มาที่นี่ที่เดียว ได้อ่านบทความทางด้านการแพทย์ ภาษาไทย จากเกือบทุกโฮมเพจที่มีใน INTERNET
http://geocities.datacellar.net/Tokyo/Harbor/2093/

[ คัดลอก จากหนังสือพิมพ์มติชนรายวันวันอาทิยต์ที่ 6-13 ธันวาคม 2541 ]

อาหารบรรเทาหวัด

เภสัชกรสรจักร ศิริบริรักษ์


หน้าหนาวมาเยือน คุณพ่อคุณแม่ชักปวดหัว เพราะคุณลูกเล่นจามฮัดเช่ย ๆ วันละสามเวลา น้ำมูกไหลยืดเป็นตังเม เคราะห์ร้ายนอนซมจับไอโขลกต้องส่งหมอ

พ่อแม่หน้างอเพราะเงินไม่มี โชคดีแค่สองสามร้อย โชคร้ายหน่อยก็โดนเป็นพัน

อย่ากระนั้นเลย ชาวประชายุคไอเอ็มเอฟทั้งหลาย หาทางป้องกัน และบรรเทาหวัดด้วยวัตถุดิบ ที่มีอยู่รอบกายกันเถอะ มาดูกันซิว่าเราจะป้องกันหวัดได้อย่างไร และถ้าจับพลัดจับผลูเป็นหวัด คัดจมูก น้ำมูกไหล เราจะเลือกหาสารอาหารในครัวเรือนแบบไหนดี ที่จะช่วยผ่อนหนักให้เป็นเบา ได้อีกแรง นอกจากยาบรรเทาอาการหวัดคัดจมูก ที่คุณหมอจัดให้

ธรรมชาติของหวัด
ว่ากันว่า ในปีหนึ่ง ๆ มีคนเพียง 4-6% รอดพ้นจากหวัดได้ เพราะเวลาจามหนึ่งที เชื้อสามารถกระเด็นข้ามจากผนังด้านหนึ่งไปอีกด้านหนึ่งได้ทีเดียว

ดังนั้นจึงเป็นเรื่องธรรมดาสามัญเสียเหลือเกิน สำหรับคนไทยที่อาศัยอยู่ในเขตร้อนชื้น จะเป็นหวัดได้ปีละหลายหน

ไข้หวัด หรือที่เรียกเป็นภาษาอังกฤษว่า Common Cold เป็นโรคที่พบบ่อยที่สุดทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ ปีหนึ่งหลายครั้ง เพราะหวัดเกิดจากเชื้อไวรัสที่มีมากมายในโลกนี้กว่า 200 ชนิด

การป้องกันที่ดีที่สุดคือ พยายามทำร่างกายให้แข็งแรง ด้วยการพักผ่อนเพียงพอ กินอาหารมีคุณค่า และออกกำลังสม่ำเสมอร่วมกับการไม่สัมผัสผู้ป่วยหวัด ห่างไว้เป็นดีที่สุด

เราจะสังเกตได้ว่า หวัดธรรมดาที่เกิดจากไวรัสนี้ ถ้าไม่มีโรคแทรกซ้อน จะไม่มีอาการรุนแรงมากนัก ในผู้ใหญ่ อาจเป็นแค่ คัดจมูกน้ำมูกไหล และน้ำมูกจะมีลักษณะใส ปวดเมื่อยตามตัวเล็กน้อย ในเด็กอาจมีไข้ ท้องเดินร่วมด้วย

เนื่องจากยังไม่มียาฆ่าเชื้อโรคไวรัสหวัด วิธีรักษาหวัดโดยทั่วไปคือ พักผ่อนให้มาก ทานอาหารที่ช่วยที่เพิ่มภูมิคุ้มกัน สวมเสื้อผ้าให้อบอุ่นเสมอ และดื่มน้ำให้มาก

บางคนอาจสงสัยว่า เอ๊ะ! ถ้ายังไม่มียาฆ่าเชื้อหวัด แล้วที่หมอให้เป็นน้ำเชื่อมบ้าง เป็นเม็ดสีเหลืองกินแล้วง่วงบ้าง มันคืออะไรล่ะ

พวกนั้นเป็นยาแก้ไข้ แก้ไอ ลดน้ำมูก หรือยาปฏิชีวนะที่ฆ่าเชื้อแทรกซ้อนอื่น ๆ ครับ หมอจัดให้เพื่อช่วยบรรเทาอาการไม่พึงปรารถนาแต่ไม่ได้ฆ่าเชื้อหวัดโดยตรง เวลาเป็นหวัด คุณจึงต้องอาศัยสัจธรรม "ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน" โดยแท้ เพราะคุณต้องใช้ภูมิคุ้มกันในตัวเอง ต่อสู้กับเชื้อหวัด หากภูมิคุ้มกันดี คุณก็หายเร็ว ภูมิคุ้มกันต่ำ ก็ล้มหมอนนอนเสื่อเอาง่าย ๆ เผลอ ๆ โดนโรคแทรกซ้อนเช่น ปอดบวม หลอดลมอักเสบ ฯลฯ ถึงตายได้เชียว

จึงเห็นได้ว่าหากคุณเป็นหวัดธรรมดา คุณไม่จำเป็นต้องกินยาอะไรเลย เพราะไม่มียาฆ่าเชื้อหวัดดังที่กล่าวแล้ว เว้นเสียแต่กรณีเป็นไข้หวัดใหญ่ จึงต้องระวังเป็นพิเศษ

ไข้หวัดใหญ่เกิดจากเชื้อไวรัสพิเศษ ชื่อ Influenza Virus ก่ออาการรุนแรงกว่าหวัดธรรมดา เราจึงเรียกไข้หวัดใหญ่ (Influenza หรือFlu) ไวรัสชนิดนี้ ค่อนข้างจะมีอานุภาพรุนแรง บางปีถึงกับระบาดพร้อมกันทั่วโลก หากระบาดจากประเทศใดก่อน เราก็จะเรียกชื่อเป็นเกียรติตามนั้น เช่น หวัดฮ่องกง หวัดสิงคโปร์ เป็นต้น (คงไม่เป็นเกียรติเท่าไร)

อาการของไข้หวัดใหญ่ จะเริ่มจากไข้สูง หนาว ๆ ร้อน ๆ ปวดกล้ามเนื้อ มากเป็นพิเศษ ขมในคอ ไม่อยากอาหาร เพลีย คอแห้ง และเจ็บไอแห้ง ๆ อาจมีหรือไม่มีน้ำมูกก็ได้ อาการไออาจอยู่นานถึงหนึ่งเดือนจึงหายไป

เช่นเดียวกัน การดูแลตนเองทำเหมือนไข้หวัดธรรมดา เพราะเป็นเชื้อไวรัส ยังไม่มียาฆ่า แต่ควรหมั่นสังเกตว่า หากมีเสมหะข้นเหลืองหรือเขียว ควรพบแพทย์เพื่อรับยาปฏิชีวนะ เพราะแสดงว่า มีการแทรกซ้อนของเชื้อแบคทีเรียแล้วครับ ไม่ควรกินยาระงับการไอโดยไม่จำเป็น เพราะการไอเป็นกลไกธรรมชาติ ที่ร่างกายใช้ในการดันเสมหะให้กระเด็นหลุดจากทางเดินหายใจ ควรดื่มน้ำร้อนมาก ๆ เพื่อให้ร่างกายขับเสมหะออกง่ายขึ้น

หากไม่ดูแลตัวเองให้ดี คุณอาจพบอาการแทรกซ้อนตามมา เช่น มีแบคทีเรียมารุมกินโต๊ะด้วย ทำให้เสมหะข้นเหลืองเขียวเจ็บใต้คางบริเวณต่อมน้ำเหลือง หูอักเสบ (โดยเฉพาะ คนที่ชอบอุดจมูกเวลาจามลมจะดันเข้าหูพาเอาเชื้อโรคเข้าไปในหูชั้นกลาง เวลาเคี้ยวอาหารจะปวดหูและมีเสียงกึก ๆ ที่กราม หลายคนเข้าใจผิดคิดว่ากรามเคลื่อน ถ้าเชื้อลามมาถึงกล่องเสียงจะทำให้เสียงแหบ) หรือเป็นต่อมทอนซิลอักเสบ

อาการต่อมทอนซิลอักเสบ เรียกเป็นภาษาการแพทย์ว่า Tonsillitis จะทำให้คุณมีอาการไข้สูง เจ็บคอมาก โดยเฉพาะเวลากลืนอาหารหรือน้ำลาย เจ็บจนนึกว่า กำลังกลืนเสี้ยนไม้เข้าไป บางรายปวดร้าวถึงหู

ตอนเป็นเด็ก เป็นหวัดเจ็บคอไปหาหมอ สิ่งที่กลัวที่สุดเห็นจะเป็นแผ่นสเตนเลสเป็นเงา ที่หมอชอบสอดเข้าไปในปาก พยายามกดลิ้นเราและเราก็จะดิ้นหนีสุดชีวิต เพราะมันมักถลำลึกไปโดนผนังลำคอ โอย…แหวะทุกที

หมอทำเช่นนี้ เพราะต้องการจะกดลิ้นของเราลงเพื่อดูต่อมทอนซิลนั่นเอง ถ้ามีเชื้อแบคทีเรียลุกลามเข้าไป จะพบต่อมทอนซิลบวมแดง ขนาดใหญ่ขึ้น และมีเยื่อขาว ๆ ปกคลุม

กรณีเช่นนี้ หมอจะจ่ายยาปฏิชีวนะ (Antibiotics) และแนะนำให้ดื่มน้ำมาก ๆ และพักผ่อนให้เต็มที่ หากคุณเป็นต่อมทอนซิลอักเสบบ่อย แพทย์อาจพิจารณาผ่าตัดเอาต่อมทอนซิลทิ้งไป

นิตยสาร Prevention ฉบับเดือนมกราคม ปีนี้ แนะนำวิธีสู้หวัดหน้าหนาว 5 วิธีคือ

  1. ซื้อดอกไม้ให้ตนเอง หมายความว่าให้ชงชาสมุนไพรชนิดหนึ่ง ทำจากดอกไม้ คล้ายเดซี่สีม่วงดื่มบ่อย ๆ บ้านเราไม่มี อาจใช้ดอกเก๊กฮวยก็ได้ผลดีเช่นกันครับ
  2. ออกกำลังกาย ออกกำลังกายวันละ 30-45 นาที ให้หัวใจเต้นตึ๊กตั๊ก แต่อย่าหักโหม อาทิตย์หนึ่งให้ได้ 5 วัน เพราะพิสูจน์แล้วว่าการออกกำลังกายน้อยกว่านี้ ไม่ช่วยให้ภูมิคุ้มกันโรคเพิ่มได้ และออกมากเกินไป เช่น หลังการวิ่งมาราธอน มีโอกาสเสี่ยงติดเชื้อสูงเป็น 10 เท่าของคนทั่วไป
  3. หาสังกะสีมุงหลังคา ความหมายตรงนี้คือ อมลูกอมสังกะสีทันทีที่รู้ว่าเป็นหวัด รายละเอียดจะขยายความให้ฟังต่อไปครับ
  4. ล้างมือบ่อย ๆ ไม่น่าเชื่อว่าจะเกี่ยวกัน แต่ได้มีการศึกษาอย่างจริงจัง พบว่าการล้างมือบ่อย ๆ ครั้งละนาน ๆ (ล้างถึงศอกด้วยสบู่ฟองนาน 2 นาที แปรงซอกเล็บให้สะอาด) จะช่วยให้คุณติดหวัดน้อยลงจริง ๆ
  5. อยู่ห่างโรค อันนี้รู้กันดีว่า อย่าอยู่ใกล้คนเป็นหวัด เพราะเชื้อมีอยู่ในน้ำมูก น้ำลาย ติดต่อง่ายโดยการหายใจรดกัน หรือไอจาม หรือแม้กระทั่งการสัมผัสผู้ป่วยแล้วใช้มือขยี้ตา หยิบจับอาหารก็สามารถติดต่อได้
นั่นเป็นคำแนะนำจากนิตยสาร Prevention แต่มติชนยังมีทีเด็ดกว่านี้เยอะ

เมื่อศึกษาค้นคว้าตำรับยากลางบ้านในประเทศต่าง ๆ เราจะพบเรื่องน่าสนใจว่า คนโบราณรู้จักใช้อาหารในครัวเรือนเป็นยาบรรเทาหวัดกัน โดยแพร่หลายจนทุกวันนี้ และยิ่งน่าแปลกที่อาหารบางชนิด ให้ฤทธิ์การรักษาคล้ายคลึงกับยาแผนปัจจุบันที่แพทย์สั่งจ่าย

ในบรรดาอาหารหลากหลาย ใครเลยจะคิดว่า น้ำซุปไก่ธรรมดา จะเป็นยาบรรเทาหวัดอันวิเศษ เป็นได้อย่างไร ?

ซุปไก่ - ของดีแต่โบราณ
หลายคนอาจงง ซุปไก่ แก้หวัดเหรอ ? ไม่ถึงกับแก้หรอกครับ แต่บรรเทาอาการอันไม่พึงปรารถนา ได้ดีทีเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มันช่วยยับยั้งอาการไอซึ่งอาจตามมาภายหลัง หากดูแลสุขภาพไม่ดี

ทำได้อย่างไร ?
นักวิทยาศาสตร์หลายคนก็สงสัย เช่น นายแพทย์สตีเฟน เรนนาร์ดหัวหน้าแผนกโรคปอด แห่งมหาวิทยาลัยเนบราสกา เขารู้ว่ายากลางบ้านของหลายชาติ ใช้ซุปไก่บรรเทาหวัด ในตำราโบราณบอกให้รู้ว่า

การใช้ซุปไก่มีมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 12 โดยแพทย์นามโมเสส ไมโมนิดิส เพื่อรักษาการหอบหืด หลังจากนั้นแนวปฏิบัติเรื่อง การใช้ซุปไก่บรรเทาหวัดยังคงถูกถ่ายทอดกันต่อๆ มา โดยมิได้มีการพิสูจน์อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ แต่เมื่อพิสูจน์ก็พบว่า มันใช้ได้ผลจริง โดยเฉพาะการบรรเทาอาการคัดจมูก และป้องกันไม่ให้เกิดไอซ้ำซ้อนมาอีก
ดร.สตีเฟน พบว่า แม้เจือจางซุปไก่ด้วยน้ำ 200 ส่วน มันก็ยังออกฤทธิ์ได้

ดร.สตีเฟน พบว่า ซุปไก่มีฤทธิ์ยับยั้งการเคลื่อนที่ของเม็ดเลือดขาวชนิดที่เรียกว่า Neutrophils การยับยั้งการเคลื่อนที่ของนิวโทรฟิลส์ไปยังเนื้อเยื่อปอด จะช่วยลดขบวนการอักเสบในปอด และลดอาการไอในที่สุด ซุปไก่จึงมีฤทธิ์ช่วยบรรเทาอาการหวัดไอค้อกไอแค้กน่ารำคาญ

"ไก่ก็เหมือนอาหารโปรตีนหลายชนิด ซึ่งมีกรดอะมิโนตามธรรมชาติ ชื่อ ซีสเทอีน (Cysteline) มันจะละลายออกมาในน้ำเมื่อคุณต้มน้ำซุป

ซีสเทอีน มีสูตรโครงสร้างทางเคมีคล้ายคลึงกับยาตัวหนึ่งชื่อ อะเซทีลซีสเทอีน (Acetylcystenie) ซึ่งเป็นยาที่หมอหลายประเทศนิยมจ่ายให้แก่คนไข้ที่มีอาการหลอดลมอักเสบ และการติดเชื้อในทางเดินอาหาร

ในความเป็นจริง ยาอะเซทีลซีสเทอีน ก็มีต้นกำเนิดมาจากสารสกัดจากขนและหนังไก่ และในทางเภสัชวิทยา เจ้าสารอะเซทีลซีสเทอีน ตัวนี้ ก็ออกฤทธิ์เหมือนยาขับเสมหะหลายตัวคือ ช่วยให้เสมหะเจือจาง ง่ายต่อการขับ

ดร.สตีเฟน ได้แนะนำวิธีเตรียมซุปไก่ที่ถูกต้อง เพื่อบรรเทาหวัดแก่คนในครอบครัวดังนี้
  • เครื่องปรุง - ไก่ 1 ตัว, หอมหัวใหญ่ 3 หัว, มันเทศ 1 หัว, ผักชี 3 ต้น, แครอท 15 หัว, เกลือ พริกไทย
  • วิธีทำ - ตุ๋นไก่ในหม้อตุ๋น ใช้ไฟอ่อน ให้น้ำไก่ละลายปนออกมาให้มาก เติมหอมหัวใหญ่ มันเทศ ผักชี แครอท ตุ๋นต่อจนผักเปื่อย แต่งรสด้วยเกลือ และพริกไทย ตักไก่ออกเก็บไว้ทำอาหารอื่นได้อีก
  • วิธีใช้ - ตักเอาแต่น้ำซุป จิบอุ่น ๆ บ่อย ๆ ครั้ง ในช่วงที่เป็นหวัด ควรจิบทุกครึ่งชั่วโมง เพราะฤทธิ์ของซีสเทอีนจะอยู่นานเพียงครึ่งชั่วโมงของดีมีในครัว จำไว้ใช้ครับ

นมเปรี้ยว - เตรียมตัวสู้กับภูมิแพ้
สามเดือนก่อนหน้าฝน หรือหน้าหนาว ทำตัวเองให้พร้อมด้วยการดื่มนมเปรี้ยวชนิดที่มี แลคโตบาซิลลัส เป็นประจำ มันจะช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันให้แก่คุณ

นี่เป็นคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญด้านภูมิคุ้มกัน นายแพทย์จอร์จส์ ฮาลเฟิร์น มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย

นมเปรี้ยวมีอะไรดีหรือ ?
นมเปรี้ยวที่มีแลคโตบาซิลลัส ช่วยกระตุ้นสารแกมมา อินเตอร์ฟีรอน ซึ่งเมื่อมีมากขึ้นจะทำให้สาร IgE ลดลง อาการแพ้ลดลง

ดร.จอร์จส์ พบว่า การทานโยเกิร์ตวันละ 4 เวลา ทุกวัน จะทำให้ระดับแกมมาอินเตอร์ฟีรอน เพิ่มขึ้นถึง 5 เท่า (แต่ขนาดปกติ 1 มื้อต่อวันก็เพียงพอ)

แกมมาอินเตอร์ฟีรอน จะถูกกระตุ้นอย่างช้า ๆ นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมเราควรทานนมเปรี้ยวล่วงหน้า นานถึง 3 เดือน การศึกษาในญี่ปุ่น อิตาลี และสวิตเซอร์แลนด์ เมื่อเร็ว ๆ นี้ ทำให้เกิดแนวคิดใหม่ว่า นมเปรี้ยวมีคุณสมบัติกระตุ้นภูมิคุ้มกันในร่างกายให้สูงขึ้นได้

หากเป็นเช่นนั้นจริง โยเกิร์ต จะกลายเป็นยารุ่นใหม่ของโลกที่กำลังฮือฮาขณะนี้ คือ ยากลุ่มที่รักษาโรคด้วยการกระตุ้นภูมิคุ้มกันของร่างกาย หรือที่เรียกว่า Immunostimulants หรือ Immunopotentiators จัดโดยยาในกลุ่ม Bilogical modifieres

นอกจากกระตุ้นภูมิคุ้มกัน ในปี 1963 ดร.เคม ชาฮานี ศาสตราจารย์ผู้เชี่ยวชาญด้าน วิทยาศาสตร์อาหาร มหาวิทยาลัยเนบราสกายังสกัดยาปฏิชีวนะตัวใหม่จากโยเกิร์ต

เขาตั้งชื่อมันว่า "Acidophilin" แต่นมเปรี้ยวทีว่านี้ต้องเป็น ชนิดที่มีเชื้อแลคโตบาซิลลัสนะครับ ถ้าสังเกตให้ดี จะเห็นว่านมเปรี้ยวที่วางขายในท้องตลาดบ้านเรามี 2 ชนิด คือ

ถ้าสงสัยว่านมเปรี้ยวที่ท่านชอบรับประทาน เป็นนมเปรี้ยวประเภทใด ขอให้อ่านดูส่วนประกอบที่ฉลากครับ ฉลากต้องระบุชัดเจนว่า มีเชื้อจุลินทรีย์กี่เปอร์เซ็นต์

ผมไปเดินดูผลิตภัณฑ์ในตลาด พบด้วยความเศร้าหมองว่า นมเปรี้ยวบางเจ้าไม่มีเชื้อแลคโตบาซิลลัสที่มีชีวิต แต่เขียนฉลากวกวนให้ผู้บริโภคงงว่า "ผลิตโดยใช้เชื้อจุลินทรีย์แลคโตบาซิลลัส" (แต่ไม่บอกต่อว่าเชื้อที่ว่านะ ตายหมดแล้ว)

ดูให้ดีนะครับ ตาดีได้ ตาร้ายเสีย สมัยนี้ผู้บริโภคต้องพึ่ง ตัวเองเป็นหลัก อย่าหลงกลผู้ผลิต เสียอะไรเสียได้ แต่อย่าเสียค่าโง่

การศึกษาระยะเวลาหนึ่งปี ในอาสาสมัครทั้งหนุ่มและแก่ รวม 120 คน พบว่าการรับประทานนมเปรี้ยวทุกวัน ช่วยลดอาการทุกข์ทรมานจากหวัดละอองฟางและภูมิแพ้

ผู้ป่วยหายเร็วขึ้น และร้อยละยี่สิบห้าเป็นหวัดน้อยลง เมื่อเทียบกับกลุ่มที่ไม่ทานนมเปรี้ยว

การเลือกใช้อาหารเพื่อส่งเสริมการรักษาโรคก็เป็นอีกแนวทางหนึ่ง ซึ่งเราอาจนำมาปฏิบัติในชีวิต ประจำวัน ช่วยให้อาการเจ็บป่วยหายเร็วขึ้น โดยไม่ต้องใช้ยา หรือใช้ก็เพียงแต่น้อย เป็นการลดความเสี่ยงจากพิษภัยของสารเคมีได้

ผลไม้รสเปรี้ยว
เวลาเป็นหวัด หลายคนซื้อส้มถุงใหญ่มาทาน วันรุ่งขึ้นอาการดีขึ้นเห็น ๆ ทำได้อย่างไร ?

ส้มทุกชนิดนั้นเป็นแหล่งวิตามินที่ดีของวิตามินซี ฟลาโวนอยด์ และเบต้าแคโรทีน ส้มหนึ่งลูก ใหญ่บรรจุวิตามินซีถึง 50 มิลลิกรัม วิตามินตัวเก่งที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันโรคครับ

ดังที่เคยกล่าวแล้วว่า หวัดเกือบทั้งหมดเกิดจากเชื้อไวรัสที่ไม่มียาฆ่า ดังนั้นเราจึงต้องสู้กับหวัดได้โดย ใช้หลักเสริมสร้างภูมิคุ้มกันในร่างกายให้สูงขึ้น

ยาตัวเก่งเม็ดสีส้ม ที่แพทย์นิยมจ่ายให้เราเมื่อเป็นหวัดคือ วิตามินซี ที่เรารู้จักกันดี

ปี 1990 สถาบันมะเร็งแห่งชาติ อเมริกาได้ประกาศว่า "วิตามินซี มีฤทธิ์ต่อกระบวนการทางชีวภาพอย่างซับซ้อน และหลากรูปแบบ บางทีอาจเป็นที่สุดของบรรดาวิตามินและสารอาหารทุกชนิด"

วิตามินซีมี ส่วนสำคัญในการเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน เพราะภูมิคุ้มกันถูกสร้างขึ้นโดยตับ
มันต้องการวิตามินซี เพื่อช่วยกระตุ้นกระบวนการทางเคมี

ประโยชน์หลักประการหนึ่งของวิตามินซี คือ ช่วยยับยั้งและต้านเชื้อโรค กระตุ้นการทำงานของเม็ดเลือดขาว และภูมิคุ้มกันของร่างกายป้องกันโรคภูมิแพ้

ในยุคหลัง ได้มีการค้นพบคุณประโยชน์สำคัญเพิ่มเติมอีกมากมาย แม้แต่ ดร.ไลนัส พอลิง นักวิทยาศาสตร์ชื่อก้อง เจ้าของรางวัลโนเบลสองครั้ง ซึ่งมีอายุยาวถึง 93 ปี ยังกล้าประกาศว่า

"ผมจำต้องยอมรับว่า การมีสุขภาพดีของผมเกิดจากวิตามินซีและเกลือแร่ที่กินเข้าไป"

เขาเชื่อว่าวิตามินซี ช่วยชะลอการลุกลามของมะเร็งในตัวเขาได้นานถึง 20 ปี และหลังจากกินวิตามินซีขนาดสูงทุกวันตั้งแต่ปี 1965 เขาไม่เป็นหวัดอีกเลย

นอกจากช่วยบรรเทาหวัด ดร.โจเอล ชวาร์ทซ์ ยังนิยมจ่ายวิตามินซีให้กับผู้ป่วยที่มีอาการ หลอดลมอักเสบเรื้อรัง เพราะเขาพบว่า วิตามินซี มีประโยชน์อย่างยิ่งในกรณีนี้

หลอดลมอักเสบเรื้อรัง จะสังเกตได้จากการไอเรื้อรังเป็นแรมเดือน โดยมีเสมหะร่วมด้วย ระยะแรกผู้ป่วยจะขากเสมหะหลังตื่นนอน เป็นประจำและต่อมาเริ่มไอถี่ขึ้นตลอดวัน เสมหะเป็นสีขาวเหลืองหรือเขียว อาจมีเลือดปน

เป็นที่รู้กันดีว่า วิตามินซี มีมากในผลไม้เปรี้ยว แต่ไม่ได้หมายความว่า ผลไม้เปรี้ยวที่สุดจะมีวิตามินซีสูง มะนาวเปรี้ยวจี๊ด มีวิตามินซีน้อยกว่าฝรั่ง ลองดูตารางครับ
ประเภทของอาหาร ปริมาณวิตามินซี(มิลลิกรัม)
ผรั่ง(เนื้อ 1 ขีด) 180
น้ำส้มคั้น 1 แก้ว (ใหญ่) 97
สตรอว์เบอรี่ 1 ถ้วย85
ลูกกีวี 1 ผล (ขนาดกลาง)75
มะขามหวาน (เนื้อ 1 ขีด)75
แคนตาลูป 1 ถ้วย68
ส้มโอทองดี (เนื้อ 1 ขีด) 60
มะม่วง 1 ผล (ขนาดกลาง)57
น้ำมะเขือเทศ 1 แก้ว (ขนาดกลาง)33
ชมพู่เมืองเพชร (เนื้อ 1 ขีด)32
มะม่วงพิมเสนดิบ (เนื้อ 1 ขีด)31
มะม่วงอกร่องสุก (เนื้อ 1 ขีด)13
มังคุด (เนื้อ 1 ขีด) 0
อยากให้ข้อสังเกตสักนิดครับว่า ผลไม้รสเปรี้ยว ไม่จำเป็นต้องมีวิตามินซีเสมอไป เช่น มังคุด เป็นผลไม้รสเปรี้ยวที่ไม่มีวิตามินซี ขณะเดียวกัน เราไม่จำเป็นต้องซื้อผลไม้ต่างชาติ มารับประทานเลย เพราะผลไม้พื้น ๆ ที่หาได้โดยทั่วไปก็มีวิตามินซีอุดม เช่น มะขามป้อม

มะขามป้อมสด มีรสเปรี้ยวอมฝาด เป็นยาบำรุง ทำให้สดชื่น แก้กระหายน้ำ แก้ไอ แก้หวัด กระตุ้นน้ำลาย ละลายเสมหะ ช่วยระบายขับปัสสาวะ แก้เลือดออกตามไรฟัน แก้คอแห้ง

ผลมะขามป้อม มีวิตามินซีสูงมาก วิธีใช้มะขามป้อม ใช้รักษาอาการไอ ขับเสมหะ ทำโดยใช้เนื้อผลแก่สดครั้งละประมาณ 2-3 ผล โขลกพอแหลก แทรกเกลือเล็กน้อย อมหรือเคี้ยวรับประทาน วันละ 3-4 ครั้งทานแล้วชุ่มคอ น้ำลายสอทันที น้ำ-ชา และเครื่องดื่มสมุนไพร

เวลาคุณเป็นหวัดเจ็บคอ แพทย์มักแนะนำให้ดื่มน้ำมาก ๆ เหตุผลที่ดีประการหนึ่งคือว่า เมื่อคุณเป็นหวัดคัดจมูก คุณมักเผลอหายใจทางปากบ่อยครั้งขึ้น ทำให้เนื้อเยื่ออ่อนในช่องปาก เกิดแห้งขาดน้ำ เพราะน้ำระเหยออกพร้อมการหายใจ และยิ่งผนังบุทางเดินหายใจแห้งเร็วเท่าไหร่ ไวรัสก็ยิ่งชอบ มันจะแบ่งตัวได้เร็วขึ้น

ดังนั้น การทำให้ทางเดินอาหารและทางเดินหายใจชุ่มชื้นไว้ จึงช่วยยับยั้งการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสได้อีกทางหนึ่ง

น้ำเย็นหรือน้ำร้อนดี ?
น้ำร้อนดีกว่าครับ ดร.แซ็กเคอร์ และคณะพบว่า น้ำร้อนจะช่วยลดความรุนแรงของโรค เชื้อไวรัสไม่ชอบความร้อน (ดังนั้นร่างกายมนุษย์จึงพยายามทำให้อุณหภูมิร่างกายสูงขึ้นเพื่อสู้กับโรค ทำให้คนป่วยตัวร้อนเป็นไข้ ซึ่งเป็นกลไกต่อสู้ตามธรรมชาติ)

หลายคนเป็นหวัด เจ็บคอ พอดื่มน้ำเย็นเข้าไป อาการเจ็บคอกำเริบหนักทันที ลองคิดหลักง่าย ๆ ว่า ความร้อนทำให้วัตถุขยายตัว ความเย็นทำให้วัตถุหดตัว

เมื่อคุณดื่มน้ำเย็นจัด กล้ามเนื้อเกิดการหดตัวกะทันหัน ทางเดินหายใจแคบลง หายใจลำบาก ติดขัดมาก นอกจากนี้ หากเนื้อเยื่อบริเวณนั้นกำลังอักเสบ การหดตัวของเนื้อเยื่อกะทันหัน ย่อมทำให้เกิดอาการเจ็บแสบเป็นธรรมดา

ดื่มน้ำร้อนให้มาก ๆ จิบบ่อย ๆ จะช่วยให้ทางเดินหายใจชุ่มชื้นขึ้นเสมหะถูกขับออกง่าย

เมื่อต้องดื่มน้ำร้อนบ่อย ๆ หลายคนคิดถึง น้ำชา ใช้ได้มากทีเดียว ขอเป็นน้ำชาอ่อน ๆ คือ ใส่ใบชาพอให้มีกลิ่นหอม อย่าถึงกับเฝื่อนฝาดเพราะทำให้ท้องผูกได้

อันที่จริง นอกจากน้ำชาจีนที่รู้จักกันดี ยังมีตำราชาชงทั่วโลก ที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อบรรเทาอาการหวัด และโรคในระบบทางเดินหายใจ แต่ที่ใช้กันมานานได้ผลดี พอรวบรวมได้ดังนี้

ชาชงรากชะเอม
รากชะเอม มีขายตามร้านเครื่องสมุนไพรใหญ่ ๆ เมื่อชงเป็นชาจะได้เครื่องดื่มรสหวาน หอมชุ่มคอ จิบบ่อย ๆ ช่วยบรรเทาอาการเจ็บคอระงับการไอ

ยาแก้ไอน้ำดำที่เรารู้จักกันดี หรือยาอมแก้ไข้เม็ดดำส่วนใหญ่ มีชะเอมเป็นส่วนผสมด้วย

ชะเอมอาจทำให้ความดันเพิ่มขึ้นได้ คนที่เป็นโรคความดันสูงจึงไม่ควรใช้

ยาแก้ไอหัวหอม
หัวหอมใหญ่สับหกหัวกับน้ำผึ้ง 12 ช้อนโต๊ะ ตุ๋นไฟอ่อน ๆ 2 ชั่วโมง กรองเอาน้ำจิบอุ่น ๆ ใช้เป็นยาแก้ไอได้ สูตรนี้ปรากฏอยู่ในสารานุกรมการแพทย์ธรรมชาติ ของ Joseph Pizzorno

ยาแก้ไอน้ำมะนาว
สูตรนี้ผมทดลองกับตัวเอง ได้ผลดีมากครับ ใช้น้ำคั้นจากมะนาวสดหนึ่งลูก น้ำผึ้ง ให้ได้ปริมาณเท่าน้ำมะนาว เกลือหยิบมือหนึ่ง คนส่วนผสมทั้งสามเข้าด้วยกัน จิบครั้งละนิด บ่อย ๆ ครั้ง อาการไอจะทุเลาอย่างรวดเร็ว

ตำราไทย กล่าวถึงรสและสรรพคุณมะนาวไว้ว่า เปลือกผล รสขม ช่วยขับลม น้ำมะนาวรสเปรี้ยวจัดเป็นยาขับเสมหะ

คงเห็นทางดูแลสุขภาพตนเองยามเป็นหวัดเจ็บคอด้วยวิถีธรรมชาติแล้วนะครับ

เภสัชกรสรจักร ศิริบริรักษ์


ขอบคุณหนังสือพิมพ์มติชนรายวัน ที่อนุญาตให้นำมาเผยแพร่

[ BACK TO LIST]
main พบแพทย์ คอมพิวเตอร์ เรื่องบ้าน เรื่องรถ เรื่องกฏหมาย เรื่องของผู้บริโภค เรื่องเบาๆ คลายเครียด

มีปัญหาสุขภาพ ที่นี่มีคำตอบ ห้องสมุดE-LIB[ hey.to/yimyam ][ i.am/thaidoc ]

Best view with [IE3.02][NETSCAPE 4.05][OPERA 3.21]resolution 800x600
1