อาจจะมีความสัมพันธ์กับการเกิดสิว พ่อแม่เป็นสิวมาก ลูกอาจได้รับการถ่ายทอด ความเครียดก็เป็นเหตุปัจจัยที่สำคัญ ควรทำใจร่าเริง พักผ่อนเพียงพอ

แนวคิดปรัชญาการแพทย์แผนตะวันออกบอกว่า โรคหรืออาการผิดปกติใด ๆ เกิดจากความไม่สมดุลภายในร่างกาย มีหลายปัจจัยร่วมกัน

การแก้ไขจึงต้องทำอย่างประณีต ค่อยเป็นค่อยไป และยึดแนวคิดพึ่งตนเองเป็นอันดับแรกครับ

เภสัชกรสรจักร ศิริบริรักษ์


ขอบคุณหนังสือพิมพ์มติชนรายวัน ที่อนุญาตให้นำมาเผยแพร่

[ BACK TO LIST]
main พบแพทย์ คอมพิวเตอร์ เรื่องบ้าน เรื่องรถ เรื่องกฏหมาย เรื่องของผู้บริโภค เรื่องเบาๆ คลายเครียด

มีปัญหาสุขภาพ ที่นี่มีคำตอบ ห้องสมุดE-LIB[ hey.to/yimyam ][ i.am/thaidoc ]

Best view with [IE3.02][NETSCAPE 4.05][OPERA 3.21]resolution 800x600
1