นพ.เกษม ตันติผลาชีวะ
ข่าวคราวเกี่ยวกับการระบาดของโรคจู๋ เคยเกิดขึ้นในประเทศมาแล้วหลายครั้ง
เร็ว ๆ นี้มีข่าวว่า เกิดอาการขึ้นในคนหลายคนที่กินแตงโมเข้าไป ข่าวนี้ก่อให้เกิดความหวาดหวั่นไม่ใช่น้อยในสังคมที่ตกเป็นเหยื่อของข่าวลือตลอดเวลา และยังอาจสร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจ เพราะคนจำนวนมาก ไม่กล้ากินแตงโม จึงเป็นเรื่องที่ควรสร้างความเข้าใจให้ถูกต้องเพื่อป้องกัน มิให้เกิดภาวะแทรกซ้อน และป้องกันมิให้เกิดการระบาดของโรคนี้อีก
โรคจู๋มิใช่เป็นโรคทางกาย แต่เป็นโรคทางจิตใจชนิดหนึ่ง ซึ่งจัดอยู่ในกลุ่มอาการ ที่เกี่ยวข้องกับ วัฒนธรรม (Culture-bound Syndrome) มีชื่อว่า โรคโคโร (Koro)
คำว่า Koro มีรากศัพท์มาจากภาษาใด ไม่สามารถยืนยันได้ ที่น่าจะเป็นไปได้มีอยู่ 2 ทางคือ
1. มาจากภาษาของชาว Macassaran บนเกาะ Sulawesi ประเทศอินโดนิเซียแปลว่า
"หด"
2. มาจากภาษามาเลย์ ซึ่งมีคำหลายคำใกล้เคียงกับคำนี้ มีอยู่คำหนึ่งแปลว่า "สั่น" และ
อีกคำหนึ่งแปลว่า "เต่า" ซึ่งก็มีความเป็นไปได้ เพราะหัวของเต่าสามารถหดเข้าในกระดองได้ คล้ายกับคนที่กลัวอวัยวะเพศจะหดอย่างนั้น
โรคโคโร มีความเกี่ยวข้องกับวัฒนธรรม พบได้ในประเทศทางภูมิภาคเอเซียอาคเนย์ เช่น อินโดนีเซีย, มาเลเซีย, สิงคโปร์ และไทย โดยมากจะพบในคนเชื้อสายจีน บางครั้งบางคราว อาจพบผู้ป่วยเป็นทีเดียวหลายคนคล้ายกับโรคระบาด
ความสัมพันธ์ของโรคโคโรกับวัฒนธรรมเป็นเรื่องของความเชื่อที่มีกันมาแต่โบราณ และฝังลึกอยู่ในจิตใจของคนในวัฒนธรรมนั้น
คนจีนมีความเชื่อเกี่ยวกับอวัยวะของร่างกายหลายอย่าง ซึ่งบางเรื่อง ก็ไม่เป็นที่เชื่อถือกัน ในปัจจุบัน เช่น เชื่อว่าถุงน้ำดีเกี่ยวข้องกับความกล้า ใครมีความกล้ามากก็เรียกว่า "ถุงน้ำดีใหญ่" ใครที่ขี้ขลาด ขี้กลัว ก็เรียกว่า "ไม่มีถุงน้ำดี" ซึ่งคำเหล่านี้ยังใช้พูดกันในภาษาจีนอยู่ทุกวันนี้
ความเชื่อของคนจีนอีกอย่างหนึ่ง คือเชื่อว่าไตเป็นอวัยวะที่เกี่ยวข้องกับพลังเพศ ยาบำรุงเสริมพลังเพศ จึงเรียกว่า "ยาบำรุงไต" ความเชื่อนี้ยังคงอยู่ในการแพทย์ แผนโบราณของจีน ที่ปฏิบัติกันในปัจจุบันนี้
วัฒนธรรมของคนในท้องถิ่นที่เกิดโรคโคโร มักมีความเชื่อว่า อวัยวะเพศมีความสำคัญ อย่างยิ่ง ต่อชีวิต และถ้าเกิดหดเข้าไปในตัว จะเป็นอันตรายถึงตายได้ ในเมืองไทยก็เคยมีบางคนเรียกว่า กล่องดวงใจ หรืออะไรทำนองนั้น
อาการของโรคโคโร
ที่รายงานไว้ในต่างประเทศ ตอนเริ่มแรกผู้ป่วยรู้สึกตึงเครียด, มือเท้าเย็น, หัวใจเต้นเร็วขึ้น, หน้าซีด, เหงื่อแตก, วิตกกังวล, ชาตามมือและเท้า หลังจากนั้น อาจมีอาการเป็นลม เมื่อเป็นมากขึ้นผู้ป่วยรู้สึกเกร็งไปทั้งตัว ตาโปนออกมา จนเห็นม่านตาชัดเจน ผู้ป่วยบางคนร้องครวญคราง ในรายที่เป็นมากอาจไม่รู้สึกตัวไปเลย อาการส่วนใหญ่เป็นไม่ถึงชั่วโมง
ผู้ป่วยที่เริ่มรู้สึกตัวว่าจะมีอาการ จะจับและดึงอวัยวะเพศไว้ บางรายก็เลยร้องเรียกให้คนช่วย เพราะกลัวว่า อวัยวะเพศจะหดเข้าไปในช่องท้อง และจะถึงแก่ความตาย ผู้ป่วยจะให้คนช่วยนวด ช่วยบีบบริเวณท้องน้อย บางรายถึงกับให้ผูกอวัยวะเพศไว้ เพื่อกันมิให้หดหายไป ส่วนใหญ่แล้วผู้ป่วยมักไม่ยอมให้เพศตรงข้ามช่วย เพราะถือว่าเป็นข้อห้าม
ในประเทศไทย ผู้ป่วยที่เป็นโรคจู๋ส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีอาการรุนแรงเหมือนดังที่กล่าว บางรายแค่กระมิดกระเมี้ยนมาให้แพทย์ตรวจว่าอวัยวะเพศหดจริงหรือเปล่า ซึ่งแพทย์ก็ไม่สามารถยืนยันได้ เพราะไม่ทราบว่าของเดิมมีอยู่เท่าใด แต่ส่วนใหญ่แล้ว มักปกติดีและในบ้านเราส่วนใหญ่กลัวเสียสมรรถภาพทางเพศมากกว่ากลัวตาย แสดงถึงความแตกต่างทางวัฒนธรรม
สาเหตุที่กระตุ้นให้เกิดอาการของโรคโคโรในต่างประเทศ พบว่าเกี่ยวข้องกับการมี กิจกรรมทางเพศมากเกินไป บางรายเกิดอาการหลังจากเพิ่งมีเมียน้อยไม่นาน ความรู้สึกขัดแย้งในจิตใจ จากความเชื่อทีถ่ายทอดมาจากบรรพบุรุษว่า การมีกิจกรรมทางเพศ มากเกินไป จะเป็นอันตรายต่อร่างกาย ทำให้เกิดความวิตกกังวลในจิตใจเพิ่มมากขึ้น จนทำให้เกิดอาการดังกล่าว
ในประเทศสิงคโปร์และไทย พบว่าการเกิดอาการมีความสัมพันธ์กับการกินอาหารบางอย่าง เช่น แตงโมและหอยบางชนิด เพราะลักษณะเนื้อของมันมีการหดตัวได้ทำให้คนเกิดคิดมาก หรือนำมาสัมพันธ์กัน
บางแห่งเชื่อกันว่าห้ามเดินข้ามขนม้าและมูลเต่า (ไม่ใช่ขี้เต่าของคน) บางแห่งห้ามเดินผ่านเต่าเพราะถ้าเต่าหดหัวจะพลอยทำให้จู๋หดไปด้วย
สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ล้วนเป็นผลทางจิตใจ ที่นำไปสู่ความวิตกกังวลและอาการตื่นตระหนก (panic) ซึ่งแสดงออกตามอาการที่กล่าวข้างต้น
ไม่มีสารเคมีใดในอาหารสามารถทำให้อวัยวะเพศหดได้อย่างแน่นอน คนที่มีสามัญสำนึก ดีอยู่น่าจะคิดได้เองเพราะถ้ามีจริงก็คงยุ่งแน่ อาจถึงขั้นนำมาใช้ล้างเผ่าพันธ์กันได้ทีเดียว และหากมีสารพิษในอาหารจริงก็คงไม่สามารถเจาะจงไปทำให้หดเฉพาะที่ได้ แต่มีหวังทำให้ตายเสียก่อนที่จะหด
โรคจู๋ จึงเป็นโรคที่มีสาเหตุจากอุปทานของคนที่กลัวว่า อวัยวะเพศจะหด โดยที่มิได้มีอะไรเกิดขึ้นจริง เพราะคนที่ไม่เกิดความวิตกกังวล และความรู้สึกผิด ต่อให้ไปมีพฤติกรรมมากรัก กับใครต่อใครทั่วโลก หรือเอาบัตรเครดิตคนอื่น ไปใช้เที่ยวส่ำส่อน ก็ไม่ปรากฏว่ามีอาการโรคจู๋แต่อย่างไร เคยมีแค่ไหนก็เหลือแค่นั้น เพียงแต่ว่าต่อไปจะเกิดอาการของโรคเอดส์หรือเปล่า คงต้องติดตามดูต่อไป
โรคจู๋ส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นกับผู้ชาย มีรายงานส่วนน้อยเท่านั้นที่พบในผู้หญิง ซึ่งส่วนที่กลัวว่าจะเกิดการหดคือ เต้านม, หัวนม และแคมของอวัยวะเพศ
การรักษาโรคจู๋
ใช้วิธีลดความวิตกกังวลและความกลัวของผู้ป่วย ก็ทำให้หายได้ การให้ความมั่นใจ และพูดคุยปลอบใจ ทำให้ผู้ป่วยอาการทุเลาได้อย่างรวดเร็ว บางครั้งก็จำเป็นต้องใช้ยา เพื่อคลายความกังวลร่วมกับการทำจิตบำบัด สิ่งสำคัญคือต้องทำให้ผู้ป่วยเชื่อมั่นว่า อวัยวะเพศของเขา ไม่หดเข้าไปอย่างแน่นอน และจะไม่เป็นอันตรายต่อชีวิตของเขา แต่อย่างใด โรคนี้มิได้เป็นอันตรายร้ายแรงถึงชีวิต และสาเหตุเกิดจากจิตใจ ไม่ใช่เกิดจากโดนสารพิษใด ๆ ทั้งสิ้น
ในยุคของข้อมูลข่าวสารในปัจจุบันนี้ พบว่าอุบัติการณ์ของโรคจู๋ ลดลงไปอย่างมาก ความจริงไม่น่าจะเกิดขึ้นเลยด้วยซ้ำ ถ้าหากประชาชนได้รับความรู้และมีความเข้าใจที่ถูกต้อง ความเชื่อที่ไม่มีเหตุผลในอดีตส่วนใหญ่เกิดขึ้นเพราะความไม่รู้ จึงน่าจะหมดไปจากสังคม ที่ประชาชนมีการศึกษาเพียงพอ
อย่างไรก็ตาม ความเชื่อที่งมงายหลายอย่างไม่เคยหมดไปจากสังคมไทย และจะคงอยู่ต่อไป อีกนาน เพราะยังมีคนอยู่ส่วนหนึ่ง ที่พร้อมจะเชื่อสิ่งลึกลับมหัศจรรย์ มากกว่าสิ่งที่พิสูจน์ได้ ใครลือกันว่ ามีเด็กน้อยรักษาโรคได้ด้วยท่อนไม้ก็เชื่อ ใครบอกว่าคนโน้นคนนี้เป็นผู้วิเศษ มีแสงเรืองออกมาจากตัวก็เชื่อ เขาบอกว่าตัวเองเป็นพระพุธทเจ้ากลับชาติมาเกิดก็เชื่อ พระสงฆ์ที่พยายามสอนให้คนนับถือพระพุทธศาสนาแบบใช้ปัญญา จึงประสบความสำเร็จน้อยกว่าพวกที่มอมเมาคนด้วยอิทธิปาฏิหาริย์ ตราบใดที่ดอกบัวส่วนใหญ่ยังไม่สามารถโผล่พ้นน้ำได้
นพ.เกษม ตันติผลาชีวะ
main |