มาที่นี่ที่เดียว ได้อ่านบทความทางด้านการแพทย์ ภาษาไทย จากเกือบทุกโฮมเพจที่มีใน INTERNET
http://geocities.datacellar.net/Tokyo/Harbor/2093/

[ คัดลอก จากนิตยสารแม่และเด็ก ปีที่ 20 ฉบับที่ 307 กันยายน 2540 ]

ขมิบเพื่อชาติ

น.พ.วีระ สุรเศรณีวงศ์


จากตัวเลขสถิติปี 2538-2539 ของกระทรวงสาธารณสุขของประเทศ อายุเฉลี่ย ของสตรีไทยประมาณ 72 ปีเศษ สตรีไทยอายุยืนยาวขึ้น ๆ เปรียบได้กับรถยนต์ เครื่องยนต์ เมื่อมีการดูแลบำรุงรักษาอายุการใช้งานก็ยืดยาวออก แต่ในปีหลัง ๆ ของการใช้งานก็จะมี ปัญหาจุกจิกตามมาให้เเก้ไขตลอด คือ มีโรคแทรกซ้อนมาตลอดระยะทาง ตามความเคลื่อนไหว ของร่างกาย เดี๋ยวชิ้นส่วนนั้นชำรุด เดี๋ยวชิ้นนี้สึกหรอ ต้องตามแก้ไขกันไม่มีที่สิ้นสุด แต่ร่างกายมนุษย์นั้น ต่างกับเครื่องยนต์ ในส่วนที่มีความยืดหยุ่นสูง และสามารถเสริมสร้างได้ แม้ส่วนใหญ่จะเปลี่ยนใหม่ได้ทุกส่วนในส่วนที่ เสริมสร้างได้ ก็ตาม ปัจจุบันได้มุ่งเน้น ประเด็นนี้ เพื่อป้องกันการเกิดความผิดปกติการเกิดโรค หรือแม้ป้องกันไม่ได้ ก็ชะลอ หรือยืดอายุการใช้งานออกไป

ถ้าได้สังเกตหนังสือพิมพ์ที่ออกจำหน่ายในระยหลัง ๆ นี้ จะมีโฆษณาอยู่ชิ้นหนึ่ง ซึ่งโฆษณาขายวัสดุสีฟ้าเป็นผืน ๆ หรือภาษาชาวบ้านเรียกว่า บลูแพค ผ้าอ้อมสีฟ้าสำหรับผู้สูงอายุ มีรูปทั้งผู้เฒ่าชายและหญิง กำลังเฮฮาสนทนา สังสรรค์ ยิ้มแย้มแจ่มใส และสื่อว่าต่อไปผู้เฒ่าเหล่านี้ไม่ต้องถูกจำจองอยู่แต่ในบ้านอีกต่อไป เพื่อคอยเปลี่ยนชั้นในที่มักจะเปียกชื้นจากการไหลเล็ดของปัสสาวะ จนไม่เป็นอันต้องทำอะไร ต้องเก็บตัวอยู่แต่ในบ้านไม่กล้าเข้าสังคม นาน ๆ เข้าก็ประสาทกินและคุณภาพชีวิตถดถอย เพราะเห็นแต่สภาพแวดล้อมเดิม ๆ ที่มีเก้าอี้กับห้องน้ำ จนบางรายคิดสั้นทำร้ายตัวเอง ก่อปมด้อยให้ลูกหลาน และพบว่าธุรกิจขายบลูแพคเจริญรุ่งเรืองมาก เพราะไม่เพียงแต่ ผู้แก่ผู้เฒ่า ให้ปรากฏว่า ในสังคมปัจจุบัน สตรีที่อยู่ในวัยกลางคน ก็มีโอกาสเป็นโรคช้ำรั่ว ตามภาษาชาวบ้าน หรือโรคปัสสาวะเล็ดมากขึ้น

สภาวะที่ปัสสาวะเล็ดนั้น เป็นโรคซ่อนเร้นสำหรับสตรีเพศสูงวัยมากกว่า 3 ใน 4 ของหญิง ที่มีอายุมากกว่า 55 ปีขึ้นไป ที่อ้วน มีโอกาสจะเกิด อาการผิดปกติ ดังกล่าวไม่มากก็น้อย บ้างก็เกิดเวลาปวดปัสสาวะมากอั้นไม่อยู่ ก็จะไหลเล็ดออกมาเรียกว่า พวกกลั้นไม่อยู่ พวกสตรีเหล่านี้จะไปไหนมาไหนจะระแวดระวัง จะอยู่ใกล้ห้องน้ำเข้าไว้ ถ้าเดินทาง ไม่ว่ารถทัวร์ รถไฟ หรือเครื่องบิน จองใกล้ห้องน้ำไว้ก่อน กลิ่นเหม็นอย่างไรทนได้ พวกคุณหญิงคุณนาย อาซ้ออาซิ้ม เวลาไปงานสังคมแล้วชอบกระจุกอยู่ทางใกล้ห้องน้ำ ใกล้ทางออก ไม่ยอมเคลื่อนย้ายไปไหน สงสัยไว้ก่อนว่าน่าจะช้ำรั่ว

อีกกลุ่มหนึ่งเป็นกลุ่ม ที่ถ้าไม่ได้รับการแก้ไขแล้ว โอกาสจะเป็นโรคประสาท คือ โรควิตกกังวลสูง กลุ่มนี้เป็นกลุ่มทีเรียกว่า เล็ดเรี่ยราด บางคนแค่ไอจาม ปัสสาวะก็เล็ดออกมา บ้างที่รุนแรงเพียงหัวเราะหน้าท้องกระเพื่อมก็เล็ดเสียแล้ว ที่หนักหนาสาหัสคือ กลุ่มที่ก้าวขึ้นบันได หรือขึ้นพื้นเอียงก็เล็ด สตรีพวกเหล่านี้ จะทุกข์ทรมานมาก เพราะชั้นในจะชื้นแฉะตลอด ต้องคอยเปลี่ยน บ้างต้องพกผ้าอนามัย เป็นกล่อง ๆ ถ้าดูแลตัวเองไม่ดี ก็จะเกิดความเดือดร้อนทั้งกลิ่นทั้งแฉะ เป็นเครื่องบั่นทอน บุคลิกภาพ อย่างมาก ถ้าไปเกิดกับแม่บ้านที่ไม่ต้องทำงานร่วมกับผู้อื่น ก็ไม่เท่าไร ถ้าเกิดกับสตรี ที่ต้องทำงานร่วมกับผู้อื่น ๆ ยิ่งถ้าเป็นระดับที่ต้องปกครองคน ด้วยแล้ว ต้องติดต่อพบปะผู้คน เจ้าตัวจะกลายเป็นคนวิตกกังวลไปทันที เพราะกลัวว่า ปัญหาของตัวเอง จะไปก่อความรำคาญ หรือเป็นที่รับรู้ของผู้อื่น ก็จะทำให้ กลายเป็นคนวิตก ทำงานนิสัยซ้ำซาก นาน ๆเข้า ก็จะหนีผู้คน ทำให้เสียบุคลิก และเสียงาน เสียตำแหน่งไปในที่สุด

ภาวะผิดปกติเล็ดเรี่ยราดนี้ เกิดกับสตรีได้ในวัยต่าง ๆ ไม่จำเป็นต้องวัยสูงอายุ 60 ปีขึ้นไป เพราะปัจจัยก่อให้เกิดมีหลายอย่าง ซึ่งแตกต่างจากปัสสาวะเล็ดแบบแรก คือกลั้นไม่อยู่ ซึ่งเกิดจากความผิดปกติของระบบประสาทที่มาเลี้ยงกระเพาะปัสสาวะ หรือความผิดปกติ ของระดับสมอง และหรือ ความผิดปกติในตัวกล้ามเนื้อกระเพาะปัสสาวะเอง กลุ่มนี้การรักษาใช้การให้ยารักษา กลุ่มนี้ไม่น่าหนักหนาอะไร กับการเปลี่ยนแปลง บุคลิกภาพ เพราะยังพอรู้ตัวว่าจะเกิดเมื่อไร ป้องกันได้บ้าง

กลุ่มเล็ดเรี่ยราดนี่น่าเป็นหญิง สาเหตุเกิดจากมีความผิดปกติในกายภาพของ กระเพาะปัสสาวะ และท่อปัสสาวะ คือ มีการหย่อนยานของกระเพาะปัสสาวะ ซึ่งปกติจะถูกยึดตรึงอยู่ใน ช่องเชิงกราน ด้วยกล้ามเนื้อของเชิงกราน และเอ็น และพังผืดยึดโยง และต่อมามีการเสื่อมสภาพของกล้ามเนื้อและเอ็นยึดโยง จากสาเหตุของการ ถูกใช้งานมามาก เกิดการล้าของอวัยวะยึดโยง เหมือนสายไฟ ที่ขึงไว้นาน ๆ เกิดล้าก็จะเกิดการหย่อนย้อยลงมา เรียกว่า ตกท้องช้าง กับกระเพาะปัสสาวะ ก็จะเป็นปรากฏการณ์ อันเดียวกัน กระเพาะปัสสาวะหย่อนย้อย ลงมาจากตำแหน่งเดิม รวมทั้งท่อปัสสาวะ ที่ต่อออกมาจาก กระเพาะปัสสาวะด้วย ทำให้มุมที่กระเพาะปัสสาวะทำกับท่อปัสสาวะผิดไป การทำหน้าที่ลิ้นปิดเปิด กระเพาะปัสสาวะเสียหน้าที่ไป เหมือนก๊อกน้ำที่เสื่อมสภาพ ก็มักจะมีน้ำไหลหยดลงมาได้ แต่ก๊อกน้ำเป็นกลไกของเกลียว เป็นลิ้นปิดกั้น แต่ในระบบขับถ่ายปัสาวะใช้กลไก ของมุมองศา มาเป็นตัวปิดเปิดร่วมกับ วงแหวนกล้ามเนื้อ คอยบีบรัด เมื่อองศาผิดไป จากกล้ามเนื้อยึดโยงล้า ก็เลยปิดไม่สนิท ปกติมุมที่ท่อปัสสาวะ จะทำมุมแหลม กับกระเพาะปัสสาวะ เวลามีความดันในช่องท้องเพิ่มขึ้น เช่นไอจาม หรือหัวเราะ กระเพาะปัสสาวะ ซึ่งยืดหยุ่นเหมือนลูกโป่ง ก็จะถูกดันโป่งไปทางด้านหน้า ทำให้มุมพับปิดรูปัสสาวะออกได้สนิท ปัสสาวะก็ไม่เล็ดรอดออกมา

จะเห็นว่าพวกกลุ่มหลังนี้ เกิดจากการล้า การเสื่อมสภาพของกล้ามเนื้อเชิงกราน และเอ็นยึดโยงต่าง ๆ ซึ่งเกิดจากสาเหตุหลายประการดังนี้ คือ จากการฉีกขาด อาจจะจากการใช้งานมาก งานหนัก เช่น การคลอดบุตร การตั้งครรภ์แต่ละครั้ง น้ำหนักที่เพิ่มขึ้นจากการตั้งครรภ์ ถ่ายลงสู่ช่องเชิงกราน ทำให้กล้ามเนื้อ ของช่องเชิงกราน แบกรับน้ำหนัก ซึ่งในเดือนสุดท้ายของการตั้งครรภ์ จะขึ้นประมาณ 10-20 กิโลกรัม เป็นภาระที่หนักมาก กล้ามเนื้อต้องแบกน้ำหนักตลอดเวลา ยกเว้นตอนนอน แต่ก็ไม่ใช่ตอนนอนจะไม่แบกน้ำหนัก แบกแต่ไม่มากเท่าท่ายืน จะทำให้กล้ามเนื้อล้ายืดออก เปรียบได้กับการที่เราต้องแบกข้าวสารหนึ่งถังตลอดเวลา 5-6 ชั่วโมง อ่อนล้า เพลีย เช่นเดียวกับกล้ามเนื้อช่องเชิงกราน ซึ่งต้องแบกตลอด 9 เดือน พอเข้าสู่ขบวนการคลอด กล้ามเนื้อก็จะถูกยืดออกอย่างรวดเร็ว ในเวลาอันสั้น ๆ และก่อให้เกิดการฉีกขาดเกิดขึ้น ไม่เท่านั้นยังเกิดจากการที่หมอ หรือผู้ทำคลอด ต้องตัดกล้ามเนื้อออก เพื่อช่วยขยายช่องคลอด ให้ทารกออกได้ง่ายขึ้นซ้ำเติมขึ้นไป แต่ในชนิดหลังนี้แพทย์หรือผู้ทำคลอด ก็จะเย็บซ่อนให้เหมือนเดิม หรือบางครั้งดีกว่าเดิม การคลอด การตั้งครรภ์แต่ละครั้ง ก่อให้เกิดการเสื่อม การล้า การยืดของกล้ามเนื้อ ช่องเชิงกรานมาก ยิ่งตั้งครรภ์มาก ความเสื่อมล้าก็มากขึ้น เป็นเงาตามตัว ถ้าไม่ได้รับการแก้ไข     สภาวะเหล่านี้ ก็จะสะสมกัน จนก่อความผิดปกติดังกล่าว

นอกจากการตั้งครรภ์ การคลอดแล้ว สาเหตุอื่นก็มี ที่กำลังเป็นปัญหา ของประเทศ คือ โรคอ้วน การกินดีอยู่ดี สักเมื่อสองสามทศวรรษที่ผ่านมา ทำให้สังคมไทย เกิดโรคของสังคมขึ้น ในลักษณะสังคมประเทศพัฒนาแล้วคือ โรคอ้วน ความอ้วนทำให้มีไขมันในช่องท้องมาก คงเคยเห็นมันเปลวหมูที่ขายตามเขียงหมู อย่างไรอย่างนั้น ของคนก็เช่นกัน ในคนอ้วน ไขมันจะเหลืองเป็นผืนใหญ่ หนามากเป็นนิ้ว เหมือนกับผ้าขนหนูผืนใหญ่ จุกอยู่ในช่องท้อง และไขมันก็จะไปสะสมตามขั้วลำไส้ทั้ง ลำไส้ใหญ่ ลำไส้เล็กแน่นไปหมด ทำให้ความดันในช่องท้องสูง ก็จะตีบลงในช่องเชิงกราน ทำให้กล้ามเนื้อล้ายืด

ในประเทศอุตสาหกรรม หรือประเทศที่กำลังพัฒนา เช่น เมืองไทยเรา มลภาวะของอากาศ กำลังเป็นตัวก่อปัญหา เพราะจะทำให้เกิด โรคทางเดินระบบหายใจ ซึ่งจะก่อให้เกิด การไอเรื้อรัง รวมทั้งพวกสูบบุหรี่ก็จะก่อปัญหาระคายเคืองต่อ ระบบทางเดินหายใจ การไอเรื้อรัง จะก่อให้เกิดปัญหาการเพิ่มความดันในช่องท้อง เมื่อไม่ได้แก้ไข นอกจากความยืดล้าของกล้ามเนื้อ และเอ็นของช่องเชิงกรานแล้ว จะทำให้เกิด การเคลื่อนตัวต่ำลงมา ทั้งของมดลูก และต่อมา ก็จะเป็นกระเพาะปัสสาวะ เกิดกระบังลมหย่อน คือ มดลูกเลื่อนต่ำนาน ๆ เข้า ก็ต่ำจนโผล่พ้นช่องคลอด ออกมาภายนอกช่องคลอด เกิดนาน ๆ เข้า ก็จะกลายเป็นมะเร็งไปได้ เพราะเกิดการระคายเคือง เกิดการเสียดสี เกิดแผล นาน ๆ เข้า ก็กลายเป็นมะเร็งไปได้ ก่อนที่จะโผล่ออกมาข้างนอกได้นั้น กล้ามเนื้อต้องหย่อนยานมากขึ้น ๆ จนทำให้สภาพของช่องคลอดคลาด หรือหย่อนหลวมนำมาก่อน อันจะก่อปัญหา ความล้มเหลวในการดำเนินกิจกรรมทางเพศได้ ซึ่งอาจจะนำไปสู่ ปัญหาความขัดแย้ง ในครอบครัว การหย่าร้างตามมาได้

จากปัจจัยต่าง ๆ ที่จะก่อให้เกิดความล้า ความเสื่อมของกล้ามเนื้อเชิงกรานหลายปัจจัย ซึ่งเกิดในวัยหนุ่มสาว ไม่ว่าความอ้วน การสูบบุหรี่ ทำให้ความผิดปกติของช่องเชิงกราน เกิดในวัยที่ไม่สูงนัก ไม่น่าเชื่อว่า ความผิดปกติที่เกิดจากการหย่อนยาน ของกล้ามเนื้อ ช่องเชิงกราน จะก่อปัญหาทั้งทางสุขภาพกาย และทางจิตได้มากมาย แต่การแก้ไข หรือการปฏิบัติเชิงป้องกัน กลับทำได้ไม่ยาก และได้ประโยชน์หลายต่อ ได้ทั้งสุขภาพ และสนุกคือ การเสริมสร้างความแข็งแกร่ง ให้กับกล้ามเนื้อช่องเชิงกราน คือ การ "ขมิบ" นั่นเอง

การขมิบ หรือคือ การหดรัดตัวของกล้ามเนื้อของช่องเชิงกราน ซึ่งกล้ามเนื้อในร่างกายมนุษย์ มี 2 ชนิด กล้ามเนื้อลายกับกล้ามเนื้อเรียบ เรียกตามที่เห็นด้วยกล้องจุลทรรศน์ กล้ามเนื้อลายจะควบคุมได้ เช่นกล้ามเนื้อแขนขาของช่องเชิงกรานด้วย ส่วนกล้ามเนื้อเรียบจะควบคุมไม่ได้ สั่งไม่ได้ เช่น กล้ามเนื้อหัวใจ จะทำงานแบบอัตโนมัติ ไม่สามารถควบคุมได้สั่งได้ การฝึกการทำการบริหารกล้ามเนื้อเชิงกราน จึงเป็นการรักษา และการป้องกันไปในตัว

ในประเทศอเมริกา ได้มีการประชาสัมพันธ์ให้ความรู้แก่สตรี ให้รู้จักทำการ บริหารกล้ามเนื้อเชิงกรานที่ถูกต้อง ต้องเน้นว่าที่ถูกต้องเพราะมีความเข้าใจผิด ๆ ว่าการขมิบช่องคลอดนั้น เป็นการบริหารกล้ามเนื้อช่องเชิงกราน ซึ่งมักจะทำไม่ถูกต้อง อันจะกลายเป็นการก่อปัญหาเพิ่มมากขึ้นแก่กล้ามเนื้อของช่องเชิงกรานเข้าไปอีก

การบริหารกล้ามเนื้อเชิงกรานให้ถูกต้องจริง ๆ ต้องเปิดคอร์สอบรมฝึกปฏิบัติกัน และรวมทั้งต้องมีเครื่องมือเฉพาะ ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่จะสอดใส่ในช่องคลอด และสามารถเพิ่มน้ำหนักให้กับอุปกรณ์นั้นเป็นลักษณะเพิ่มแรงดัน เพื่อให้การฝึกกล้ามเนื้อช่องคลอดเชิงกรานได้ผลเหมือนกับการสร้างกล้ามเนื้อของ นักเพาะกาย ต้องมีการยกน้ำหนัก นับเป็นวิธีที่มาตรฐาน แบบของชาวฝรั่ง ซึ่งเรียกว่า คีเกลเอกเซอร์ไซด์ ซึ่งยุ่งยากแต่ได้ผลใน 4-6 เดือน แต่มาใช้ไม่เหมาะกับคนไทย ซึ่งชอบที่จะทำอะไรง่าย ๆ จึงต้องมีการดัดแปลง ให้สามารถทำเองได้ เพราะวัฒนธรรมไทย เรื่องของอวัยวะเพศ เป็นทั้งเรื่องลับ และเป็นของลับ แถมลับสุดยอด ทำต้องทำในที่ลับ อีกต่างหาก

การฝึกขมิบนั้นข้อที่ต้องควรระวังคือ การกลั้นหายใจขณะทำ และการทำงานของ กล้ามเนื้อโคนขาและก้น เพราะจะก่อให้เกิดการเบ่งเกิดขึ้น ซึ่งจะทำให้เกิด การเพิ่มความดันในช่องท้องกับกล้ามเนื้อเชิงกรานให้ล้าเพิ่มอีก ดังนั้นเวลาปฏิบัติควรจะต้องทำตามขั้นตอน คือ ต้องอ้าปากหรือเปิดปาก เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการกลั้นหายใจ และยกหน้าขาขึ้น เพื่อให้กล้ามเนื้อหน้าขา ไม่ทำงาน และยกก้นขึ้นเล็กน้อย เพื่อป้องกันไม่ให้กล้ามเนื้อก้นทำงาน ดังนั้นท่าที่เหมาะต่อ การปฏิบัติคือ นอนหงาย ยกก้น งอเข่า และเพื่อให้การปฏิบัติทำได้ถูกต้อง ควรจะสอดใส่นิ้ว เข้าไปในช่องคลอดจนสุด เพื่อคอยตรวจสอบว่า กล้ามเนื้อทำงานถูกต้อง โดยเริ่มขมิบจากด้านนอก คือ จากกล้ามเนื้อหูรูดของก้น และปากช่องคลอด ซึ่งรู้ได้โดยการบีบรัดที่ระดับโคนของนิ้วมือ และลำดับต่อไปค่อย ๆ ขมิบ ระดับของการขมิบกล้ามเนื้อ ที่ระดับส่วนกลางของนิ้ว ซึ่งเป็นกล้ามเนื้อที่รองรับ หูรูดกระเพาะปัสสาวะ เมื่อได้ความรู้สึกบีบกระชับ ก็ได้ดำเนินการต่อไปที่ระดับปลายนิ้ว ซึ่งจะเป็นกล้ามเนื้อส่วนลึกของเชิงกราน ซึ่งจะเป็นส่วนของกล้ามเนื้อที่จะ รองรับ กระเพาะปัสสาวะและคอมดลูก

ขบวนการฝึกหัดหดรัดตัวของกล้ามเนื้อเชิงกรานทั้งสามระดับนั้น จะทำในขั้นตอนต่อเนื่องกันไล่เรียงกันไป เมื่อแรกอาจจะไม่มีประสิทธิภาพนัก โดยดูจากแรงกดรัดต่อนิ้ว แต่เมื่อฝึกทำโดยเมื่อเกิดการหดรัดตัวของกล้ามเนื้อได้ ตามความตั้งใจแล้ว ให้เกร็งกล้ามเนื้อให้หดรัดตัวไว้สิบวินาที คือ นับหนึ่งถึงสิบ แล้วให้มีการผ่อนคลายของกล้ามเนื้อเหล่านั้นอย่างเต็มที่อย่างน้อยสิบวินาที ซึ่งการผ่อนให้กล้ามเนื้อได้ฝึกต่ออย่างเต็มที่นั้นเป็นสิ่งที่สำคัญ เพื่อให้กล้ามเนื้อ ได้เสริมสร้างพลังงานและความแข็งแกร่งภายในตัวกล้ามเนื้อ ดังนั้น ความเข้าใจ ดังที่เคยปฏิบัติในเรื่องของการขมิบช่องคลอด ให้ทำตลอดติดต่อกัน โดยไม่มีช่วงพักพอเพียง จึงไม่เกิดประโยชน์ และอาจจะเกิดผลร้ายตามมาคือ การล้าพวกกล้ามเนื้อเชิงกราน การทำอย่างถูกต้อง และตั้งใจ จะได้ผลดีกว่าการทำอย่างสะเปะสะปะไร้ความมุ่งหมาย จึงแนะนำให้ทำเป็นเวลา ทำประมาณ 30-60 ครั้งต่อวัน จะได้ผลดีกว่าที่มีผู้แนะนำว่า ให้ทำตลอดเวลา ไม่ว่าเดินนั่งยืนหรือขณะทำงาน

ถ้าทำถูกต้องตามหลักการแล้ว พบว่าสามารถจะป้องกันการเกิดกระบังลมหย่อน ปัสสาวะเล็ด ได้ 42 ถึง 82 เปอร์เซ็นต์ เท่านั้นยังไม่พอ ของแถมที่เกิดจาก การปฏิบัติฝึกขมิบ จะทำให้ช่องคลอดเพิ่มความแข็งแรงในการหดรัดตัว รวมทั้งการแคบเข้าของปากช่องคลอด และการยกตัวสูงขึ้นของมดลูก ทั้งหมดที่เป็นของแถม จะส่งผลให้เพิ่มความสุขทางเพศ ให้เกิดขึ้นอย่างเด่นชัด ซึ่งเป็นของแถมที่น่าจะเป็นประโยชน์หลักมากกว่า เพราะทำให้ความสุขของครอบคัวเกิดขึ้น เสน่ห์ปลายจวักที่ว่าเป็นตัวผูกมัดสามี เป็นอันชิดซ้ายทันที มันเป็นเคล็ดลับสูตรพิเศษในการประหยัดอย่างดี ที่จะดึงรั้งให้พ่อบ้านอยู่บ้าน แม่บ้านไม่ต้องเสียเงินทำผ่าตัดแก้ไขปัสสาวะเล็ด และสำคัญผิดว่าการทำรีแพร์จะแก้ปัญหาครอบครัว ซึ่งแท้จริงคือ การขมิบ ยิ่งในยุคกินบ่ดี อยู่บ่ดีของทานตะวัน แล้วเป็นหนทางหนึ่งที่จะช่วยชาติประหยัดเงินตราทางอ้อม มา…มา…ขมิบเพื่อชาติ และ IMF กันเถอะ

น.พ.วีระ สุรเศรณีวงศ์


ขอบคุณนิตยสารใกล้หมอ ที่อนุญาตให้นำมาเผยแพร่

[ BACK TO LIST]
main พบแพทย์ คอมพิวเตอร์ เรื่องบ้าน เรื่องรถ เรื่องกฏหมาย เรื่องของผู้บริโภค เรื่องเบาๆ คลายเครียด

มีปัญหาสุขภาพ ที่นี่มีคำตอบ ห้องสมุดE-LIB[ hey.to/yimyam ][ i.am/thaidoc ]

Best view with [IE3.02][NETSCAPE 4.05][OPERA 3.21]resolution 800x600
1